บทที่ 21 สองทางเลือก
ผลกระจ่างจิตงั้นเหรอ!
ทุกคนร้องอุทานออกมาอย่างดัง
แต่คนที่ตกตะลึงกว่าใครคงหนีไม่พ้นเฉินเฉียง
ไม่ว่าเขานั้นจะคิดยังไงก็ตาม เขาไม่คิดว่าไอ้ของกินเล่นระหว่างทางให้เจ้าตัวน้อยนี่จะเป็นผลกระจ่างจิตที่เป็นเป้าหมายของภารกิจนี้ไปได้
และเมื่อเห็นปฏิกิริยาของผู้คุมจ้าวแล้วเขายิ่งไม่กล้าบอกความจริงเข้าไปใหญ่ว่ามีผลกระจ่างจิตอีกห้าผลอยู่ในท้องของเจ้าตัวน้อย
“ไม่ใช่ว่ามีอะไรผิดพลาดไปรึเปล่าครับผู้คุมจ้าว ไอ้แผนที่ที่มีรูปของผลกระจ่างจิตอยู่นั่นไม่เห็นเหมือนกันเลยสักนิด”
มีใครบางคนได้นำรูปที่ผู้คุมจ้าวให้มาก่อนหน้านี้มาเทียบเคียงดูแล้ว สีมันไม่ถูกต้อง เพราะผลกระจ่างจิตในรูปนั้นสีดำสนิท
“เฮ้ออออ เป็นความผิดข้าเองแหละ”
ผู้คุมจ้าวหยิบผลกระจ่างจิตออกมาก่อนที่จะยิ้มออกมาเล็กน้อย
“ผลกระจ่างจิตนั้น ด้วยการที่มันหายาก ทุกๆครั้งที่พวกเราเจอนั้นมันก็ถูกนำไปใช้ในทันที”
“แต่ข้าเองก็ไม่คิดว่าจะมาได้เจอผลกระจ่างจิตอยู่บนหลังเจ้าเม่นตัวน้อยนี่ เจ้าผลนี้สมควรจะมีอายุพอสมควรเลยทีเดียว”
“ดูจากสีแล้ว อย่างน้อยๆมันก็ควรมีอายุไม่ต่ำกว่า 15 – 16 ปี เมื่อเทียบกับผลกระจ่างจิตรที่เคยใช้กันก่อนหน้านี้ เจ้านี้สมควรจะมีสรรพคุณที่ดีกว่า”
หลังจากได้ยินคำอธิบายจากผู้ควบคุมจ้าวแล้ว ทุกๆคนก็เข้าใจได้ในทันที
“งั้น....ถ้าท่านพูดมาถึงขนาดนี้ นั่นก็หมายความว่า ภารกิจของเราเสร็จสิ้น ใช่รึเปล่า”
ชายอ้วนระดับนายพลวิญญาณได้ถามออกมาด้วยความตื่นเต้นยินดี
ผู้คุมจ้าวพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม
“ไม่เพียงเท่านั้น ข้าจะเพิ่มเม็ดยาให้สองเม็ดแทนคำขอโทษที่ทำภาพได้ไม่ละเอียดดีพอ”
“ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม นี่นับว่าเป็นเรื่องที่ดีที่พวกเรานั้นทำภารกิจได้เสร็จสิ้น แถมภารกิจยังลุล่วงได้อีกด้วย”
“ในครั้งนี้ ทุกคนจะได้รางวัลตอบแทน เด็กๆ ส่งมอบแก่นคริสตัลอีกครึ่งหนึ่งให้กับทุกคนได้”
พวกทหารได้นำถึงแก่นคริสตัลที่เหลือนำมามอบให้ทุกคน หลังจากเฉินเฉียงได้ถุงนี้ไปแล้ว ผู้คุมจ้าวได้พูดต่อว่า “เฉินเฉียง เจ้าควรจะขายหนังเม่นเกราะนั่นให้ตึกนายพลของพวกเรานะ ด้วยความสามารถของเจ้าในตอนนี้น่าจะไม่สามารถเข้าถึงคนที่สามารถแปรเปลี่ยนเจ้านี่เป็นอาวุธได้ เก็บไว้ก็ไร้ประโยชน์”
“อ้อแล้วก็ไม่ต้องเป็นกังวลว่าข้าจะกดราคาหรอกนะ ยิ่งไปกว่านั้นข้าจะเพิ่มรางวัลให้เจ้าอีก เจ้าจะได้รับแก่นคริสตัลระดับนายพลขั้นต่ำยี่สิบก้อน”
เฉินเฉียงในตอนนี้หูอื้อตามัวไปหมดในตอนนี้ ในเวลาเดีวกัน เมื่อเขาได้นำแก่นคริสตัลทั้งหมดเก็บไป ระบบก็ได้ทำการเปลี่ยนแก่นคริสตัลเหล่านั้นเป็นพลังงานได้ 600 หน่วย ทำให้ตอนนี้เขามีค่าพลังงาน 2,340 หน่วย
หลังจากที่เขาได้รับแก่นคริสตัลมาแล้ว เฉินเฉียงได้จ้องมองไปยังผู้คุมจ้าวด้วยสายตาที่คาดหวัง
เขาจำได้ถนัดชัดเป็นอย่างดีว่าเมื่อห้าวันก่อนนั้น ผู้ควบคุมจ้าว ได้บอกทุกคนว่าใครก็ตามที่พบผลกระจ่างจิตจะได้รับรางใหญ่เพิ่มเติม
มันจะดีหากว่ารางวัลที่ว่านั้นคือแก่นคริสตัล
และจะดียิ่งหากเป็นระดับนายพล
เพราะเขาเองนั้นต้องการจะเพิ่มค่าทักษะ และการเพิ่มโดยใช้การดูดซับแก่นคริสตัลถือได้ว่าดีที่สุดสำหรับเขาแล้วในตอนนี้
ผู้ควบคุมจ้าวไม่ได้เร่งรีบแต่อย่างใด เป็นไปได้ว่าเขาเองกำลังให้คนไปนำมันมา หลังจากที่เขาแบ่งแก่นคริสตัลแล้วเอามาหลอกล่อเม่นเกราะตัวน้อยนี่เล่นได้สักพัก เขาก็ได้หันมาหาเฉินเฉียงด้วยสายตาที่ดูมีนัยบางอย่าง
“จากที่เจ้าว่ามานั้น ดูเหมือนว่าเจ้าต้องการเลี้ยงเจ้าหนูนี่ใช่รึเปล่า”
“กับเรื่องนั้นข้าคงต้องทำให้เจ้าผิดหวังแล้วล่ะนะ แต่ไม่ต้องกังวลไป ข้าจะยังไม่ฆ่าเจ้าหนูนี่ ไม่สิข้าจะไม่ฆ่าเจ้าหนูนี่แน่นอน แถมข้าจะส่งมันไปยังตึกนายพลและหาใครบางคนที่สามารถฝึกสัตว์ได้ให้ดูแลมัน มีสิ่งนี้เท่านั้นที่จะสามารถทำลายสัญชาตญาณสัตว์ป่าของมันได้”
เฉินเฉียงเองก็ดูมีสีหน้าผิดหวังลงไปเล็กน้อย
ถึงแม้จะต้องแยกจากจากเจ้าตัวน้อยก็ช่างมันเถอะ สิ่งที่เขาต้องการก็คือรางวัลตามสัญญานั่นต่างหาก
-ฉันอยากได้แก่นคริสตัลโว้ยยยยยย-
“ฮ่าฮ่าฮ่า ก็ได้ก็ได้ ไม่แกล้งนายแล้วก็แล้วกัน”
หลังจากพูดจบ ผู้ควบคุมจ้าว ได้ส่งเจ้าตัวน้อยให้ทหารคนหนึ่งอุ้มและพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม “ตึกนายพลจะผิดคำพูดอันทรงเกียรติได้ยังไงกันล่ะ”
“อย่ากังวลไปเลยน่า ข้าสัญญาว่าเจ้าจะได้ผลตอบแทนที่ดีอย่างแน่นอน และข้าเองก็พร้อมที่จะมอบให้เจ้าแล้ว”
“แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าข้าจะต้องให้เจ้าเลือกก่อนล่ะนะ และเจ้าต้องเป็นคนตัดสินใจด้วยตัวเอง”
“รางวัลอย่างแรก เจ้าสามารถเข้าร่วมกับตึกนายพลและกลายเป็นองครักษ์ส่วนตัวให้กับนายพลของพวกเรา อย่างที่สองเจ้าจะได้รับการเสนอชื่อจากตึกนายพลให้เข้าเรียนในสำนักเต่าดำเพื่อเข้าไปเรียนที่นั่น”
เอาล่ะ เลือกได้แล้วว่าเจ้าจะไปที่ไหน
หลังจากพูดจบ ผู้คุมจ้าว ก็นั่งลงและทำการเคาะนิ้วบนขาของตัวเอง
“ว้าวววว เป็นองครักษ์ส่วนตัวของนายพลเหรอ นั่นมันเป็นหน้าที่อันทรงเกียรติมากเลยนะ”
“แม้แต่คนโง่ก็ยังรู้เลยว่าต้องเลือกอะไร การทำงานที่ตึกนายพลนั่นอย่างน้อยๆก็ได้แก่นคริสตัลระดับนายพลขั้นต่ำตั้งยี่สิบก้อนเลยนะ”
“จะบอกอย่างนั้นก็ยังไม่ได้นา การเข้าไปเรียนที่สำนักเต่าดำเองก็ถือว่าเป็นทางเลือกที่ดี ที่ผ่านมานั้นขนาดตึกนายพลเหมันต์จันทรานั้นยังมีโอกาสส่งคนของตนไปเรียนที่นั่นในแต่ละปีนับคนได้เลย การได้เข้าไปเรียนที่นั่นเพื่อทำการบ่มเพาะได้นั้นเรียกได้ว่ายากเสียยิ่งกว่ายากซะอีก”
นอกจากสิ่งที่เขาเฝ้ารอจะไม่ใช่แก่นคริสตัลแล้ว มาในตอนนี้ เฉินเฉียงยังต้องมานั่งตัดสินใจเกี่ยวกับอนาคตของตัวเองอีกซะอย่างนั้น
เขาในตอนนี้อยากจะเข้าไปกระซิบถามผู้คุมจ้าวจริงๆว่าขอเปลี่ยนเป็นแก่นคริสตัลระดับนายพลสักแปดพันก้อนได้รึเปล่า
เพราะไอ้ทั้งสองที่ว่ามานั้น เขาไม่ได้รู้จักและไม่ได้สนใจทั้งสองนี้เลยสักนิด แล้วเขาจะไปเลือกได้ยังไง
เมื่อไม่มีหนทางออก เขาจึงได้ปรายตามองไปยังหลิงเว่ย
หลิงเว่ยเองที่ได้เห็นก็หรี่ตามอง เขานั้นรู้ดีว่าทั้งสองตัวเลือกนี้ล้วนแล้วแต่ดีต่อเฉินเฉียงทั้งสิ้น
แต่เมื่อได้เห็นสายตาของเฉินเฉียงแล้วก็จึงได้รีบอธิบายให้ฟังที่ข้างหูในทันที “เฉินเฉียง ถ้าเจ้าเลือกทำงานที่ตึกจอมพลได้นั้นไม่ว่ายังไงก็มีแต่ได้กับได้ ไม่เพียงจะมีโอกาสเลื่อนขั้นการบ่มเพาะมากกว่าใครแล้ว เงินเดือนที่ได้ในแต่ละปีนั้นยังทำให้ผู้คนต่างก็อิจฉาตาร้อนกันแบบสุดๆ”
“แต่ที่สำคัญกว่าเหนือสิ่งอื่นใดก็คือมันมั่นคง”
“แล้วถ้าเป็นสำนักเต่าดำล่ะ” เฉินเฉียงเมื่อได้ยินดังนั้นก็อดไม่ได้ที่จะถามออกมา
“มันก็ดีแหละ หืม นี่เจ้าอยากเข้าไปเรียนที่นั่นเหรอ ถ้าคิดอย่างนั้นได้ก็ถือว่าเป็นตัวเลือกที่ดีนะ”
“เผ่าพันธุ์มนุษย์ของเรานั้นมีสำนักชั้นนำอยู่สี่แห่ง ประกอบไปด้วยมังกรคราม เสื้อขาว นกเพลิง และเต่าดำ จะบอกว่าเป็นขุมพลังของเผ่าพันธุ์มนุษย์ก็ว่าได้”
ยิ่งไปกว่านั้นคือ ในแต่ละปี จำนวนคนที่สามารถเข้าไปเรียนที่นั่นได้นั้นมีจำนวนจำกัด แต่คนที่จบออกมาได้นั้น เรียกได้ว่าน้อยซะยิ่งกว่าน้อยเสียอีก
จะเรียกอีกอย่างว่าเป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยยอดคนก็ว่าได้
คนที่จบออกมาจากที่นั่นได้เองกว่าครึ่งล้วนแล้วแต่เป็นบุคลากรที่มีสิทธิก้าวเข้าสู่ระดับราชา
นายพลหลินเฟิงของพวกเราเองก็จบจากที่นั่น
อย่างไรก็ตาม หากเจ้าต้องการจะเข้าที่นั่นต้องคิดให้ดี ไม่ใช่ว่าทุกคนที่เข้าไปได้และจบออกมานั้นจะมีโอกาสขึ้นไปอยู่ในระดับราชาในอนาคต ถามยังมีบางคนที่ตกตายไประหว่างการศึกษาก่อนเรียนจบ
“ตายตอนเรียนเนี่ยนะ”
เฉินเฉียงนิ่งอึ้งไปในทันทีที่ได้ยิน
อย่างไรก็ตาม มันเป็นเรื่องปกติของเส้นทางการบ่มเพราะอยู่แล้ว
“ใช่ โดยเฉพาะโรงเรียนเต่าดำนั่น ที่นั่นไม่ใช่สถานที่ที่จะชุบเลี้ยงคนให้อยู่เพียงแค่ระดับนายพลเท่านั้น”
“ข้าเองก็ไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้มากนัก แต่ทุกๆคนนั้นรู้กันเป็นอย่างดีว่าตราบใดที่เข้าไปในที่นั่นได้ ก็มีโอกาสสูงที่ขึ้นไปอยู่ในระดับราชา”
“หากว่าต้องการหวังผลระยะยาวแล้วข้าก็คือแนะนำว่าให้ไปเรียนที่นั่นดีกว่า”
เฉินเฉียงที่ได้ยินดังนั้นก็ได้ลุกขึ้นยืนจากเก้าอี้อย่างช้าๆ และพูดออกมาอย่างเย็นยะเยียบ
“ถ้าอย่างนั้น...ผู้คุมจ้าว ข้าขอถามคำถามหนึ่ง ปกติแล้วระดับบ่มเพาะขององครักษ์ส่วนตัวของนายพลนั้นต้องมีการบ่มเพราะอยู่ที่ระดับไหน”
-ถามทำไมล่ะนั่น เป็นไปได้ว่าไอ้หนูนี่จะยังคงสับสนล่ะมั้ง- เมื่อคิดได้ดังนั้น ผู้คุมจ้าว ก็ได้หันไปมององครักษ์ส่วนตัวของตนและพูดขึ้นว่า “เห็นสองคนนั้นรึเปล่า สองคนนั้นคือองครักษ์ของข้า สองคนนั่นมีระดับบ่มเพาะอยู่ที่ระดับนายพลวิญญาณ”
เมื่อได้ยินดังนั้น องครักษ์สองคนก็ได้ยืดอกเชิดขึ้นมาราวกับนัดกันไว้ เมื่อเห็นเฉินเฉียงจ้องมาที่พวกตน
พวกเขาต้องการทำให้เฉินเฉียงเห็นว่าตำแหน่งนี้มีเกียรติขนาดไหน
“ส่วนองครักษ์ของผู้พันคนอื่นก็จะอยู่ในระดับนายพลวิญญาณขั้นกลาง”
หลังจากได้ยินที่ผู้คุมจ้าวพูดออกมาแล้ว เฉินเฉียงได้พูดออกมาโดยไม่คิดอะไรอีก “กะแล้วเชียว...ผู้ควบคุมจ้าว ถ้างั้นข้าคงขอเลือกข้อสองครับ”
“ฮ่าฮ่าฮ่า ข้ารู้อยู่แล้วว่าเจ้าต้องเลือกกก............ ห้ะ พูดใหม่อีกทีสิ”
ผู้คุมจ้าว ที่กำลังดีใจไปได้ครึ่งทางก็ต้องหันหัวกลับมาถามด้วยความประหลาดใจอีกครั้ง
เฉินเฉียงก็ได้ตอบไปอีกครั้งอย่างเต็มปากเต็มคำ “ข้าบอกว่า ข้า จะ เข้า สำนัก เต่า ดำ ครับ”