บทที่ 23 มีแต่คนเร่งอยู่ทุกที่
คำสารภาพที่มาแบบกะทันหันนั้นทำให้ฉินจิ่นถึงกับหน้าแดง แล้วเว่ยเหยียนถิงก็พูดต่ออีกว่า “อาจิ่น เราผ่านอะไรด้วยกันมาตั้งเยอะ เจ้าไม่เหมือนกับพวกนางอยู่แล้ว ข้าไม่มีวันทิ้งเจ้าหรอก”
ดวงตาของฉินจิ่นก็แดงขึ้นทันที มีใครบ้างที่ไม่เคยได้ยินคำพูดหวานๆ แบบนี้ แต่ฉินจิ่นกลับกล้ายืนยันว่าที่เว่ยเหยียนถิงพูดนั้นเป็นเรื่องจริงแน่นอน เลยเป็นเหตุผลที่ทำให้เป็นคำพูดที่ล้ำค่าแบบนั้น เป็นความคิดของคนที่จะรักกันชั่วนิรันดร์
คิดอยู่แบบนี้ จนฉินจิ่นอยากจะร้องไห้ออกมาแล้วจริงๆ
เว่ยเหยียนถิงก็รู้สึกได้ เลยรีบไปตรงหน้าของฉินจิ่น เช็ดน้ำตาของนางให้แห้ง แล้วพูดว่า
“ทำไมอยู่ดีๆ ถึงร้องไห้ล่ะ อย่าร้องเลย”
“อื้ม” ฉินจิ่นตอบกลับ เงยหน้าขึ้นมองเว่ยเหยียนถิง กะพริบตาประหนึ่งดวงดาว
เว่ยเหยียนถิงก็หลงใหลในทันที จับใบหน้าของฉินจิ่นไว้ แล้วค่อยๆ จูบลงไป ขยับไปมา จากที่มีประสบการณ์จากครั้งที่แล้ว ครั้งนี้เว่ยเหยียนถิงก็ไม่ได้ใช้แรงขนาดนั้นแล้ว อ่อนโยนเหมือนน้ำไหลเลยทีเดียว
ตี๊ดตี๊ดตี๊ด……
แล้วในหัวก็มีเสียงดังขึ้นตามกฎเกณฑ์ “ชาร์จพลังงานสำเร็จ ระบบได้รับการพลังงานสอง
เปอร์เซ็นต์”
ฉินจิ่นทำอะไรไม่ถูก ทำไมต้องเตือนตอนนี้ด้วย นี่มันก่อกวนชัดๆ
เสียงในหัวเพิ่งจะจบลง ก็ได้ยินเสียงของเสี่ยวซี “พี่สาว พี่เขย พวกพี่อยู่ที่ไหนกัน”
เสียงของเสี่ยวซีมีเสียงร้องไห้และกลัวอยู่ด้วย คงจะคิดว่าเว่ยเหยียนถิงและฉินจิ่นไม่เอาเขาแล้ว
เว่ยเหยียนถิงและฉินจิ่นรีบแยกออกจากกัน แล้วฉินจิ่นก็รีบพูดขึ้นว่า “เสี่ยวซี พวกเราอยู่นี่”
เสี่ยวซีรีบวิ่งออกมาจากบ้าน ตกใจจนหน้าขาวซีดไปหมด แล้วพูดว่า “พี่สาว พี่เขย ข้าคิดว่าพวกพี่จะทิ้งข้าแล้ว”
“ได้ยังไงล่ะ” ฉินจิ่นโน้มตัวลูบไปที่หัวของเสี่ยวซีแล้วพูดว่า “ข้าจะทิ้งเจ้าได้ยังไงล่ะ”
“พี่สาว ทำไมหน้าพี่ถึงแดงจังล่ะ” เสี่ยวซีถามอย่างสงสัย “ปากก็แดงขนาดนี้ด้วย”
ฉินจิ่นหันไปมองเว่ยเหยียนถิงอย่างประหม่า โทษเว่ยเหยียนถิงทั้งนั้นที่ลงแรงมากเกินไป จากนั้นก็จับมือเสี่ยวซีกลับเข้าไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“เป็นเด็กอย่าถามคำถามพวกนั้นเลย เชื่อฟังแล้วนอนหลับดีๆ เถอะ”
……
วันรุ่งขึ้น เว่ยเหยียนถิงและฉินจิ่นก็กลับไปเยี่ยมบ้านตระกูลเว่ย
“ท่านพ่อ ท่านแม่” เว่ยเหยียนถิงเห็นแม่ของตัวเองยืนอยู่ที่หน้าประตู ก็ตะโกนเรียกดังลั่น
หญิงชราเว่ยเห็นเว่ยเหยียนถิงและฉินจิ่นกลับมาแล้วจากไกลๆ เลยยิ้มขึ้น “ลูกรอง ลูกสะใภ้ พวกเจ้ากลับมาแล้วรึ”
แล้วก็เห็นพวกเขาถือของเยอะแยะในมือเลยเข้าบ้านไปเรียกเว่ยจวนและเว่ยเหยียนซิ่นออกมา ให้ไปช่วยถือของ
“ไม่เห็นจะหนักเลย ไม่ต้องใช้คนถือเยอะขนาดนี้ก็ได้เจ้าค่ะ” ฉินจิ่นยิ้มแล้วบอกว่า
“แม่ย่าเกรงใจเกินไปแล้ว”
เว่ยจวนรับของจากในมือของฉินจิ่น หัวเราะแล้วพูดว่า “แม่กลัวพี่จะเหนื่อยน่ะจ้ะ”
“ไม่เห็นจะหนักเลย ทุกครั้งก็ส่งมาแบบนี้”
เว่ยจวนมีความคิดของเด็กผู้หญิงอยู่เลยถามแกล้งฉินจิ่นว่า “พี่สะใภ้รอง ท่านแม่กำลังคิดว่า อยากให้พี่มีเจ้าอ้วนตัวน้อยเร็วๆ หน่อย เพราะฉะนั้นเรื่องพวกนี้เลยมอบให้เป็นหน้าที่ของพวกเราน่ะ”
ฉินจิ่นอึ้งไปสักพัก แล้วก็นึกถึงคำสารภาพเมื่อคืนนี้ของเว่ยเหยียนถิง เลยหน้าแดงขึ้นอีก
เว่ยจวนเห็นท่าทางแบบนี้ของฉินจิ่นแล้ว เลยยิ้มแล้วบอกว่า “เอ๋ นี่ข้าพูดถูกแล้วใช่ไหมเนี่ย”
“อย่าพูดไปเรื่อย” ตอนแรกเว่ยเหยียนถิงไม่อยากจะเข้าร่วมบทสนทนานี้ แต่เห็นฉินจิ่นหน้าแดงจนเป็นแบบนั้น ถึงได้ช่วยนาง
“แม่บอกให้เจ้ามาเอาผัก ทำไมชักช้า มือเท้าช้าขึ้นเรื่อยๆ แล้วนะ”
หญิงชราเว่ยอยู่ข้างๆ และฟังทั้งสองสามคนพูดคุยกันอยู่ตลอด รอให้เว่ยเหยียนถิงพูดจบแล้วก็บอกว่า “ลูกสะใภ้รอง เรื่องนี้ที่พวกเจ้าจะมีลูกกันเมื่อไหร่นั้น มันก็เรื่องของพวกเจ้าสองคน เร่งไม่ได้หรอก แต่เจ้าดูทุกวันนี้สิ ฐานะทางบ้านก็ดีขึ้นแล้ว มีลูกสักคนก็คงจะไม่มีปัญหาหรอก”
ฉินจิ่นเขินอายจนหน้าแดงทันที ไม่รู้ว่าจะตอบคำถามนี้ยังไงดี หญิงชราเว่ยกลับอยู่อีกฝั่งนึงทำงานไปด้วยและพูดไปด้วยว่า
“แม่อาบน้ำร้อนมาก่อน เด็กน่ะ รู้แล้วว่าน่ารำคาญ แต่พอเวลาผ่านไป ก็จะดีเอง ลูกสะใภ้รอง เจ้าฟังข้านะ คนต่างบอกกันว่ามีลูกจะช่วยชะลอความแก่ เจ้ามีลูกเร็วหน่อย พอลูกโตขึ้นหน่อย ต่อไปก็จะได้มีคนสืบทอดไว้”
“ลูกสะใภ้รอง เด็กน่ะ……”
หญิงชราเว่ยยังพูดไม่ทันจบ เว่ยเหยียนถิงก็ตัดบทซะก่อน “ท่านแม่ เว่ยจวนไม่รู้ว่าจะเอาผักไว้ยังไง กำลังเรียกท่านอยู่เลย”
“ผักนั้นจะวางยังไงก็รอก่อน ตอนนี้ที่พูดคือเรื่องมีลูกของเจ้ากับสะใภ้รอง” หญิงชราเว่ยไม่ได้ดูความตั้งใจที่เว่ยเหยียนถิงตั้งใจจะตัดบทของนาง แล้วก็ถามต่อว่า “เรื่องลูกน่ะ……”
เว่ยเหยียนถิงก็ตัดบทนางอีก “ท่านแม่ เรื่องลูกน่ะไม่ต้องรีบมีหรอก ถึงฐานะที่บ้านจะดีขึ้นหน่อย แต่เสี่ยวซียังต้องเข้าเรียน ถ้ามีลูกอีกคน ข้ากับอาจิ่นคงรับมือไม่ไหวน่ะ”
ได้ยินเว่ยเหยียนถิงพูดแบบนี้แล้ว หญิงชราเว่ยก็ไม่รู้จะพูดอะไรอีก การสนทนาจึงจบลง
“งั้นข้าไปดูผักนั่นก่อนนะว่าจะวางยังไง”
หน้าที่แดงของฉินจิ่นถึงได้ลดลงนิดหน่อย เว่ยเหยียนถิงถือโอกาสในตอนที่ไม่มีคน บีบเบาๆ ไปที่มือของฉินจิ่น “อาจิ่น อย่าสนใจคำพูดของท่านแม่เลย เจ้าอยากจะมีเมื่อไหร่เราค่อยมีก็ได้นะ”
ถึงแม้ว่าฉินจิ่นไม่ได้แสดงออกบนหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกขอบคุณเว่ยเหยียนถิงมาก เว่ยเหยียนถิงตามใจนางแบบนี้ แม้แต่เรื่องที่มีลูกนี้ก็ยังให้นางเป็นคนกำหนด มันไม่ง่ายเลยจริงๆ ทำให้นางรักเขามากขึ้น
“พี่รอง พี่สะใภ้รอง” เป็นเพราะหญิงชราเว่ยรู้สึกประหม่า เลยให้เว่ยจวนออกมาบอกว่า “แม่บอกว่าให้อยู่ทานข้าวเที่ยงด้วยกันจ้ะ”
“ไม่ล่ะจ้ะ” ฉินจิ่นพูดจะปฏิเสธ
“ไม่ อะไรกันล่ะจ๊ะ” เว่ยจวนคล้องไปที่แขนของฉินจิ่นทำที แล้วก็พูดด้วยท่าทางสนิทสนมว่า “แม่บอกว่าให้อยู่ก็อยู่สิ ทุกครั้งที่กลับมานั้นซื้อผักมาเยอะขนาดนี้ จนที่บ้านยังกินไม่หมดกันเลย”
“ใช่แล้ว ลูกรอง สะใภ้รอง อยู่กินข้าวด้วยกันเถอะ” ชายชราเว่ยไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ความคิดที่อยากพวกเขาอยู่กินข้าวนั้นพูดจากใจจริง
“ก็ได้จ้ะ” ฉินจิ่นตอบรับ ยังดีที่ตื่นมาทำอาหารเผื่อไว้ให้เสี่ยวซีแล้ว เลยคิดว่ายังไงเขาก็ไม่อด
“แต่จะว่าไป ทำไมทุกครั้งที่พวกเจ้ามาถึงไม่พาเสี่ยวซีมาด้วยสักครั้งเลยล่ะ”
เว่ยจวนเลยบอกว่า “กลับมาครั้งหน้าก็พาเสี่ยวซีมาด้วยสิจ๊ะ ทิ้งเขาไว้คนเดียวทุกครั้งแบบนั้นคงเหงาแย่เลย”
“เว่ยจวนพูดถูกนะ” ในตอนนี้นางเว่ยก็เดินออกจากบ้านมาพูดว่า “ปล่อยให้เขาอยู่บ้านคนเดียวทำไมล่ะ พาเขามาด้วยสิ เรามากินข้าวด้วยกัน”
“เจ้าค่ะ” ด้วยความที่ปฏิเสธได้ยาก และฉินจิ่นก็ไม่รู้จะปฏิเสธยังไง เลยทำได้แค่ตอบตกลงไป
ในขณะที่พูด ก็ได้ยินเสียงดังมาจากไกลๆ ว่า “พี่เว่ย พี่สาวเว่ย”
สายตาของหญิงชราเว่ยนั้นไม่ค่อยดีนัก อยู่ไกลเกินไป และเพราะตอนนั้นตระกูลเว่ยนั้นยากจน เลยไม่มีใครไปมาหาสู่กับตระกูลเว่ย เลยดูไม่ออกจริงๆ ว่านั่นคือใคร ฟังเสียงแล้วคุ้นมาก แต่ก็นึกไม่ออก
“คือแม่สื่อเจิ้งเจ้าค่ะ” เว่ยจวนนั้นดูออกตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็น “คู่สามีภรรยาในหมู่บ้านนี้ต่างเป็นปากนี้ที่พูดให้ทั้งนั้น ได้ยินมาว่า” สิ่งที่นางพูดนั้นดีกว่าพระราชกฤษฎีกาของกษัตริย์ซะอีก ยืนยันได้ว่าเป็นการแต่งงานที่มีความสุขแน่นอน
หญิงชราเว่ยเห็นเว่ยจวนพูดแบบนี้แล้ว ก็รู้แล้วว่าคือใคร แต่ในใจกลับรู้สึกว่าไม่ใช่เสมอไป ลูกชายคนรองของตัวเองนั้นนางก็ไม่ได้เป็นคนหาคู่ให้สักหน่อย แต่ก็ได้ภรรยาที่ทั้งรู้เรื่องและฉลาดขนาดนี้มาได้ ต่อให้คนอื่นจะวิงวอนก็คงไม่ได้มาหรอก