บทที่ 9 คิดว่าคนอื่นเขาเป็นคนโง่รึไง
ฉินจิ่นปูผ้าสี่เหลี่ยมผืนผ้าลายดอกอยู่ตรงมุมนึงของตลาด เอาถุงหอมมาจัดเรียงเป็นถุงๆ อย่างเป็นระเบียบ ไม่นานก็ได้ดึงดูดและหยุดฝีเท้าของคุณกลุ่มนึง
“แม่นาง ถุงหอมนี้ขายยังไงหรือ”
“ถุงละยี่สิบเหวินเจ้าค่ะ”
“ลดราคาหน่อยได้ไหม ถุงหอมของช่างปักแค่สิบแปดเหวินเอง
“แบบไม่เหมือนกันราคาเลยต่างกันน่ะเจ้าค่ะ อีกอย่างนี่เป็นรูปที่พวกข้าออกแบบเอง ลงแรงลงใจไปเยอะ ต้นทุนก็ไม่เหมือนกันแล้วเจ้าค่ะ บวกกับของที่ใส่ข้างในนั้นไม่ใช่เครื่องหอมทั่วไป ข้างในยังมีสมุนไพรมากมาย ถ้าดมกลิ่นทุกๆ วันก็จะมีสรรพคุณทำให้รู้สึกมีชีวิตชีวาสดชื่นด้วยเจ้าค่ะ”
“เป็นแบบนั้นจริงหรือ ช่างแปลกใหม่จริงๆ”
......
ถึงแม้บางคนจะคิดว่าแพง แต่ทนความชอบไม่ได้ บวกกับรูปแบบที่พิเศษนั้น สุดท้ายก็กัดฟันแล้วล้วงกระเป๋าคาดเอว
ตั้งแต่สมัยก่อนยันปัจจุบัน ผู้หญิงก็ไม่เคยใจอ่อนในเรื่องการเสียเงินให้กับตัวเองเลยจริงๆ
“แม่นาง นี่เงินหนึ่งก้วน ”
“ท่านพี่ถิง แม่นางท่านนี้เอาสองถุง ทอนหกสิบเหวินเจ้าค่ะ”
“เข้าใจแล้ว นี่หกสิบเหวิน”
ฉินจิ่นรับหน้าที่เรียกลูกค้า แน่นอนว่าเว่ยเหยียนถิงนั้นรับหน้าที่เก็บเงินและทอนเงิน ไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง เครื่องหอมที่นำมานั้นก็เหลือไม่มากแล้ว ดูแล้วเหลือแค่สองถุง นางกำลังจะตะโกน ก็เห็นหญิงคนหนึ่งบิดตัวไปมา เดินมาทีละก้าว
“ที่นี่ทำอะไรน่ะทำไมคึกคักจัง”
ทั้งๆ ที่เป็นหน้าหนาว บนตัวผู้หญิงคนนี้นั้นสวมชุดขน ในมือกลับแสร้งทำเป็นหยิบพัดขนปุยเล่มนึง
“ที่แท้ก็เป็นอาจิ่นนี่เอง ให้ข้าดูหน่อยสิว่าเจ้าขายอะไร” โจวหลันหลันหยิบถุงหอมถุงนึงขึ้นมาดมแล้วสูดดมดู แล้วก็ดูไปที่ดอกไม้ที่ปักอยู่ด้านบน
“นี่เจ้าทำเองรึ ทำงานหยาบไปนะ ลวดลายก็งั้นๆ กลิ่นเครื่องหอมด้านในก็หอมไม่เท่าไม้จันทน์แดงที่บ้านข้า ดูแล้วราคาถูกมาก แต่เพราะเห็นแก่ความเป็นเพื่อนกันมานานของเรา ข้าเอาสองอันนี้ ทั้งหมดสามสิบเหวินละกัน
โจวหลันหลันกำลังจะล้วงเงิน ฉินจิ่นกลับแย่งถุงหอมในมือนางกลับมา “ขอโทษด้วยสองอันนี้ไม่ขาย”
ทั้งๆ ที่ชอบเสแสร้งตอแหล อยากทำตัวอวดรวย แล้วยังจะซื้อสองอันในราคาสามสิบเหวินอีก
“ทำไมถึงไม่ขาย เมื่อกี้เจ้ายังขายให้คนอื่นไปได้ ทำไมถึงขายให้ข้าไม่ได้”
“แล้วแต่อารมณ์น่ะ”
โจวหลันหลันโมโหมาก “อาจิ่น ยังไงเราก็เป็นเพื่อนกันมานาน ข้าก็เห็นสิ่งนี้แล้วช่วยอุดหนุนธุรกิจของเจ้า ถ้าเจ้าจะไม่เห็นค่าแบบนี้ก็ช่างเถอะ ข้าไม่เอาแล้ว”
“ได้ ในเมื่อเจ้าอยากช่วยอุดหนุน งั้นอันละห้าสิบเหวิน สองอันก็หนึ่งก้วน สามีรวยขนาดนี้ คงไม่เสียดายเงินหนึ่งก้วนจนทำให้ตัวเองลำบากหรอกนะ”
“เจ้า......”
โจวหลันหลันกระอักกระอ่วนต่อหน้าคนทั้งตลาด ในตลาดนี้มีคนรู้จักนางไม่น้อย เพื่อศักดิ์ศรีเลยทำได้แค่ล้วงเงินออกมาอย่างฝืนความเจ็บปวด
เว่ยเหยียนถิงช่วยฉินจิ่นเก็บร้าน นับเงินสักหน่อย วันนี้ได้เงินทั้งหมดสี่ก้วนกับหกสิบเหวิน แน่นอนว่ารวมเงินของโจวหลันหลันหัวโตเข้าไปด้วย วันนี้นอกจากจะขายถุงหอมแล้ว ก็คิดจะซื้อของปีใหม่ด้วย ทั้งสองเก็บเสร็จแล้วก็เห็นโจวหลันหลันยังอยู่
“เจ้ามีอะไรอีกรึเปล่า”
เห็นอีกฝ่ายน้ำเสียงเย็นชา แต่กลับยิ้มอย่างเป็นมิตรขึ้น “เจ้าดูเจ้าสิ เมื่อก่อนพวกเราสนิทกันอย่างกับพี่น้อง ทำไมเจ้าถึงทำเหมือนคนอื่นไปได้ ในเมื่อข้าอุดหนุนของเจ้าแล้ว เจ้าก็อุดหนุนร้านข้าบ้างสิถึงจะถูก เจ้าวางใจเถิด ข้าจะขายราคาทุนให้เจ้า ไม่คิดเงินเพิ่มสักนิดเลยล่ะ”
“ก็ดี งั้นถ้าเอาข้าวสี่สิบเหวิน เจ้าเตรียมไว้เถอะ ข้ากับพี่ถิงจะไปซื้อของอย่างอื่น แล้วเดี๋ยวจะกลับไปเอาที่ร้านเจ้า
“เจ้าวางใจเถิด เดี๋ยวข้าจะเตรียมไว้ให้เข้า ไม่ขาดเลยแม้แต่นิดเดียว
“ขอบคุณมาก”
“เจ้าจะเกรงใจข้าทำไมกัน ทำอย่างกับเป็นคนอื่นคนไกล”
สี่สิบเหวินนั้นซื้อข้าวได้ห้ากิโลกรัม พอสำหรับฉลองปีใหม่กันทั้งบ้านแล้ว ต่อหน้านั้นโจวหลันหลันพูดดิบดี พอกลับถึงร้านหน้าก็เปลี่ยนทันที สั่งให้คนเอาข้าวใส่มาครึ่งถุง ประมาณสามกิโลกรัม จากนั้นก็ใส่ทรายขาวเข้าไป พอดูแล้วก็ไม่ต่างกัน
แล้วก็เติมไปจนถึงห้ากิโลกรัม โจวหลันหลันก็ถุยน้ำลายแล้วก็เอาขี้ไก่ใส่ลงไปด้วย คนให้เข้ากันจนไม่เห็นร่องรอย
โจวหลันหลันปวดเอวปวดหลัง มัดถุงเรียบร้อยกำลังรอฉินจิ่นมารับ ต่อมาเถ้าแก่ร้านเนื้อก็มาบอกคำนึงว่า ข้าวถุงนี้แม่นางบ้านเว่ยไม่เอาแล้ว
โจวหลันหลันโมโหจนขว้างแจกันไปหลายใบ ฉินจิ่น ในเมื่อแกกล้าทำกับข้าแบบนี้ ข้ากับแกก็อยู่ร่วมโลกกันไม่ได้
บนทางกลับบ้านนั้นเว่ยเหยียนถิงรู้สึกว่าทำเกินไป “อาจิ่น เรากลับไปแบบนี้มันจะดูไม่ดีรึเปล่า เราควรจะไปบอกด้วยตัวเองรึเปล่า”
“ท่านพี่ถิง ข้ากับนางรู้จักกันมาหลายปี ข้ารู้นิสัยของนางยิ่งกว่าอะไร ใจคอคับแคบ อาฆาตมาดร้าย นางเอาเปรียบข้าไม่ได้ แน่นอนว่าข้าวที่ขายให้กับเราไม่ใช่ของดีแน่”
ถึงเว่ยเหยียนถิงจะไม่เข้าใจความแค้นระหว่างผู้หญิง แต่ก็แสดงท่าทีเข้าใจ ภรรยาว่ายังไงก็ว่าอย่างงั้น ฟังภรรยาเท่านั้น
“พี่รอง พี่สะใภ้รอง พวกพี่กลับมาแล้วรึ” เว่ยเหยียนซิ่นกำลังตักน้ำอยู่ที่ลานบ้าน เห็นทั้งสองกลับมาพร้อมกับถุงเล็กถุงใหญ่ก็รีบไปรับทันที แล้วช่วยถือของเข้าไปไว้ในห้องครัว
เว่ยจวนได้ยินว่าพวกเขากลับมาแล้ว ก็รีบไปทันที แต่จะถามว่าฉินจิ่นไปขายเป็นยังไงบ้างทันทีก็คงไม่ดี
พอมองเห็นถึงความคิดของผู้หญิงคนนี้แล้ว ฉินจิ่นก็หยิบเงินสองก้วนสามสิบเหรียญออกมา แล้วยัดไปที่มือนาง “ถุงหอมขายหมดแล้ว ขายได้ทั้งหมดสี่ก้วนหกสิบเหรียญ นี่เป็นส่วนของเจ้า เจ้าเก็บไว้เถิด”
“ทำ ทำไมเยอะจัง”
ไม่เคยได้เห็นเงินเยอะเท่านี้มาก่อน เว่ยจวนเอาไว้ในมือแล้วทำตัวไม่ถูก คิดไปคิดมาก็คืนให้นางหนึ่งก้วน “พี่สะใภ้รองลำบาก แล้วก็ยังมีค่าอุปกรณ์อีก ข้ารับไว้เยอะขนาดนี้ไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ”
“ให้เจ้ารับไว้ก็รับไว้เถอะ ถ้าไม่มีการปักเย็บของเจ้า ถุงหอมนี้คงทำไม่สำเร็จ ข้ายังมีความคิด อยากจะทำของบางอย่างกับเจ้าอีก ถ้าเจ้าไม่ยอมรับไว้ ข้าก็ไม่กล้าให้เจ้าช่วยแล้วล่ะ”
เว่ยจวนเก็บเงินไว้ ในใจยิ่งเชื่อถือมากขึ้นไปอีก “พี่สะใภ้รองว่ายังไงก็อยากงั้นแหละ ข้าเชื่อพี่”
ทั้งบ้านรอฉลองปีใหม่ บรรยากาศสนิทสนมกลมเกลียวกัน นางตั้งใจซื้อกระดาษสีแดงมาเป็นพิเศษ เว่ยจวนต้มแป้งเปียกแล้ว เว่ยเหยียนถิงก็หั่นกระดูกเสร็จแล้ว จุดโคมไฟสีแดงดวงใหญ่
ตัดกระดาษจีน แล้วติดกลอนคู่แปดที่มีคำอวยพรปีใหม่อยู่ บ้านที่เก่าทรุดโทรมถึงจะมีบรรยากาศของปีใหม่ขึ้น
ตัวหนังสือของเว่ยเหยียนถิงนั้นสวยมากจริงๆ ถ้าอยู่ที่บ้านสมัยนี้ก็คงได้เป็นอาจารย์เขียนพู่กันจีน ฉินจิ่นมองดูกลอนบนประตู ในใจรู้สึกภูมิใจ สมกับเป็นผู้ชายของตัวเองจริงๆ
เว่ยเหยียนถิงและเว่ยเหยียนซิ่นไปตัดต้นสนบนภูเขา นำมาใช้รมควันเนื้อหมูที่ทำเสร็จแล้ว หมูและไส้กรอกที่รมควันนั้นแขวนอยู่ที่ลานบ้าน กลิ่นหอมฟุ้งเตะจมูก ทำให้ผู้คนน้ำลายสอ
นอกจากชายชราเว่ยที่ร่างกายไม่แข็งแรงแล้ว คนอื่นๆ เกือบทุกคนต่างก็สนุกสนาน บ้านไร่เล็กๆ หลังนี้กลับมีความอบอุ่นที่เกินจะบรรยายได้
วันส่งท้ายปีใหม่ ทั้งครอบครัวอยู่ทานข้าวปีใหม่ด้วยกันอย่างกลมเกลียว ฉินจิ่นพาเสี่ยวซีเล่นประทัดอยู่ที่ลานบ้าน รอยยิ้มของเสี่ยวชีนั้นสดใสไร้เดียงสา
นี่ถึงจะเป็นท่าทางที่เด็กอายุเท่าเขาควรจะมี การที่ต้องระมัดระวังนั้นไม่เหมาะกับคนที่เป็นเด็กคนหนึ่ง