px

เรื่อง : สาวนาตัวน้อยกับระบบแพทย์
บทที่ 34 รวมตัวไปหาเรื่อง


บทที่ 34 รวมตัวไปหาเรื่อง

“อ้าว นี่แม่นางฉินไม่ใช่รึ วันนี้ถ่อมากับลมอะไรล่ะ ถึงได้พาเจ้ามาหาขาถึงที่นี่ได้” แม่สื่อเจิ้งพูดเยาะเย้ย

ฉินจิ่นรู้ว่าแม่สื่อเจิ้งยังแค้นอยู่ จากครั้งที่แล้วที่มาเป็นแม่สื่อให้เว่ยเหยียนถิง ก็พูดว่า “วันนี้มาเดินเที่ยวแถวนี้ นึกขึ้นได้ว่าบ้านท่านอยู่ที่นี่ เลยอยากจะมาหา นี่ให้ท่านเจ้าค่ะ”
แม่สื่อเจิ้งเห็นว่าในมือของนางมาทั้งเนื้อและผักอยู่ รอยตีนกาบนหน้ายิ้มออกมาด้วย “มาๆๆ แม่นางฉินเข้ามานั่งข้างในก่อน
พอฉินจิ่นเข้าไปแล้วก็แอบๆ ยัดเงินให้แม่สื่อเจิ้ง “ไม่มีเรื่องก็คงไม่มาหาถึงที่ ข้าอยากจะให้ท่านช่วยสืบข่าวของคนคนนึง”
“ใครรึ”
“หลิวเซียง”

เห็นเงินแล้วจะมีเหตุผลที่จะไม่พูดได้ยังไงล่ะ แล้วแม่สื่อคนนี้ก็ลากฉินจิ่นให้นั่งลงแล้วพูดว่า “แม่หลิวเซียงน่ะเป็นคุณหนูของบ้านตระกูลร่ำรวยใหญ่โต แล้วตอนอายุสิบสี่ปีก็ได้แต่งงานกับสามีของนางที่ชื่อหวังเอ้อ หวังเอ้อคนนี้ไม่ได้โชคดีเท่าไหร่นัก ผ่านไปไม่กี่ปีก็ตายไป ทิ้งสมบัติไว้มากมาย ให้นางดูแลอย่างยากลำบาก”

“งั้นที่ท่านมาบอกสื่อให้กับผัวข้าล่ะ คนที่เก่งขนาดนี้ ทำไมถึงอยากจะแต่งงานกับผัวข้าแล้วเป็นบ้านน้อยด้วยล่ะ”
แม่สื่อเจิ้งพูดเสียงเบาลง “เจ้าน่ะไม่รู้อะไร ผัวของเจ้าน่ะหน้าตาคล้ายกับหวังเอ้อมาก เพราะฉะนั้นนางถึงได้พยายามอย่างสุดชีวิตเพื่อที่จะแต่งงานกับผัวเจ้า”

เป็นแบบนี้นี่เอง ในใจของฉินจิ่นนั้น ก็เห็นใจผู้หญิงคนนี้ขึ้นมาทันที คิดว่าหลิวเซียงก็คงจะรักสามีตัวเองมากเหมือนกัน ไม่งั้นก็คงไม่เป็นแบบนี้หรอก

“เจ้าไม่รู้หรอกว่าบ้านเขาน่ะรวยมากมายมหาศาลเลยล่ะ ไม่ว่าจะเป็นตระกูลหลิวหรือตระกูลหวัง ถึงตอนนี้นางจะยากลำบากอยู่คนเดียว แต่ก็ไม่กังวลเรื่องกินเรื่องใช้ ตัวเองก็เปิดร้านอาหารแล้วก็ร้านถุงหอมเอง ชีวิตดีกว่าพวกเราเยอะ”

ไม่แปลกที่หลิวเซียงจะมีเงินมาสู้กับตัวเองเยอะขนาดนั้น แล้วก็ไม่ได้ทำเพื่อเงินด้วย แต่ทำเพื่อให้ตัวเองออกไปจากเว่ยเหยียนถิง มาเติมเต็มนาง

แม่สื่อเจิ้งก็ตัดพ้อขึ้นอีก “เป็นเพราะโชคชะตาชีวิตไม่ดีแท้ๆ ถึงจะรวยแล้วมีประโยชน์อะไรล่ะ นางอยากจะแต่งกับสามีของเจ้าก็ไม่ได้ บรรพบุรุษของนางก็เป็นพวกหมอ เป็นคนดีมีคุณธรรม แต่พอมาถึงรุ่นของลูกแล้ว ผู้หญิงคนนี้กลับได้เป็นม่ายไป”

ตามที่อยู่ที่แม่สื่อเจิ้งให้นั้น ฉินจิ่นก็หาร้านอาหารร้านนั้นเจอ
“แม่นางขอรับ ทานอาหารหรือหาจองที่พักดีขอรับ” เสี่ยวเอ้อมาพูดต้อนรับ
“ข้ามาหาคนน่ะ มาหาเถ้าแก่ของพวกเจ้า” ฉินจิ่นตั้งใจพิจารณาร้านนี้ ก็เหมือนกับที่แม่สื่อบอก ว่าเป็นเจ้าของที่ร่ำรวย

เสี่ยวเอ้อพาฉินจิ่นไปที่ห้องส่วนตัวห้องนึง แล้วก็ยกชามาให้เหยือกนึง แล้วพูดว่า “ท่านรอเดี๋ยวนะขอรับ ข้าจะไปเรียกเถ้าแก่ของพวกข้า”
หลิวเซียงเดินดุ่มๆ ออกมาอย่างช้าๆ พอเมื่อกี้นางได้ยินเสี่ยวเอ้อบอกว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งมาหานาง นางก็เดาออกแล้วว่าเป็นฉินจิ่น

“ทำไมล่ะ แม่นางฉิน นี่เจ้ายอมแพ้แล้วใช่หรือไม่” หลิวเซียงนั่งลงบนเก้าอี้ แล้วก็ยกแก้วชาขึ้นมาชิมไปอึกนึง “ช่วงนี้ฝีมือชงชาของเสี่ยวเอ้อพัฒนาขึ้น กลับไปต้องขึ้นค่าจ้างหน่อยแล้วล่ะ”

“เพราะว่าเว่ยเหยียนถิงหน้าคล้ายผัวเจ้าที่ตายไปแล้ว เจ้าถึงได้ก่อเรื่องขึ้นมากมายขนาดนี้ใช่หรือไม่” ฉินจิ่นพูดถามตรงๆ
หลิวเซียงไม่ได้บอกว่าใช่หรือไม่ใช่ เพียงแต่ก้มหน้ามองดูใบชาในแก้วอย่างเลิ่กลั่ก แต่ฉินจิ่นกลับสังเกตเห็นว่าหลิวเซียงจับแก้วไว้แน่นจนเส้นเลือดนั้นปูดออกมา ฉินจิ่นเลยรู้ว่าตัวเองนั้นพูดตรงกับเรื่องที่อยู่ในใจของนาง

เห้อ นี่ก็เพราะโชคชะตาทั้งนั้น ตอนแรกที่อยู่ในโลกปัจจุบันต่างเป็นความรักที่เกิดในตลาดและริมถนนในละคร แล้ววันหนึ่งก็ได้เกิดขึ้นต่อหน้าตัวเอง นี่ทำให้ฉินจิ่นรู้สึกแปลกๆ กลับรู้สึกเห็นใจนาง

ฉินจิ่นนั่งอยู่ตรงข้ามหลิวเซียง พูดแนะนำอย่างจริงใจว่า “แม่นางหลิว คนที่เจ้ารักมากน่ะเขาตายไปแล้ว ไม่ว่าจะมีคนที่หน้าคล้ายกับเขาหรืออะไรอีก ก็ไม่ใช่ผัวของเจ้าแล้ว”

หลิวเซียงได้ยินแบบนี้แล้ว ก็ขมวดคิ้ว “เจ้าคิดว่าเจ้าเข้าใจข้ามากนักรึไง ถึงได้มาพูดจาเรื่อยเปื่อยแบบนี้ อย่าคิดว่าไปฟังคนอื่นพูดมั่วๆ มาสองสามคำ แล้วมาพูดสอนข้าอยู่ที่นี่
ฉินจิ่นยังคงรักษาความเข้าใจอยู่เสมอ “แต่เจ้าต้องรู้ว่าคนนี้น่ะไม่ใช่คนนั้น ถึงจะเหมือนแค่ไหนก็ไม่ใช่เขาอยู่ดี”

หลิวเซียงเหมือนไม่อยากจะเปลืองน้ำลายกับนางต่อแล้ว ก็แค่ฟังฉินจิ่นพูดต่อไป
“การที่หน้าตาภายนอกดูเหมือนนั้นก็ไม่ใช่ความเหมือนที่แท้จริง มีแค่ตอนที่คนคนหนึ่งรักเจ้า เจ้าถึงจะรู้สึกถึงความรักได้ ผัวเจ้ารักเจ้า เพราะฉะนั้นเจ้าเลยรักเขา แต่ถ้าจะบังคับเว่ยเหยียนถิง เขาก็ไม่ได้รักเจ้า”


คำพูดนี้นั้นแรงไปหน่อย แต่ฉินจิ่นก็ยังรู้สึกว่าตัวเองนั้นพูดความจริง ถ้าแรงไปหน่อย แล้วสามารถทำให้นางตัดความคิดนั้นออกไปได้ก็ดี ไม่งั้นสุดท้ายก็คงจะเป็นการทำร้ายทั้งตัวเองและคนอื่น

แต่หลิวเซียงก็ยังคงทิฐิสูงอยู่แบบนั้น
“แม่นางฉินพูดนานขนาดนี้คงเหนื่อยแล้วสิท่า ชาวันนี้น่ะดีมากเลย ลองชิมดูสิ”
ได้ ฉินจิ่นรู้แล้วว่าคำพูดพวกนี้ของตัวเองนั้นถือว่าพูดฟรีไป
สุดท้ายก็ทำได้แค่ยืนขึ้นแล้วพูดว่า “ในเมื่อเจ้าไม่ฟัง ข้าก็ไม่ขอเปลืองน้ำลายอีก”
“เสี่ยวเอ้อ ส่งแขกหน่อย”

พอเสี่ยวเอ้อที่อยู่หน้าประตูได้ยินก็คำสั่งของเถ้าแก่ที่อยู่ด้านในก็เปิดประตู แล้วก็ทำท่าเชิญ “แม่นางฉิน เชิญทางนี้”
“แม่นางหลิว วันนี้ขอพูดถึงตรงนี้ แต่ถ้าต่อไปเจ้ายังคิดจะแข่งกับข้าต่อ ข้าก็จะไม่ยอมเด็ดขาด”

ในตอนที่ฉินจิ่นกลับไปก็ได้บอกเว่ยจวนแล้ว ว่าสองสามวันนี้ยังไม่ต้องปักถุงหอม คงไม่จำเป็นเท่าไหร่แล้ว รอให้คิดวิธีออกค่อยว่ากันอีกที
เว่ยจวนนั้นโมโหมากจริงๆ ถ้าไม่ใช่เพราะผู้หญิงคนนั้น บ้านตัวเองก็คงได้มีเงินเก็บสักหน่อย แต่ตอนนี้ดีที่สุด ก็ทำได้แค่เพาะปลูก แล้วก็ยังได้เงินน้อยกว่าขายถุงหอมด้วย
“แม่จ๊ะ ข้ามีธุระต้องออกไปสักแป๊บ วันนี้ตอนเย็นไม่ได้อยู่กินข้าวที่บ้านนะจ๊ะ”
“จ้ะ”
เว่ยจวนมีเพื่อนสนิทอยู่หลายคน ต่างโตมาด้วยกัน แล้วก็ไปเล่นกับพวกเขาอยู่บ่อยๆ แม่เว่ยก็เลยไม่ได้สนใจ
แต่ใครจะรู้ว่า เว่ยจวนและอีกสองสามคนนั้นพากันไปที่ร้านอาหารของหลิวเซียง
“ลูกค้าจะทานอาหารหรือจองที่พักดีขอรับ”
“ทานอาหารจ้ะ” เว่ยจวนพูด
“เชิญด้านในขอรับ”

เว่ยจวนนั่งลงแล้วพูดกับเสี่ยวเอ้อว่า “ไม่สั่งแล้วล่ะว่าจะเอาอะไรบ้าง เจ้าเสิร์ฟกับสามอย่างแล้วก็ซุปหนึ่งอย่าง มีเนื้อมีผักก็พอจ้ะ”
เว่ยจวนตั้งใจสำรวจดูร้านอาหารร้านนี้ ตกแต่งได้สะอาดและเรียบหรูคนมากินข้าวเยอะมาก ธุรกิจรุ่งเรือง ไม่แปลกใจที่จะสู้กับตระกูลเว่ย โดยที่ไม่ได้สนใจเงินเลยจริงๆ แค่อยากจะทำลายพี่รองกับพี่สะใภ้รองก็แค่นั้น

พอคิดแบบนี้แล้ว เว่ยจวนก็ยิ่งโมโห
“กับข้าวมาแล้วขอรับ ขอลูกค้าหลบหน่อยขอรับ เดี๋ยวจะโดนลูกค้าเอา”
ไม่นานกับข้าวก็มาเสิร์ฟแล้ว ก่อนที่จะมา ฉินจิ่นก็บอกคนพวกนี้ไว้แล้ว ว่ากินข้าวนั้นไม่ใช่เป้าหมาย แต่คือการสร้างปัญหาต่างหาก
แล้วถูกคนก็ส่งสายตาให้กันไปทีนึง โยนแมลงสาบเข้าไปในกับข้าวตัวนึง แล้วก็คนกับให้เข้ากัน อย่าให้คนอื่นเห็น แล้วก็เปลี่ยนเหล้าเป็นน้ำที่ตัวเองเตรียมมา
พอทำเสร็จ ก็ฉวยโอกาสตอนที่มีคนเยอะๆ เรียกเสี่ยวเอ้อมา “เสี่ยวเอ้อ ร้านของเจ้าทำไมถึงเป็นแบบนี้”
“เกิดอะไรขึ้นขอรับ” เสี่ยวเอ้อได้ยินเลยรีบมาแล้วก็ถาม

“เหล้าไม่มีรสชาติเลยสักนิด อย่างกับน้ำเปล่า” เว่ยจวนก็พูดเสริมว่า “ไม่เชื่อเจ้าลองดื่มเองดูสิ”
เสี่ยวเอ้อไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เลยลองชิมไปอึกนึกก็จืดมาก เหมือนน้ำเปล่าไม่มีผิด เสี่ยวเอ้อก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ทำได้แค่ยิ้มแล้วพูดว่า “คงจะหยิบผิดไป ท่านรอก่อนนะขอรับข้าจะเอาไปเปลี่ยนให้”

รีวิวผู้อ่าน