บทที่18 ย้อนกลับไปในวันที่กระเป๋าสตางค์ว่างเปล่า
“แม่นางฉิน” รอจนถึงตอนที่เถ้าแก่หวูออกไป ในห้องนี้ก็ไม่มีคนนอกอยู่เลย นายท่านเจียงค่อยๆ จิบชาไปหนึ่งอึก
“ถึงแม้ว่าเรื่องนี้เจ้าจะไม่ได้ตั้งใจจะคิดทำร้าย แต่ยังไงมันก็เกี่ยวข้องกับเจ้า ยังไงก็ต้องชดใช้ให้กับเราถึงจะถูก”
ฉินจิ่นก็เข้าใจเหตุผลนี้ และใครก็ไม่นึกว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น
“ข้าจะเอาผ้าพันคอกลับไป แล้วให้เงินกับพวกท่านได้ไหมเจ้าคะ” ฉินจิ่นก็กำลังเจรจาอยู่ และท่านเจียงคนนี้ก็ไม่ใช่คนที่จะเจรจาได้ง่าย กลัวว่าจะต้องเพิ่มอีกยี่สิบเหวินถึงจะได้
“แปดสิบเหวิน”
“แปดสิบเหวิน?” ฉินจิ่นโดนตัวเลขนี้ทำเอาตกใจไปที นี่มันเยอะเกินไปรึเปล่า
“แม่นางฉินอย่าคิดว่ามันเยอะเลย ถ้าเรื่องนี้หลุดออกไป แม่นางฉินคงจะไม่ได้เสียเงินแค่นี้หรอกนะ”
ฉินจิ่นคิดแล้วคิดอีก นี่คือการขู่งั้นเหรอ แต่ตอนนี้นางไม่มีวิธีอื่นแล้ว นางก็ไม่คิดเหมือนกันว่าคุณหนูเจียงจะแพ้
“ได้เจ้าค่ะ” ฉินจิ่นหยิบเงินแปดสิบเหวินออกมาจากกระเป๋าสตางค์แล้วยื่นให้ป้าหวังอย่างไม่เต็มใจ
......
อากาศเริ่มจะเย็นแล้ว ถุงมือและผ้าพันคอที่ฉินจิ่นถักก็เยอะขึ้นเรื่อยๆ กำลังเตรียมที่จะเอาไปขาย เพิ่งจะเดินไปถึงตลาดตั้งแผงขาย แล้วโจวหลันหลันก็มา
“เจ้ามาทำอะไร อย่ามาบังทางค้าขายของข้า” ฉินจิ่นจัดเรียงถุงมือและผ้าพันคออย่างดี พอเห็นโจวหลันหลันเดินมาก็ไล่นางไป
โจวหลันหลันเอาผ้าเช็ดหน้าปิดจมูก พูดเสี่ยงแหลมว่า “ของแบบนี้ เจ้ายังจะเอาออกมาขายอยู่อีก ไม่กลัวคนตายรึไง”
“คนตายอะไร เจ้าพูดบ้าอะไร” ได้ยินโจวหลันหลันพูดจามั่วซั่วแต่เช้าตรู่ ฉินจิ่นก็หมดความอดทนที่จะพูดกับนางแล้ว “บอกว่าอย่ามาขวางทางทำมาหากินของข้าไง เจ้าจะไปหรือไม่ไป”
โจวหลันหลันเอาผ้าเช็ดหน้าลงทันที แล้วพูดเสียงดังว่า “ทุกคนมาดูกันเร็ว ของที่มันขายน่ะ ทำเอาคุณหนูเจียงคันไปนั้นตัวเลยล่ะ ไม่สบายอยู่ที่บ้านไปตั้งหลายวัน”
คนแปลกหน้าที่มาซื้อถุงมือของฉินจิ่นก็ถามขึ้น “เจ้ารู้ได้ยังไง”
“คนใช้บ้านนั้นข้าเป็นคนขายเข้าไปเอง มันบอกว่าของที่ฉินจิ่นขายน่ะเป็นของเสียทั้งนั้น ไม่รู้ว่ามาจากที่ไหน ทำเอาคุณหนูของบ้านมันคันไปทั้งตัว” โจวหลันหลันพูดเลยเถิดออกไปเรื่อยๆ ยังแกล้งทำเป็นเอามือปิดปากอีกด้วย แล้วเสียงก็ดังขึ้นเรื่อยๆ
“พวกเจ้าไม่เห็นน่ะสิ จนหน้านั้นแทบจะไม่เป็นหน้าอยู่แล้ว”
โจวหลันหลันตะโกนเสียงดัง แล้วคราวนี้ก็ไม่รู้ว่าดึงดูดคนตั้งเท่าไหร่มาล้อมรอบร้านของฉินจิ่นไว้ แล้วก็พากันนินทา
“เจ้าพูดจบรึยัง จบแล้วก็ออกไป” ฉินจิ่นข่มอารมณ์ไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว หยิบเอาตะกร้าที่ถือติดตัวจะฟาดนาง
“กล้าทำยังไม่กล้ารับอีก” เหมือนว่าโจวหลันหลันจะได้ผลแบบที่ตัวเองต้องการแล้ว คนมามุงดูมากมาย แต่นางกลับเดินสะบัดตูดไป
เหลือฉินจิ่นนั่งอยู่ตรงนั้น เหมือนจะนั่งไม่ติดแล้ว
มีป้าคนหนึ่งเดินมาถาม “แม่นาง ของของเจ้าเหมือนอย่างที่เขาว่าจริงรึ”
ฉินจิ่นอยากจะพูด แต่หญิงสาวอยู่อีกฝั่งพูดแทรกขึ้นมาว่า “ข่าวจะไม่มีมูลได้ยังไง ต้องเป็นเพราะของของเขาไม่ดีแน่ๆ”
คนที่อยู่ข้างๆ ต่างคิดว่าคำพูดพวกนี้มีเหตุผลมาก แล้วก็ยิ่งคนที่สวมผ้าพันคอกับถุงมือมาด้วยนั้น ก็เอามาโยนตรงหน้าฉินจิ่น “ข้าคืน”
คนที่มาทีหลังยังไม่ทันรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นแต่เห็นคนบอกว่าจะคืน ก็ถามขึ้นด้วยความสงสัย “ของก็ดี ทำไมถึงคืนล่ะ ข้าเห็นของที่แม่นางคนนี้ทำก็ดีนี่นา”
“เห้อ เจ้าน่ะไม่รู้อะไร ของของมันน่ะเกือบจะฆ่าคุณหนูเจียงอยู่แล้ว ยังจะดีอะไรอีก”
ฉินจิ่นได้ยินแล้ว ก็ทนไม่ไหว “อย่าไปฟังที่คนเมื่อกี้พูดจามั่วซั่วนะจ๊ะ คุณหนูเจียงยังมีชีวิตอยู่ดีจ้ะ”
ทำให้คนอื่นซวยโดยไม่มีเหตุผลแบบนี้ มันคืออะไรกัน ต้องโทษโจวหลันหลันนั่น พูดอะไรมั่วซั่ว
“งั้นถ้าไม่มีเรื่องแบบนี้ คนเมื่อกี้จะพูดแบบนั้นได้ยังไงล่ะ”
นี่มันข่าวลือปากเดียว วิ่งกลบจนขาแทบหักจริงๆ ตอนนี้ฉินจิ่นรู้สึกถึงความหมายของประโยคนี้แล้ว
ฉินจิ่นเห็นพวกเขาพากันมาคืนถุงมือและผ้าพันคอกันหมด เลยลุกขึ้นพูดอย่างเสียงดังว่า “ทุกคนฟังข้า คุณหนูเจียงแค่แพ้ ไม่ได้เป็นอะไรร้ายแรง ไม่ได้เป็นเหมือนที่คนเมื่อกี้นั้นบอก”
“แล้วเจ้ารู้ได้ยังไงว่าพวกข้าจะไม่แพ้ มีแค่คุณหนูเจียงที่แพ้ แล้วพวกเราแพ้ไม่ได้รึ”
“ขอให้ทุกคนวางใจได้ อาการแพ้เกิดขึ้นแตกต่างกันไปในแต่ละคน ไม่ใช่ทุกคนที่จะมี ถ้าปกติแล้ว แค่ไม่แพ้ตั้งแต่ครั้งแรก ต่อไปก็ไม่เกิดการแพ้เพราะถุงมือและผ้าพันคอนี้แล้วจ้ะ” ฉินจิ่นไม่รู้ว่าการอธิบายแบบนี้นั้นพวกเขาจะเข้าใจรึเปล่า แต่ก็ทำได้แค่พยายามอธิบาย
“แม่นาง เจ้าเนี่ยพูดดีจริงๆ เลยนะ” แต่ป้าก็ยังโยนไปบนแผงลอยอยู่ดี “ยังไงข้าก็จะไม่ใส่ของพวกนี้อีก”
ได้ยินป้าคนนี้พูดแบบนี้แล้ว คนที่อยู่ด้านหลังก็พากันถอดผ้าพันคอออก วางไปบนแผงขาย
“ป้าพูดถูก ข้าก็จะคืน”
“ข้าก็จะคืน”
“ข้าก็ด้วย”
“รีบคืนเงินข้าซะ”
ฉินจิ่นเห็นว่าคนที่จะคืนนั้นเยอะมาก คงห้ามไม่ได้แน่นอน มีคนเห็นว่าฉินจิ่นไม่ได้บอกว่าจะคืนทันที เลยพูดว่า “ตกลงเจ้าจะคืนหรือไม่คืน ถ้าไม่คืนข้าจะไปฟ้องที่ศาลาว่าการว่าเจ้าบังคับให้คนอื่นซื้อขาย”
“ทุกคนวางใจเถิด ข้าจะคืนให้ในราคาเดิมทั้งผ้าพันคอและถุงมือเลยจ้ะ”
ตอนแรกผ้าพันคอและถุงมือทั้งหมดนั้นต่างก็ส่งให้ป้าหลี่ขาย แต่เพราะเกิดเรื่องของคุณหนูเจียงเรื่องนี้ขึ้น ฉินจิ่นเลยไม่กล้าส่งให้ป้าหลี่อีก กลัวจะไปกระทบกับธุรกิจของป้าหลี่ ตัวเองนั้นทดลองว่ามีคนแพ้รึเปล่า ถ้าเกิดว่ามีคนแพ้ขนแกะจริงๆ ตัวเองก็ไม่ขายอีกก็พอแล้ว ใครจะรู้ว่าพอวันนี้ผู้หญิงอย่างโจวหลันหลันมาป่วน ทุกคนก็พากันคืนหมดเลย
“ข้าซื้อมาจากร้านป้าหลี่น่ะ คืนได้รึเปล่า”
“คืนได้จ้ะ”
พอทุกคนคืนกันหมดแล้ว กระเป๋าสตางค์ของฉินจิ่นก็เกือบจะโล่งหมดแล้ว เหลืออยู่แค่ผ้าพันคอกับถุงมือบนแผงลอย ขนแกะนั้นเป็นสีขาวอยู่แล้ว พอผ่านการสวมจากพวกเขามาสักพัก และไม่ได้รักษาดีๆ ก็ค่อยๆ กลายเป็นสีดำไปแล้ว
ฉินจิ่นถอนหายใจไปที กำลังเตรียมตัวจะเก็บ ก็ได้ยินเสียงคนเรียกตัวเองจากด้านหลัง
“อาจิ่น”
คนที่เรียกฉินจิ่นแบบนี้ได้นั้น ก็มีแต่เว่ยเหยียนถิงคนเดียวเท่านั้น
“พี่ถิง พี่กำลังทำนาอยู่ไม่ใช่หรือจ๊ะ ทำไมถึงมาอยู่ตรงนี้ได้ล่ะ”
เว่ยเหยียนถิงเดินมาข้างๆ นางแล้วพูดว่า “ข้าได้ยินเรื่องที่คุณหนูเจียงมีอาการแพ้น่ะ เป็นห่วงเจ้า เลยมาดูเจ้าหน่อย”
“ข้าไม่เป็นอะไรจ๊ะ” ฉินจิ่นยิ้มให้กับเว่ยเหยียนถิง เห็นว่าบนหน้าของเขายังมีดินอยู่ ต้องเปื้อนจากตอนที่ทำนาแน่นอน เลยยกมือขึ้นแล้วก็เช็ดดินบนหน้าออกให้เขา
“พี่อย่าห่วงเลย”
“เจ้าเป็นเมียพี่จะไม่ให้พี่ห่วงได้ยังไงล่ะ” ตอนที่เว่ยเหยียนถิงพูดคำนี้นั้น จริงจังสุดๆ มองฉินจิ่นจนหน้าแดงขึ้นทันที
จริงๆ เลย โดนผู้ชายที่ทั้งหล่อทั้งจริงจังพูดหวานๆ ด้วยแล้ว ทำเอาคัดค้านไม่ได้เลยจริงๆ
ฉินจิ่นคิดว่าระยะทางจากที่นาของตระกูลจางมาถึงที่นี่นั้น ถึงจะใช้วิธีวิ่ง แต่เวลาที่เว่ยเหยียนถิงออกมานั้นก็ไม่น้อยแล้ว
“พี่รีบกลับไปเถอะจ้ะ อย่าอู้งานเลย ให้น้องสี่อยู่ในนาคนเดียว เขาเองก็น่าจะเหนื่อยเหมือนกัน”
ทำไมเจ้าไม่บอกคิดถึงพี่เลยล่ะ” จู่ๆ เว่ยเหยียนถิงก็หดหู่ใจ “ไล่ให้พี่รีบกลับไปอยู่เรื่อยเลย”