บทที่ 30 นางจะเอาให้ได้
เว่ยเหยียนถิงค่อยๆ พูดว่า “วันนั้น ที่เจ้าไปบ้านข้าและที่เจ้าพูดกับอาจิ่นข้าก็ได้ยินหมดแล้ว ขอบคุณสำหรับความรักของเจ้า ข้าได้ให้คำสาบานไปแล้ว ว่าชีวิตนี้จะแต่งงานกับอาจิ่นคนเดียว และรักแค่อาจิ่นเพียงคนเดียว”
“อะไรกัน” ตะเกียบในมือของหลิวเซียงก็ตกลงบนพื้น เขามาหาตัวเองที่นี่ก็เพื่อพูดเรื่องนี้นี่เอง
“แม่นางหลิว เจ้าเป็นคนที่ดีคนนึง แต่ข้ามีเมียแล้ว”
หลิวเซียงโกรธแล้วพูดว่า “พี่มาที่นี่เพื่อบอกกับข้าแค่นี้รึ”
“ใช่” เว่ยเหยียนถิงครุ่นคิด แล้วพูดเสริมว่า “แล้วข้าก็อยากบอกกับเจ้าอีกว่า หยุดทำให้พวกข้าลำบากใจได้แล้ว”
“เหอะ ข้าสร้างความลำบากใจให้พี่ตรงไหน ข้าแค่ทำให้นางลำบากใจแค่คนเดียว” หลิวเซียงยืนขึ้นแล้วพูด
“นึกว่าเหมือนกับที่ข้าแย่งลูกค้ากับนางรึไง ข้าก็แค่กลัววางกับดักแล้วจะกระทบกับอย่างอื่นต่างหากล่ะ แค่เห็นแก่หน้าท่านเท่านั้นแหละ”
เว่ยเหยียนถิงส่ายหน้า ทำหน้าจริงจัง “ผัวเมียนั้นก็เหมือนคนคนเดียวกัน พวกเราอยู่ด้วยกันมาตลอด”
ตอนนี้หลิวเซียงไม่อยากได้ยินคำนี้ที่สุด ผัวเมียก็เหมือนคนคนเดียวกันอะไรนั่น นางจะแยกพวกเขาออกจากกันให้ได้
“แม่นางหลิว โชคชะตาของคนเราน่ะมันบังคับไม่ได้หรอก”
หลิวเซียงสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วพูดว่า “ท่านพูดจบหรือยัง”
เว่ยเหยียนถิงพยักหน้า
“มานี่ ส่งท่านเว่ยหน่อย”
หลิวเซียงรู้สึกว่าตัวเองนั้นโมโหสุดๆ ไม่คิดเลยว่าเว่ยเหยียนถิงถ่อมาตั้งไกลขนาดนี้ก็เพื่อให้นางปล่อยฉินจิ่นไป ยังพูดว่าผัวเมียเหมือนคนคนเดียวกันอะไรนั่นอีก นางจะรอดู ว่าถ้ามีอุปสรรคเข้ามา แล้วพวกเขาจะเลิกกันได้เร็วหรือไม่
หลิวเซียงเงียบไปนาน ถึงไปที่ห้องโถงบรรพบุรุษแล้วจุดธูปให้กับสามีของนางที่ล่วงลับไปแล้ว
นางคุกเข่าลงบนพื้น ตัวเองอายุสิบสี่และแต่งงานกับหวังเอ้อ ตอนนั้นหวังเอ้อนั้นดีกับตัวเองมาก ทั้งรักทั้งหวง ขอแค่หลิวเซียงเอ่ยปาก ถึงจะอยากได้ดาวบนท้องห้า หวังเอ้อก็จะขึ้นบันไดไปสอยมาเองใช้ได้
หวังเอ้อนั้นไม่ชอบกลิ่นของปี้หลัวชวน แต่เพราะหลิวเซียงชอบ แล้วในบ้านก็ชงปี้หลัวชวนให้นางอยู่ตลอด และเพราะว่ามีอยู่ปีนึงที่ออกไปกินข้าว แล้วหลิวเซียงก็พูดมาคำหนึ่งว่า ขนมเปี๊ยะนี้ใช้ได้ หวานแต่ไม่เลี่ยน แล้วหวังเอ้อก็เรียนทำในร้านอาหารว่าทำยังไงอยู่สามเดือนถึงจะทำได้
นึกถึงเรื่องพวกนี้แล้ว ขอบตาของหลิวเซียงก็แฉะขึ้น ทำไมฟ้าถึงได้เก็บคนแบบเขากลับไปกัน
หน้าของเว่ยเหยียนถิงนั้นคล้ายหวังเอ้อมากจริงๆ จนบางครั้งหลิวเซียงยังแยกไม่ออกเลยว่านั่นคือหวังเอ้อหรือว่าเว่ยเหยียนถิงกันแน่
แต่พวกเขาก็บังคับนางแบบนั้น แม้แต่นางอยากจะเป็นเมียน้อยก็ยังไม่ได้เลย ช่างโหดร้ายจริงๆ
พวกเจ้ารอไว้ได้เลย ฉินจิ่น เว่ยเหยียนถิง
พอไหว้หวังเอ้อเสร็จ หลิวเซียงก็นั่งบนเก้าอี้ เรียกคนใช้ที่ไว้วางใจมาถามว่า “เขาไปแล้วรึ”
“อื้ม”
“ได้พูดอะไรหรือไม่” หลิวเซียงถาม
“ไม่ขอรับ”
หลิวเซียงได้ยินคำตอบแบบนี้แล้วก็ยิ้มอ่อน กำมือไว้แน่น เล็บนั้นทิ่มฝ่ามือจนเห็นเป็นรอบเล็บ นางล้วงขวดขวดนึงออกมาจากแขนเสื้อของนางแล้วยื่นให้คนนั้น
“ทำให้ลับๆ หน่อยล่ะ อย่าให้คนอื่นเห็นได้”
“ขอรับ” คนงานคนนั้นตอบ
“แล้วก็” หลิวเซียงสั่งว่า “ยานั้นมีพิษอยู่แล้ว แต่ไม่ได้คร่าชีวิตคน ใช้แค่หยดเดียวก็พอ”
น้ำที่คนในหมู่บ้านกินนั้นต่างก็เป็นน้ำที่ตักไว้ตั้งแต่เมื่อวานกลางคืนกันทั้งนั้น คนงานเลยแอบเอาไปผสมในบ้านเว่ย เว่ยเหยียนซิ่นตักน้ำเสร็จก็เอาไว้นอกบ้าน จากนั้นก็เข้าบ้านไป
คนงานได้ยินมาว่า ข้างในนั้นกำลังจะกินข้าวกัน คิดว่าคงไม่ออกมา เลยเอายานั้นเทลงในถังน้ำ ตามที่หลิวเซียงบอก และเทไปแค่นิดเดียว
เช้าวันรุ่งขึ้น ฉินจิ่นกำลังตื่น เว่ยจวนก็ร้องไห้แล้ววิ่งมา โดยไม่ได้หวีแม้กระทั่งผม
“พี่รอง พี่สะใภ้รอง” เว่ยจวนร้องไห้แล้วก็วิ่งมา “พี่สะใภ้รอง”
“เกิดอะไรขึ้น” ฉินจิ่นเห็นเว่ยจวนร้องไห้จนเป็นแบบนี้ ก็ตกใจ แล้วรีบดึงเว่ยจวนมาอยู่ข้างๆ ตัวเองแล้วถาม “ทำไมถึงร้องไห้จนเป็นแบบนี้แต่เช้าเลยล่ะ”
เว่ยเหยียนถิงได้ยินเสียงก็วิ่งออกมาจากห้องครัว เห็นว่าน้องสาวตัวเองร้องไห้จนสภาพเป็นแบบนี้ “เกิดอะไรขึ้นรึ”
ฉินจิ่นส่ายหน้า และไม่รู้เหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้น ตัวเองเพิ่งจะออกมาก็เห็นสภาพนี้แล้ว
“ท่านพ่อเขา ล้มป่วยสลบไปแล้ว” เว่ยจวนร้องไห้จนสะอึกสะอื้น จนพูดจาไม่ชัด
“อะไรนะ” เว่ยเหยียนถิงและฉินจิ่นอึ้งกันไปที ทำไมถึงกะทันหันขนาดนี้ สองสามวันที่แล้วยังดีๆ อยู่เลย
“เว่ยจวน เจ้าใจเย็นๆ ก่อนนะ แล้วค่อยๆ พูด” แล้วฉินจิ่นก็จัดแจงอย่างมีสติ
“พี่ถิง พี่ไปเรียกหมอก่อนเถอะ เราแยกกันไปสองทาง เพื่อไม่ให้มีอะไรผิดพลาด แล้วแบบนี้ก็จะได้ประหยัดเวลาด้วย”
เว่ยเหยียนถิงพยักหน้า แล้วก็รีบวิ่งไปเรียกหมอทันที
ฉินจิ่นหยิบผ้าเช็ดหน้าแล้วเช็ดน้ำตาให้เว่ยจวน พูดปลอบใจว่า “เว่ยจวน เจ้าอย่าเพิ่งร้องไห้เลย เจ้าเล่าเรื่องให้ข้าฟังดีๆ สักทีนะ ข้าขอจัดแจงหน่อยว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
เว่ยจวนถึงได้ดีขึ้นหน่อย พูดว่า “ตอนเช้า ฮือฮือ แม่ทำอาหาร ข้ากับน้องสี่ไปทำงานในนา พ่อบอกว่าหิว แม่เลยเอาโจ๊กในหม้อให้พ่อดื่ม จากนั้น……” พูดถึงตอนนี้ แล้วเว่ยจวนก็ร้องไห้ออกมาอีก
“จากนั้นล่ะ” ฉินจิ่นถาม
“จากนั้นพ่อก็กินหมดไปถ้วยนึง ก็สลบไปแล้ว”
เว่ยจวนร้องไห้จนตาบวมไปหมดแล้ว ฉินจิ่นคิดแล้วก็รีบเอาผ้าเช็ดหน้าเช็ดน้ำตาให้
“ข้าจะลองกลับบ้านไปดูกับเจ้าก่อน” ฉินจิ่นพูดจบก็ลากเสี่ยวซีมาสอนว่า “วันนี้มีเรื่องใหญ่ ข้ากับพี่เขยเจ้าคงจะกลับมาช้า เจ้าอยู่บ้านคนเดียว ต้องระวังความปลอดภัยนะ ได้รึเปล่า”
เสี่ยวซีพยักหน้าแรงๆ “พี่สาวสบายใจได้ขอรับ ข้าจะดูแลตัวเองให้ดีแน่นอน พี่กับพี่เขยสบายใจได้เลยจ้ะ”
“ดีมาก” ฉินจิ่นใช้มือลูบหัวของเขา
พูดจบ ฉินจิ่นก็ลากเว่ยจวนลงภูเขาไป เมื่อถึงปากประตูบ้าน ถึงได้เห็นว่าเว่ยเหยียนถิงยังไม่ได้กลับมา
พ่อเว่ยนอนอยู่บนเตียง ปากนั้นปิดสนิท เป็นสีดำ นางเว่ยที่อยู่อีกข้างก็ร้องไห้อย่างน่าอนาถ “ตาแก่เอ๋ย เจ้าเป็นอะไรไป ทำไมอยู่ดีๆ ถึงกลายเป็นแบบนี้ได้ นี่ไม่ใช่การเอาชีวิตแก่ๆ ของข้าไปหรอกรึ”
เว่ยเหยียนซิ่นยืนขอบตาแดงอยู่ข้างเตียง ดึงนางเว่ยไว้แล้วพูดว่า “ท่านแม่ อย่าเพิ่งร้องไห้เลยนะ ร้องไห้ขนาดนี้ ร่างกายก็รับไม่ไหวเหมือนกันนะขอรับ”
พอได้ยินคำนี้ เว่ยจวนก็วิ่งเข้ามาดึงนางเว่ยแล้วพูดว่า “แม่ ไม่ต้องร้องไห้แล้ว ข้าเรียกพี่สะใภ้รองกลับมา นางต้องมีวิธีแน่ๆ แม่ดูสิ พี่สะใภ้รองกลับมาแล้ว”
แม่เว่ยเห็นว่าฉินจิ่นมาแล้ว ก็รีบลุกขึ้นแล้ววิ่งจากข้างเตียงไปหาฉินจิ่น ดึงมือของฉินจิ่นแล้วพูดว่า “สะใภ้รองเอ๋ย เจ้ามาสักที เจ้ารีบไปดูเร็ว ว่าพ่อปู่เจ้าเป็นอะไรกันแน่ ทำไมอยู่ดีๆ ถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้”
ฉินจิ่นพยักหน้าพูดว่า “เจ้าค่ะ”
แล้วก็เดินเข้าไปดูทันที ตั้งใจดูริมฝีปากของพ่อปู่เว่ย เบื้องต้นสามารถสันนิษฐานได้ว่าโดนวางยาแล้ว แต่แค่สมัยก่อนไม่รู้จักแพทย์แผนปัจจุบัน นิยมกันแต่แพทย์แผนจีน ถ้าอธิบายของพวกนี้เป็นภาษาแพทย์แผนจีนแล้ว ฉินจิ่นนั้นไม่เข้าใจเลยสักนิด ไม่มีทางที่จะอธิบายให้เข้าใจได้ภายในเวลาแป๊บเดียวได้
“สะใภ้รอง เจ้าเป็นอะไรไป พ่อตาของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” นางเว่ยเดินมาถามข้างๆ ฉินจิ่น