px

เรื่อง : ทุ่งรวงทอง (นิยายแปล)**จบแล้ว**
Re-new ตอนที่ 31  หนุ่มหล่ออีกคน


ตอนที่ 31  หนุ่มหล่ออีกคน

 

หยูเสี่ยวเฉาจำเสี่ยวเอ้อตรงหน้าของนางได้แล้ว เดิมทีเขาเป็นคนงานในครัว  ตอนที่นางทำซอสหอยนางรมคราที่แล้ว เขาคือผู้ช่วยของนาง

 

“ท่านพี่หลี่นี่เอง ! จำข้าได้ด้วยรึ ? ” หยูเสี่ยวเฉายิ้มจนเห็นลักยิ้มที่ข้างแก้ม

 

เสี่ยวเอ้อคนนั้นเอาไหดินเผาไปจากมือนางและยิ้มจนตาเป็นสระอิ “จำได้สิขอรับ จะจำมิได้ได้เยี่ยงไรกัน ? นายน้อยกับหัวหน้าพ่อครัวหวังพูดถึงคุณหนูอยู่ทุกวัน ไม่มีทางที่ข้าจะลืมคุณหนูได้หรอก แล้วนี่...มาส่งหอยเป๋าฮื้ออีกแล้วรึขอรับ ? ”

 

“ท่านคิดว่าหอยเป๋าฮื้อจะหามันมาได้ง่าย ๆ หรือเยี่ยงไร ? นี่เป็นปลาที่จับได้ในภูเขาเจ้าค่ะ เอาไปต้มหรือทอดก็อร่อยทั้งนั้น กว่าข้าจะหาโอกาสเข้ามาในเมืองได้ช่างยากเย็นเสียจริง ข้าก็เลยเอามาให้คุณชายสามลองดูเสียหน่อย” ในเมื่อเขาคิดถึงนางมากขนาดนั้น นางก็น่าจะให้ของขวัญเขาเสียหน่อย หยูเสี่ยวเฉาคิดว่าจะนำปลาที่นางจะเอามาให้ครอบครัวของอาสาม เป็นของขวัญให้คุณชายสามแห่งตระกูลโจว

 

เสี่ยวเอ้อคนนั้นยิ้มอย่างดีใจ “บังเอิญจังเลยนะขอรับ วันนี้นายน้อยของเราจะเป็นเจ้าภาพงานเลี้ยงให้กับเพื่อน ๆ ของเขาตอนเที่ยง ตอนนี้เรากำลังมีปัญหาเรื่องไม่มีเมนูใหม่ ๆ อยู่เลยขอรับ คุณหนูหยูช่างมาได้จังหวะจริงเชียว”

 

“เสี่ยวเฉา เจ้าเคยมาที่นี่แล้วเยี่ยงนั้นรึ ? ” จ้าวฮันรู้สึกประหลาดใจเมื่อเห็นท่าทีที่เปลี่ยนไปของเสี่ยวเอ้อคนนั้น

 

เสี่ยวเอ้อคนนั้นพูดแทรกขึ้นมาว่า “ใช่ ! อาหารขึ้นชื่อของร้านเรา ‘ผัดผักซอสหอยนางรม’ ‘เห็ดสดในซอสหอยนางรม’ และ ‘ไข่ต้มซอสหอยนางรม’ ทั้งหมดคุณหนูหยูเป็นคนคิดค้นขึ้นมาขอรับ ! เยี่ยงนั้นน้องชายท่านนี้ก็มากับคุณหนูหยูสินะขอรับ มา มา ! เชิญเข้ามาข้างในก่อนขอรับ ! ”

 

เสี่ยวเอ้อคนนั้นนำทางพวกเขาเข้าไปที่ด้านหลังร้านเจินซิว จ้าวฮันแบกตะกร้าใส่สัตว์ที่จับมาแล้วเดินตามพวกเขาไปอย่างลังเล

 

“ท่านอาจารย์ ท่านอาจารย์ มาดูเร็วเข้าว่าผู้ใด ! ” เสี่ยวเอ้อคนนั้นเริ่มตะโกนก่อนที่จะเข้าไปถึงด้านหลังร้านเสียอีก

 

เสียงของหัวหน้าพ่อครัวหวังดังลั่นขึ้นพร้อมกับเสียงตะหลิว “เจ้าเด็กบ้า เจ้าจะส่งเสียงดังหาบิดาเจ้าหรือไง ? มิเห็นรึว่าข้ากำลังยุ่งอยู่ ? รีบมาช่วยข้าประเดี๋ยวนี้ ! ”

 

เสียงของเสี่ยวเอ้อคนนั้นก็ไม่ด้อยไปกว่าเสียงของหัวหน้าพ่อครัวเลย “ท่านอาจารย์ คุณหนูหยูมา ! และยังเอาสัตว์ป่าที่จับได้มาอีกด้วยอีกทั้งยังมีปลาตัวเล็กอีก 1 ไห ! ”

 

ทันทีที่พูดจบ ร่างอวบอ้วนของหัวหน้าพ่อครัวหวังก็พุ่งออกมาเหมือนลูกปืนใหญ่และมาหยุดอยู่หน้าหยูเสี่ยวเฉา เขาตบลงบนบ่าเด็กหญิงแล้วพูดเสียงดัง “ข้ากำลังอยากเจอเจ้าอยู่พอดีเลย เจ้ามาเสียที ! เจ้ารู้หรือไม่ว่าร้านเจินซิวของเราชนะร้านฝูหลินขาดลอยเพราะความช่วยเหลือจากซอสหอยนางรมของเจ้า แม่หนูน้อย ถ้าเจ้ามีสูตรอะไรใหม่ ๆ อีกโปรดบอกให้เฒ่าหวังผู้นี้รับรู้ด้วยเถิด”

 

หยูเสี่ยวเฉาหน้าแหยด้วยความเจ็บจากแรงกระแทกของฝ่ามืออันใหญ่โตที่เหมือนอุ้งมือหมีของเขา นางก้าวถอยหลังเพื่อรักษาระยะห่างและพูดว่า “คราที่แล้วข้าสอนวิธีทำซอสหอยนางรมให้เป็นของขวัญแล้วนี่เจ้าคะ ข้าจะมิให้สูตรลับของข้าอีกแล้ว ! ”

 

ความหมายในคำพูดของนางชัดเจนมาก ‘ข้ามีสูตรใหม่นั่นคือเรื่องแน่นอนอยู่แล้ว แต่อย่าได้คิดว่าข้าจะบอกสูตรให้ฟรี ๆ ! ’

 

“เฮ้ ! คุณหนูหยู พบกันอีกแล้วนะ !  คราก่อนข้าลืมถามไปเลยว่าเจ้ามาจากที่ใด” วันนี้หนุ่มน้อยสุดหล่อจากตระกูลโจวสวมชุดคลุมผ้าไหมสีขาวนวล กวานหยกสีขาว  และรองเท้าบูทพื้นนุ่ม ช่างเป็นเด็กหนุ่มที่ดูสง่างามมากเสียจริง !

 

หยูเสี่ยวเฉายิ้มบาง ๆ แล้วพูดว่า “คุณชายสามสบายดีหรือไม่เจ้าคะ ? พวกข้าจับสัตว์ป่าได้ ร้านของท่านสนใจจะรับซื้อหรือไม่ ? ”

 

ผิวของนางเนียนละเอียดเหมือนหิมะ ดวงตาโตสีดำกระจ่าง ขนตางอนหนา...แม้ว่าเสื้อผ้าของนางจะเก่าซอมซ่อและมีแต่รอยปะชุน แต่ก็ไม่สามารถปกปิดความมั่นใจและความเปล่งประกายของนางได้ ในใจของโจวซือชู่รู้สึกว่าแม้แต่พวกคุณหนูในเมืองก็เทียบกับท่าทางอันสง่างามของลูกสาวชาวประมงที่อยู่ตรงหน้าเขามิได้

 

“รับสิ ! รับซื้อแน่นอนอยู่แล้ว ! วันนี้ที่ร้านของเรายุ่งเป็นอย่างมาก เลยกำลังกังวลอยู่ว่าจะมีเนื้อไม่พอขาย ! หลี่เฉียง ยังไม่รีบจ่ายเงินอีกรึ ? ” โจวซือชู่พูดกับเสี่ยวเอ้อที่ยืนบื้ออยู่ด้านข้าง

 

จ้าวฮันวางตะกร้าที่แบกอยู่ลงและเอาสัตว์ข้างในออกมา มีกระต่ายป่าตัวอ้วน 9 ตัวและไก่ฟ้า 6 ตัว มี 8 ตัวที่ยังมีชีวิตและดิ้นอยู่

 

คุณชายสามโจวสั่งหลี่เฉียงว่า “ราคาตลาดของกระต่ายป่าคือ 20 อีแปะต่อชั่ง  ส่วนไก่ฟ้าก็ 50 อีแปะต่อชั่ง ส่วนราคาของตัวที่ยังไม่ตายจะแพงขึ้นอีก ก็คิดตามน้ำหนักแล้วกัน เพิ่มขึ้นอีกตัวละ 25 อีแปะต่อชั่ง ”

 

สัตว์ทั้ง 15 ตัวหนักรวมกัน 78 ชั่ง แต่เสี่ยวเอ้อหนุ่มปัดให้เป็น 80 ชั่ง ดังนั้นราคาทั้งหมดจึงเป็น 2,000 อีแปะ

 

เสี่ยวเอ้อเอาก้อนเงิน 2 ก้อนให้จ้าวฮัน แต่ละก้อนเท่ากับ 1 ตำลึง หลังจากรับเงินมาแล้ว จ้าวฮันก็หันไปทางหยูเสี่ยวเฉาที่ยังคงคุยกับคุณชายสามอยู่และยัดเงินใส่มือนาง

 

“ท่านพี่ฮัน สัตว์ที่จับมาได้ทั้งหมดเป็นกับดักที่ท่านพี่วางไว้ เหตุใดถึงเอาเงินมาให้ข้าหมดเลยล่ะเจ้าคะ ? ” ถ้าเขาให้นางแค่ 100 หรือ 200 อีแปะ หยูเสี่ยวเฉาก็คงจะรับเอาไว้อย่างสบายใจ ยังไงเสียนางก็ไม่ได้มีส่วนช่วยอะไรมากอยู่แล้ว แต่เขากลับเอาเงินทั้งหมดให้นาง ถึงนางจะรักเงินเป็นชีวิตจิตใจ แต่นางก็ไม่เคยคิดจะเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากแรงงานของคนอื่น

 

จ้าวฮันเห็นเสี่ยวเฉาเอามือซ่อนไว้ข้างหลังโดยไม่ยอมรับเงิน เขาจึงฝืนบังคับนางมิได้ เขาจึงพยายามอธิบายว่า “ถ้าข้ามิได้สอนพวกเจ้าวางกับดักวันนี้ ข้าก็คงไม่คิดจะขึ้นเขาหรอก ข้ารู้อยู่แล้วว่าปกติตนเองจับสัตว์ได้เท่าไร วันนี้น่าจะโชคดีเพราะพวกเจ้าสองพี่น้อง ดังนั้นสัตว์ที่จับได้วันนี้ก็ควรเป็นของพวกเจ้า...รับเงินไปเร็วสิ ! ”

 

“ข้ามิเอาหรอกเจ้าค่ะ ! ส่วนใหญ่ท่านพี่ฮันเป็นคนวางกับดักวันนี้มิใช่รึ แค่ท่านพี่ยอมสอนวิธีจับกระต่ายให้ ข้าก็ขอบคุณเป็นอย่างมากแล้ว อีกทั้งพวกเรายังได้กินสัตว์ที่ท่านพี่จับมาได้อยู่ตลอด แล้วข้าจะรับเงินที่ท่านพี่ได้จากการขายสัตว์พวกนั้นไปได้เยี่ยงไร ? ” หยูเสี่ยวเฉาส่ายหน้ารัวแล้วปฏิเสธที่จะรับเงินสองก้อนนั้น

 

[ เจ้ามันงี่เง่า ! ถ้าไม่มีน้ำที่แช่หินศักดิ์สิทธิ์ผู้นี้แล้ว เขาก็น่าจะจับได้แค่ 2 - 3 ตัวเท่านั้น มิต้องพูดถึง 15 ตัวเลย ! ทั้งหมดมันเป็นเพราะข้า ดังนั้นเงินนั่นก็ควรเป็นของพวกเราสิ ! ]

 

ตอนนี้เจ้านายของมันขัดสนเรื่องเงิน ถ้ามันช่วยให้เจ้านายหาเงินได้อีกก็คงจะช่วยเร่งการฟื้นพลังของมันได้ด้วยมิใช่รึ ? เจ้าหินศักดิ์สิทธิ์ใช้ความได้เปรียบที่ไม่มีใครมองเห็นมันลอยไปมาอย่างหงุดหงิดอยู่เบื้องหน้าของหยูเสี่ยวเฉา แต่หยูเสี่ยวเฉาก็ไม่สนใจมันเลยแม้แต่น้อย

 

จ้าวฮันไม่อาจเอาชนะความดื้นรั้นของเสี่ยวเฉาได้ เขาคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า  “วันนี้เจ้าเป็นคนวางกับดักส่วนใหญ่มิใช่รึ คิดดูแล้วเจ้าก็ควรจะมีส่วนในการจับครึ่งหนึ่ง เจ้าไม่อยากเอาเปรียบข้า แต่ในฐานะที่ข้าเป็นพี่ชายของเจ้าแล้ว ข้าจะหน้าด้านเอาเปรียบเจ้าได้เยี่ยงไร ? ”

 

[ ใครบอกว่าเจ้ามีส่วนแค่ครึ่งเดียว ? ทั้งหมดเป็นฝีมือของหินศักดิ์สิทธิ์ผู้นี้ต่างหากเล่า ! เจ้ามนุษย์หน้าไม่อายคนนี้กล้าขโมยความดีความชอบของข้างั้นรึ คอยดูเถอะ ข้าจะลงโทษเจ้า ] ลูกแมวน้อยสีทองดูน่ารักอย่างมากขณะที่มันแยกเขี้ยวกางเล็บออกอย่างเกรี้ยวกราด

 

หยูเสี่ยวเฉาตะโกนอยู่ในใจให้มันหยุด อีกทั้งยังต้องพยายามระงับความอยากบีบมันให้เละคามืออีกด้วย นอกจากนั้นก็ต้องควบคุมสีหน้าเพื่อไม่ให้เผลอแสดงสีหน้าออกมาอีก ดังนั้นในสายตาของคนอื่น สีหน้าของนางจึงซับซ้อนมาก

 

โจวซือชู่ไม่อยากเห็นพวกเขาเถียงกันเรื่องเงินแค่ 2 ก้อน เขาจึงพูดแทรกขึ้นว่า  “ข้าว่าก็ไม่ควรปฏิเสธทั้งคู่มิใช่รึ ในเมื่อมีส่วนช่วยกันทั้งสองฝ่ายก็แบ่งไปให้เท่า ๆ กันสิ ! ”

 

ถึงเงิน 1 ตำลึงจะไม่มาก แต่มันก็เกินจากที่หยูเสี่ยวเฉาคาดเอาไว้มากทีเสียเดียว  จุดประสงค์หลักของนางวันนี้ก็คือการเรียนรู้วิธีวางกับดัก ด้วยทักษะใหม่นี้นางก็จะสามารถมีโอกาสทำเงินได้ด้วยตนเอง

 

เมื่อเห็นว่าพวกเขาไม่คัดค้านคำแนะนำของโจวซือชู่ เขาก็อยากจะพูดขึ้นมาอีกครั้ง แต่เสียงที่อ่อนโยนของใครคนหนึ่งก็ดังขัดขึ้นมาเสียก่อน “ซือชู่ ท่านพี่อู๋กับท่านพี่หยางมาถึงแล้ว เจ้าอยากออกไปทักทายพวกเขาหรือไม่ ? ”

 

หยูเสี่ยวเฉามองไปทางต้นเสียงและนิ่งตะลึงไปกับภาพที่เห็นทันที เป็นเด็กหนุ่มที่หน้าสวยอะไรถึงเพียงนี้ ผิวขาวยิ่งกว่าหิมะ ใบหน้างดงามราวกับภาพวาด ชุดบัณฑิตสีฟ้าที่เขาสวมอยู่ยิ่งทำให้เขาดูบริสุทธิ์ แม้แต่ภาพวาดที่วาดอย่างพิถีพิถันที่สุดก็ไม่สามารถวาดความงดงามของเขาออกมาได้

 

ว้าว ! น้ำในยุคโบราณนี่ช่วยเสริมความงามได้ดีจริง ๆ เมื่อเทียบหน้าตาของเด็กหนุ่ม 3 คนตรงหน้านาง แต่ละคนต่างก็มีข้อดีของตนเอง เป็นเด็กหนุ่มที่หน้าตาดีอย่างแท้จริง !

 

เด็กหนุ่มผู้งดงามคนนั้นรู้สึกถึงสายตาของนางที่มองไปยังเขา เขาขมวดคิ้วเล็กน้อยและกวาดสายตามองนาง

 

การอบรมเลี้ยงดูของหยวนหยุ่นซีทำให้เขาไม่อาจตำหนินางแรง ๆ ได้ แต่การที่เด็กหญิงจะจ้องมองเขาอย่างเปิดเผยเช่นนี้ย่อมไม่สุภาพอยู่แล้วมิใช่รึ เมื่อเขาเห็นเสื้อผ้าซอมซ่อกับอายุของนางเข้า เขาก็รู้สึกโล่งอกขึ้นเล็กน้อย นับว่าพอจะอภัยให้ได้บ้าง เด็กหญิงจากครอบครัวยากจนคงไม่เข้าใจเรื่องของสมบัติผู้ดี

 

“น้องซี นี่คือคุณหนูหยูที่ข้าเคยเล่าให้เจ้าฟัง นางคือคนที่ให้สูตรซอสหอยนางรมเรามาโดยไม่คิดเงิน ผัดผักซอสหอยนางรมของโปรดเจ้าก็ทำมาจากสูตรของนาง” โจวซือชู่แนะนำหยูเสี่ยวเฉาให้เพื่อนสนิทของเขารู้จักอย่างกระตือรือร้น

 

หยูเสี่ยวเฉาได้สติกลับมาแล้ว นางจึงพยักหน้าให้เด็กหนุ่มหน้าสวยคนนั้น

 

หยวนหยุ่นซีเป็นนักชิมโดยกำเนิด ดังนั้นเมื่อได้ยินคำพูดของโจวซือชู่ ความไม่พอใจก็หายไปบางส่วน เขาพยักหน้าน้อย ๆ แล้วพูดว่า “มิน่าเล่าท่านปู่ของข้าถึงพูดบ่อย ๆ ว่า ‘ผู้เชี่ยวชาญที่แท้จริงอยู่ท่ามกลางผู้คน’ ดูเหมือนว่าท่านปู่จะพูดถูก เด็กผู้หญิงอายุ 6 - 7 ปีที่ทั้งเก่งกาจและใจกว้างเช่นนี้น่าชื่นชมจริง ๆ ! ”

 

“เอาล่ะ ! เลิกพูดมากเถอะ ! ไม่เห็นไหในมือคุณหนูหยูหรือเยี่ยงไร ? มันจะต้องมีของดีอยู่ข้างในเป็นแน่ ไปช่วยข้าต้อนรับแขกก่อนเถิด แล้วอาหารอร่อย ๆ จะตามเจ้าไปในอีกไม่ช้า ! ” โจวซือชู่สนิทกับเขามาก จึงไม่ได้ปฏิบัติกับหยวนหยุ่นซีแบบคนนอก และส่งเขากลับไปที่ห้องส่วนตัวของร้านเพื่อช่วยดูแลแขก

 

หยูเสี่ยวเฉาก้มหน้าลงมองปลาสีขาวในไห นางมองคุณชายสามอย่างจนปัญญาแล้วพูดว่า “ปลาจากภูเขาพวกนี้อร่อยแน่นอนเจ้าค่ะ แต่ข้าได้พูดเมื่อไหร่กันว่าจะขายมันเจ้าคะ ? ”

 

“เจ้าไม่ขายทั้ง ๆ ที่แบกมันมาถึงนี่เยี่ยงนั้นรึ ? เจ้าจะเก็บไว้กินเองงั้นรึ ? ” โจวซือชู่เกือบเอื้อมมือไปคว้าไหดินเผานั่นมาแล้วเมื่อได้ยินว่าปลาในนั้นอร่อย

 

หยูเสี่ยวเฉาส่ายหน้า “ข้ามิได้กินเอง น้องของข้าต่างหากที่ชอบกิน ! ท่านย่าบอกให้ข้าเอามาให้เขาในวันนี้ ถ้าข้าทำไม่สำเร็จ ตอนข้ากลับไปถึงบ้านข้าต้องโดนด่าเป็นแน่ ! ”

 

โจวซือชู่ทำหน้าผิดหวัง เขามองปลาตรงหน้าแล้วพูดเสียงอ้อนว่า “ในนั้นมีปลาตั้งเยอะมิใช่รึ ? แบ่งมาครึ่งหนึ่งก็ได้นี่ ! ก็ข้าได้สัญญากับพวกนั้นไปแล้ว ถ้าทำตามสัญญามิได้ข้าก็เสียความน่าเชื่อถือหมดน่ะสิ น่าอายออกจะตาย ข้าให้ราคาดีด้วยนะ คงมิเป็นไรหรอก ถ้าท่านย่าของเจ้าเห็นเงินก็คงไม่ด่าเจ้าแล้ว”

 

พูดจบเขาก็เอาก้อนเงินที่มีค่าถึง 5 ตำลึงออกมายัดใส่มือฉีโตว สัตว์ทั้งตะกร้าขายได้เพียง 2 ตำลึงเท่านั้น เช่นนั้นเงิน 5 ตำลึงสำหรับปลาพวกนี้ก็น่าจะพอมิใช่รึ ?

 

หยูเสี่ยวเฉาตาลุกวาว แต่นางแกล้งทำเป็นลำบากใจและก้มหน้าครุ่นคิดก่อนจะยอมตกลงอย่างไม่เต็มใจ

 

โจวซือชู่สั่งให้เสี่ยวเอ้อเอากะละมังมาและเทปลาในไหลงไปครึ่งหนึ่ง จากนั้นก็บอกคนงานในครัวให้ล้างพวกมันให้สะอาด แล้วก็หันมาขอแบบหน้าไม่อาย

 

“ดูสิ หัวหน้าพ่อครัวหวังกับคนอื่น ๆ ไม่เคยทำปลาชนิดนี้เลย ไหน ๆ ช่วยแล้วก็ช่วยจนถึงที่สุดหน่อยมิได้รึ ? ทำอาหารให้ข้าหน่อยได้หรือไม่ ? ไม่เสียเวลามากหรอก  ประเดี๋ยวข้าจะสั่งให้เตรียมอาหารไว้ให้พวกเจ้ากินด้วยกันอีกด้วย เลยเที่ยงมามากแล้ว พวกเจ้าต้องหิวมากเป็นแน่ ! ”

 

รีวิวผู้อ่าน