px

เรื่อง : ทุ่งรวงทอง (นิยายแปล)**จบแล้ว**
Re-new ตอนที่ 12  คุณชายสามแห่งร้านเจินซิว


ตอนที่ 12  คุณชายสามแห่งร้านเจินซิว

 

อีกด้านหนึ่ง ผู้จัดการหลิวตรวจดูสินค้าแล้วและแอบอึ้งอยู่ในใจกับคุณภาพของหอยเป๋าฮื้อ เขาคิดแผนขึ้นมาทันทีและพูดกับสองพี่น้องว่า “ พวกเจ้ามารบกวนข้าเพราะหอยเป๋าฮื้อไม่กี่ตัวเนี่ยนะ ?  ก็ได้ ดูท่าทางจะลำบากอยู่ล่ะสิ งั้นจะยกเว้นให้ก็แล้วกัน หอยเป๋าฮื้อพวกนี้ข้าจะรับซื้อในราคา 800 อีแปะ ! ”

 

“800 อีแปะ ? ” หยูเสี่ยวเฉากับหยูฮังมองหน้ากัน นางเม้มปากแล้วคว้าไหที่ใส่หอยเป๋าฮื้อกลับจากมือของผู้จัดการหลิว “ ท่านผู้จัดการหลิวอย่าได้ทำเหมือนกับพวกเราเป็นขอทาน ”

 

“เจ้าพูดเช่นนี้หมายความว่าเยี่ยงไร ? ” ผู้จัดการหลิวแสดงท่าทางเหมือนพวกตัวร้ายแก่ ๆ เขาบิดหนวดแล้วพูดอย่างเย้ยหยันว่า “ คุณภาพของหอยเป๋าฮื้อพวกนี้ 800 อีแปะก็มากเกินพอแล้ว ถ้าหากไปที่อื่นแล้วได้ราคาถึง 600 อีแปะ นั่นก็หมายความว่าพวกเจ้าเพียงแค่ขายเก่งเท่านั้นแหละ ! ”

 

พอหยูเสี่ยวเฉาเห็นสีหน้ายืนยันหนักแน่นของเขาก็เกิดไม่แน่ใจขึ้นมา นางไม่รู้ราคาตลาดของหอยเป๋าฮื้อจึงอดมองไปทางหยูฮังไม่ได้

 

ผู้จัดการหลิวไม่ได้ทำให้หยูฮังสะดุ้งสะเทือนอะไร เขายิ้มให้น้องสาวแล้วพูดว่า “ ธุรกิจก็คือการเห็นพ้องต้องกัน ในเมื่อพวกเรามิพอใจราคาที่ผู้จัดการหลิวเสนอมา งั้นพวกเราก็ต้องขอตัวก่อน ! ”

 

ตอนแรกผู้จัดการหลิวแอบคิดว่าเด็กสองคนนี้จะหลอกง่าย เขาวางแผนเกลี้ยกล่อมและขู่พวกเขาให้กลัวเพื่อให้ขายหอยเป๋าฮื้อในราคาที่ต่ำที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่เด็กพวกนี้กลับไม่ตกหลุมพรางของเขา อีกทั้งพวกเขายังหันหลังกลับเตรียมจะเดินจากไปโดยไม่พูดอะไรอีก เขารู้สึกร้อนรนอยู่ในใจ จึงรีบหยุดพวกเขาเอาไว้

 

“พวกเจ้าจงคิดให้ดี ๆ ! ถ้าพวกเจ้าไม่รับข้อเสนอนี้ พวกเจ้าจะหาราคาดีกว่านี้มิได้อีกแล้ว ! ใครจะกล้ารับสินค้าที่ร้านฝูหลิงปฏิเสธกัน ? ”

 

“ฮ่า ๆ ๆ ! ” เสียงหัวเราะที่เจือความเป็นเด็กอยู่เล็กน้อยดังขึ้น “ ผู้จัดการหลิวพูดซะน่ากลัวจริงเชียว ร้านฝูหลิงของท่านเป็นจ้าวถนนแห่งนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ? ”

 

ผู้จัดการหลิวเงยหน้าขึ้น เขาหรี่ตาและแสยะยิ้ม “ ข้าก็นึกว่าใคร ! ที่แท้ก็คุณชายสามแห่งร้านเจินซิวนี่เอง ! อะไรกัน ? ร้านเจินซิวจะมายุ่งเกี่ยวกับเรื่องของร้านฝูหลินเยี่ยงนั้นรึ ? ”

 

“ยุ่งเรื่องของเจ้า ? คุณชายอย่างข้ามิมีเวลาว่างถึงเพียงนั้น ! ” โจวซือชู่ คุณชายสามแห่งร้านอาหารเจินซิวยิ้มบาง ๆ แล้วพูดว่า “ ข้าก็แค่ทนเห็นคนเสแสร้งแกล้งทำเป็นซื่อสัตย์ต่อลูกค้า แต่ลับหลังกลับคิดเอาเปรียบผู้อื่นบังคับให้ขายของทะเลชั้นดีในราคาต่ำไม่ได้ก็เท่านั้นเอง ”

 

“แก... ” ผู้จัดการหลิวสังเกตเห็นว่าฝูงชนกำลังเริ่มมามุงดูจึงรู้ตัวว่าไม่ควรเถียงต่อ ดังนั้นเขาจึงหันไปทางสองพี่น้องและพูดว่า “ พวกเจ้าสองคนเข้ามาข้างในก่อน เดี๋ยวข้าจะเสนอราคาดี ๆ ให้อย่างแน่นอน ! ”

 

“ก็คงเป็นราคาที่เจ้าพอใจอยู่คนเดียวล่ะสิ ! ” ใบหน้าหล่อเหลาที่ดูอ่อนโยนของคุณชายสามปรากฏรอยยิ้มบาง ๆ “ เมืองถังกู่อยู่ติดทะเล เพราะฉะนั้นชาวบ้านส่วนใหญ่คุ้นเคยกับคุณภาพและราคาตลาดของอาหารทะเลอยู่แล้ว สาวน้อยเจ้าเอาหอยเป๋าฮื้อที่ถืออยู่ในไหให้ทุกคนดูได้หรือไม่ ?  ให้เราดูซิว่าร้านฝูหลินที่ทำธุรกิจอย่างซื่อสัตย์ยุติธรรมให้ราคาที่ ‘ ยุติธรรม ’ จริงหรือไม่”

 

คนที่มามุงดูส่วนใหญ่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่หลังจากได้ยินคำพูดของคุณชายสามแล้ว ยังจะมีใครไม่เข้าใจอีกบ้าง ? ผู้จัดการของร้านฝูหลินกำลังรังแกเด็กน้อยสองพี่น้อง เขาใช้อำนาจของเขาเอาเปรียบเด็ก ๆ และบังคับให้สองพี่น้องต้องขายของทะเลคุณภาพดีในราคาถูก

 

ตลาดใหญ่ในเมืองถังกู่เปิดวันนี้ ดังนั้นจึงมีชาวประมงมากมายจากหมู่บ้านประมงใกล้เคียงเดินอยู่ตามถนน สิ่งที่ชาวประมงพวกนี้เกลียดมากที่สุดก็คือพ่อค้าที่ไม่ซื่อสัตย์และที่ชอบกดราคาแบบโหด ๆ ดังนั้นพวกเขาจึงพากันอาสาเป็นผู้ตรวจสอบให้สองพี่น้อง

 

แม้ว่าหยูฮังจะมีนิสัยเงียบ ๆ สงบเสงี่ยม แต่เขาก็เข้าใจสถานการณ์เป็นอย่างดีและได้ตัดสินใจเอาไว้ในใจแล้ว เมื่อก่อนตอนที่เขามาขายสัตว์ที่ล่าได้กับพ่อ เขาได้ยินเรื่องการแข่งขันกันระหว่างร้านเจินซิวที่เป็นร้านใหม่กับร้านฝูหลินที่เป็นร้านเก่าแก่

 

ที่คุณชายสามคนนี้มาช่วยพวกเขาไว้ก็น่าจะแค่อาศัยโอกาสนี้เล่นงานร้านฝูหลินเพียงเท่านั้น นี่คือสงครามระหว่างคู่แข่งทั้งสอง แล้วเขาจำเป็นจะต้องทำร้ายคนบริสุทธิ์อื่น ๆ ด้วยรึ ?

 

หยูฮังรั้งตัวน้องสาวเอาไว้และพูดอย่างสุภาพว่า “ธุรกิจเป็นเรื่องความเต็มใจระหว่างคนทั้งสองฝ่าย เป็นเรื่องปกติที่ผู้ขายจะตั้งราคาและผู้ซื้อจะต่อรอง ถึงจะตกลงกันมิได้ แต่เราก็ยังมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันได้อยู่ ในเมื่อผู้จัดการหลิวมิชอบสินค้าของเรา เราก็มิมีสิ่งใดที่ต้องพูดอีก ข้าขอตัวก่อน ! ” พูดจบเขาก็ประสานมือคารวะแล้วดึงหยูเสี่ยวเฉาเดินออกไปจากฝูงชน

 

ผู้จัดการหลิวโกรธจนควันออกหูจากคำพูดเสียดสีของคุณชายสาม แต่เขารู้ว่าถ้ายังคิดจะซื้อหอยเป๋าฮื้อชั้นดีพวกนั้นอยู่ก็คงจะเป็นความคิดที่ไม่ฉลาดสักเท่าใดนัก ดังนั้นจึงใช้โอกาสนี้เอาตัวเองออกจากสถานการณ์ที่น่าอึดอัด เขาสะบัดแขนเสื้อแล้วเดินเข้าไปในร้านอาหารทันที แต่ในใจของเขากลับร้อนรุ่มยิ่งนัก

 

ร้านเจินซิวเป็นร้านใหม่ที่เพิ่งเปิดมาได้ไม่ถึงปี โดยมีตระกูลโจวซึ่งเป็นหนึ่งในสี่พ่อค้าใหญ่ในประเทศเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง บ้านที่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษของตระกูลโจวอยู่ในเมืองถังกู่ ดังนั้นร้านฝูหลินจึงไม่ได้มีอิทธิพลเหนือกว่าร้านเจินซิวแต่อย่างใด

 

อย่างไรก็ตามร้านฝูหลินก็ยังคงเป็นร้านอาหารที่เป็นที่ยอมรับ พวกเขามีอาหารจานพิเศษที่มีชื่อเสียงและมีกลุ่มลูกค้าประจำอยู่

 

แต่ในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมานี้ คุณชายสามแห่งตระกูลโจวได้กลับมาที่เมืองถังกู่ เขาได้เมนูใหม่กลับมาหลายเมนูที่เหมาะกับความต้องการของผู้พิพากษามณฑล และยังดึงดูดลูกค้าของร้านฝูหลินไปได้หลายคน

 

เจ้านายของเขาไม่พอใจเขาจากเรื่องนั้นอยู่แล้ว ถ้าวันนี้เขาได้ชื่อว่ารังแกเด็กอีก เขาคงจะถูกไล่ออกจากตำแหน่งผู้จัดการร้านฝูหลินเป็นแน่

 

ผู้จัดการหลิวเตือนตัวเองอยู่ในใจ แม้ว่าเขาจะเสียใจที่เอาหอยเป๋าฮื้อชั้นดีพวกนั้นมาไม่ได้ แต่เขาก็ไม่กล้าใช้เล่ห์กลชั่วร้ายอีกต่อไปแล้ว

 

“ท่านพี่ใหญ่ ! เหตุใดเราถึงมิใช้โอกาสนี้สั่งสอนผู้จัดการหลิวนั่นเสียหน่อยเล่า ? ” หยูเสี่ยวเฉายังมีความโกรธแค้นในใจอยู่ จึงถามขึ้นด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด

 

หยูฮังมองแก้มป่อง ๆ ของน้องสาวแล้วก็อดหยิกไม่ได้ เขายิ้มและตอบว่า “ ร้านฝูหลินมีขุนนางหนุนหลังอยู่ ชาวบ้านธรรมดามิควรสู้กับขุนนางมิใช่รึ ถ้าเรามีเรื่องกับผู้จัดการหลิว เราก็คงจะอยู่ในเมืองนี้ได้อย่างยากลำบาก”

 

หยูเสี่ยวเฉานิ่งอึ้งไป ในฐานะที่เป็นคนสมัยใหม่ที่ ‘เกิดภายใต้ธงแดงและโตมาท่ามกลางสายลมฤดูใบไม้ผลิ’ นี่เป็นครั้งแรกที่นางถูกสอนว่า ‘คนเราถูกแบ่งแยกด้วยสถานะและความร่ำรวย’ ความรู้สึกหลากหลายจึงประดังพรั่งพรูเข้ามาในใจของนาง

 

หยูฮังสังเกตเห็นน้องสาวหยุดเดินและมีสีหน้าตกใจ เขาจึงคิดว่านางกลัวจึงรีบปลอบโยนนางว่า “น้องสามมิต้องกลัว ตราบใดที่เราทำถูก คนรวยกับขุนนางพวกนั้นก็ทำอะไรเรามิได้หรอก ท่านพ่อกล่าวว่าฮ่องเต้ของปวงชนเป็นฮ่องเต้ที่ดี มีพระสติปัญญาและมีความยุติธรรมอย่างยิ่ง พวกขุนนางที่อยู่ใต้การปกครองของท่านส่วนใหญ่จึงซื่อสัตย์และมีคุณธรรม อย่างท่านผู้พิพากษามณฑลของเมืองถังกู่ ก็เป็นที่รู้กันดีว่าเขาเป็นผู้พิพากษาที่เที่ยงตรง ”

 

หยูเสี่ยวเฉาสงบใจลง ในนิยายและพวกละครทีวีก็มีพวกคนรวยกับขุนนางที่ดูถูกประชาชนอยู่มากมาย ดังนั้นนางจึงเตือนตัวเองอยู่ในใจว่าให้อยู่อย่างสงบอย่าได้ทำตัวโดดเด่นจนเกินไป

“พี่ใหญ่ ฮ่องเต้มีอำนาจมากถึงเพียงนั้นจริง ๆ รึ ? ท่านทำให้พวกขุนนางที่มีตำแหน่งสูง ๆ ยอมเชื่อฟังได้ทุกคนเลยรึ ? ” หยูเสี่ยวเฉาเพิ่งมาเกิดใหม่ที่นี่จึงยังไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ในราชวงศ์ไหน

 

“ชู่วววว ! ” หยูฮังเกือบเอามือปิดปากน้องสาวของเขาแล้ว โชคดีที่พวกเขาอยู่ในเมืองถังกู่ที่เป็นเพียงเมืองชายฝั่งเล็ก ๆ ถ้าอยู่ในเมืองหลวงที่เต็มไปด้วยขุนนางระดับ 4 เดินกันให้ควั่กเต็มถนนแล้วล่ะก็ พวกเขาคงถูกลงโทษข้อหาล่วงเกินเบื้องสูงเป็นแน่

 

“ฮ่า ๆ ๆ ! ”

 

ขณะที่หยูฮังกำลังโล่งอกที่มิมีผู้ใดได้ยินบทสนทนาของพวกเขา เขาก็ได้ยินเสียงหัวเราะของชายหนุ่มคนหนึ่งดังขึ้นมา

 

เมื่อสองพี่น้องหันหน้าไปก็เห็นคุณชายที่พวกเขาเจอเมื่อครู่กำลังจูงม้าเดินตามพวกเขาอยู่

 

หยูฮังหน้าซีดลงทันที เขาไม่รู้ว่าคุณชายผู้นี้ได้ยินคำพูดของน้องสาวเขาหรือไม่ เขากัดฟันเดินเข้าไปหาและพูดว่า “ขอบคุณนายน้อยเป็นอย่างมากที่ช่วยพูดให้พวกเราเมื่อครู่นี้... ”

รีวิวผู้อ่าน