บทที่ 49 ควรจะมีลูกสักคนได้แล้ว
“แต่ละคนก็รู้แต่จะยืนเฉย ยังไม่รีบคิดวิธีมาทำให้กิจการดีขึ้นอีก” เถ้าแก่เห็นท่าทางที่ไม่ได้เรื่องของพวกเขาแล้วในใจก็โกรธจนแทบไฟลุกจริงๆ
“ถ้าข้าหมดตัวขึ้นมาล่ะก็ พวกเจ้าได้อดตายกันหมดแน่”
ครั้งนี้ทำเอาในใจของพวกลูกจ้างสั่นสะเทือนเลยทีเดียว ความหมายก็คือหนึ่งคนรุ่งทุกคนก็รุ่ง หนึ่งคนร่วงทุกคนก็ร่วง
“งั้นเรามาเลียนแบบพวกเขาหน่อยดีกว่า” มีลูกจ้างคนหนึ่งเสนอขึ้น
“หมายความว่ายังไง”
“เถ้าแก่ขอรับ ท่านคิดดูสิ ถ้าเราเลียนแบบเมนูอาหารด้วยประสบการณ์และวิธีแล้ว แบบนั้นลูกค้าก็มาหาเราแล้วไม่ใช่รึ”
เถ้าแก่คิดดูแล้ว ที่จริงแล้วก็แบบนี้นี่เอง แล้วสองสามวันนี้ข้างนอกก็พูดถึงอาหารขึ้นชื่อของร้านอาหารร้อยรส เนื้อกระต่ายตุ๋น ขาหมูย่างถ่าน”
“ไป รีบให้ในครัวทำเร็ว”
พ่อครัวลำบากใจมาก “แต่เราไม่มีเนื้อกระต่ายสดนี่ เนื้อจากป่ากับที่เลี้ยงเองที่บ้านนั้นไม่เหมือนกันอยู่แล้ว”
“ยุ่งยากขนาดนั้นที่ไหนกันล่ะ เจ้าจะทำไม่ทำ ไม่ทำก็ออกไปซะ” เถ้าแก่ได้ยินคำพูดที่ไร้สาระของพ่อครัว ทำให้เถ้าแก่รำคาญสุดๆ ก็แค่ทำอาหารไม่ใช่รึไง ยังมาบอกว่ายากอย่างนู้นยากอย่างงี้อีก
พ่อครัวไม่กล้าพูดอีก ทำได้แค่กลับไปทำอาหารในครัว แล้วเถ้าแก่ก็เข้ามาบอกอีกว่า “ทำขาหมูออกมาด้วย เดี๋ยวเที่ยงนี้ก็ลองขายดู”
ในตอนเที่ยงก็มีคนเข้ามาในร้านและถามว่า “เถ้าแก่ มีอาหารอร่อยอะไรแนะนำหรือไม่”
“เรามีอาหารจานใหม่น่ะ เนื้อกระต่ายตุ๋นแล้วก็ขาหมูย่างถ่าน ลูกค้าจะลองดูก่อนได้นะขอรับ” เถ้าแก่ยืนพูดโน้มน้าวอยู่ข้างๆ ลูกค้า
“อันนี้..” คนคนนั้นคิดแล้วก็พูดขึ้น “ร้านอาหารร้อยรสก็มีไม่ใช่รึ”
เถ้าแก่รีบแย้งทันที “ร้านเราอร่อยกว่าร้านร้อยรสแน่นอนขอรับ”
“ได้ งั้นเอาเนื้อกระต่ายตุ๋นให้ข้าที่นึง แล้วก็เหล้าขวดนึงด้วย”
“ได้ขอรับ”
พ่อครัวทำเสร็จก็รีบยกมาให้ทันที ลูกค้าคนนั้นกินแล้วก็ไม่ได้พูดอะไรมาก พอถึงตอนที่คิดเงิน เถ้าแก่ก็ถามเขาว่าเป็นยังไงบ้าง
“เถ้าแก่ ข้าพูดตามตรงนะ อาหารของเจ้าทำได้ไม่อร่อยเท่าร้านร้อยรสน่ะ”
แค่ประโยคเดียวก็ทำเอาเถ้าแก่หน้าเจื่อนไปทันที แล้วพวกลูกจ้างก็พูดปลอบเถ้าแก่ “คงเป็นเพราะลูกค้าคนนี้กินของดีไม่เป็นน่ะ”
“ข้าก็รู้สึกแบบนี้เหมือนกัน”
สุดท้ายแล้วพอผ่านไปครึ่งเดือน ร้านอาหารเพียวเซียงก็ได้เปิดขายอาหารสองเมนูนี้ แต่ผลที่ได้กลับไม่เหมือนกับที่คิดไว้
เว่ยจวนนั้นซื้อผักอยู่ในตลาด ได้ยินคนอื่นพูดแล้ว กลับไปก็บอกให้ฉินจิ่นฟังจนหมดเปลือก
ฉินจิ่นฟังแล้วก็หัวเราะลั่น “น่าตลกจริงๆ ถ้าจู่ๆ มีคนคิดอยากจะลอกสูตรลับแล้วทำได้ล่ะก็ ข้าจะเปิดร้านอาหารทำไมกันล่ะ”
“พี่สะใภ้รองจ๊ะ พี่ป้องกันไม่ให้คนพวกนี้มาเลียนแบบพี่ได้ยังไงหรือจ๊ะ” เว่ยจวนถามด้วยความสงสัย
“ทุกเรื่องนั้นต้องใส่ใจ ถ้าทำแบบไม่ใส่ใจ ก็ต้องออกมาไม่ดีแน่นอนอยู่แล้ว” ฉินจิ่นยิ้มกรุ้มกริ่มแล้วพูด แต่กลับไม่ได้อธิบายอะไรมาก เชอะ คนสมัยก่อนจะเลียนแบบวิธีที่ทันสมัยของนางไปง่ายๆ ได้ยังไงล่ะ
เว่ยจวนพยักหน้า แล้วพูดว่า “พี่สะใภ้รองจ้ะ แม่บอกให้เรียกกลับไปกินข้าวเย็นที่บ้านด้วยจ้ะ พี่รองล่าสัตว์เสร็จก็จะตามไป งั้นเดี๋ยวเราสองคนกลับไปพร้อมกันนะจ๊ะ”
“จ้ะ”
ฉินจิ่นกลับไป ก็แน่นอนว่าต้องถือผักถือเนื้อติดไม้ติดมือไปด้วยแน่นอน และเว่ยเหยียนถิงก็ไปรับเสี่ยวซีมาเรียบร้อยแล้ว
เสี่ยวซีเห็นนางก็ดีใจและตะโกนเรียกเสียงดัง “พี่สาว พี่กลับมาแล้ว”
“อื้ม”
พวกเขาทุกคนต่างรอให้เว่ยจวนและฉินจิ่นกลับมากินข้าว พอกลับมาแล้วก็กินข้าวกันทันที
พอกินข้าวเสร็จ นางเว่ยสั่งให้เว่ยจวนไปล้างจาน แล้วก็ทำเป็นแกล้งๆ ถามว่า “ลูกรอง สะใภ้รอง ช่วงนี้ธุรกิจที่ร้านเป็นอย่างไรบ้าง ข้าได้ยินเว่ยจวนบอกว่าขายดีมาก”
“ดีจ้ะ สองสามวันนี้ดีกว่าตอนเปิดแรกๆ มากเลยจ้ะ”
“ลูกรอง สะใภ้รอง พวกเจ้าดูสิ เรื่องของหลิวเซียงก็จบไปแล้ว ธุรกิจที่ร้านก็ดีมากแล้ว ข้าดูแล้ว พวกเจ้าน่าจะมีลูกสักคนนึงได้แล้วนะ พวกเจ้าคิดว่ายังไงล่ะ”
พอพูดเรื่องนี้ขึ้นฉินจิ่นก็หน้าแดง แล้วก็หันไปมองเว่ยเหยียนถิงทันที
นางเว่ยพูดไปและมองไปที่เสี่ยวซีก็พูดว่า “เสี่ยวซีน่ะ พวกเจ้าให้มาอยู่กับข้าก็ได้ พวกเจ้าวางใจเถิด ถ้าข้ายังมีกินน่ะ จะไม่ปล่อยให้เขาอดอยากแน่นอน”
เว่ยเหยียนถิงและฉินจิ่นสบตากัน แล้วนางเว่ยก็หาข้ออ้างออกไป เพื่อเว้นช่องว่างให้พวกเขาทั้งสองคน
“อาจิ่น พี่ว่าที่แม่พูดก็มีเหตุผลนะ ตอนนี้ฐานะเราก็ดีแล้ว ถึงเวลาที่จะมีสักคนได้แล้ว” ผ่านไปอยู่นาน เว่ยเหยียนถิงถึงจะเอ่ยปากพูดขึ้น แล้วหูก็ค่อยๆ แดงขึ้น
ฉินจิ่นรู้ว่าด้วยอายุของนางและเว่ยเหยียนถิง และดูจากระยะเวลาที่แต่งงานกันมา ก็ควรจะมีลูกสักคนได้แล้ว เมื่อก่อนนั้นเป็นเพราะฐานะไม่ดี แล้วก็มีเรื่องของหลิวเซียงที่ถ่วงอยู่ตลอดด้วย
“เจ้าวางใจเถิด อาจิ่น ถ้าเจ้าไม่อยากมี พี่ก็จะไม่บังคับเจ้าหรอก ไม่ว่ายังไง พี่ก็จะดูแลเจ้าให้ดีแน่นอน” เว่ยเหยียนถิงพูดอย่างตั้งใจ
ในใจของฉินจิ่นรู้สึกอบอุ่นขึ้นเมื่อได้ยินคำนี้ อีกอย่างเรื่องพวกนี้ไม่ว่าจะช้าหรือเร็วก็ต้องเกิดขึ้นอยู่แล้ว ตอนนี้นางเว่ยก็พูดอีกรอบนึงแล้วด้วย ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะบ่ายเบี่ยง เลยพยักหน้า แล้วก็พูดอย่างเขินอายว่า
“ก็ได้จ้ะ”
เว่ยเหยียนถิงไม่อยากจะเชื่อหูของตัวเอง ในที่สุดวันนี้ก็มาถึงแล้ว ก็ยืนขึ้นแล้วอุ้มฉินจิ่นหมุนไปหลายๆรอบด้วยความดีใจและพูดว่า “พี่ไปบอกแม่ก่อนล่ะ”
“เอ่อ……” ฉินจิ่นนั้นขี้อาย แต่ก็ดึงเว่ยเหยียนถิงเอาไว้ไม่อยู่
นางเว่ยได้ยินแล้วก็ดีใจมาก รีบเข้ามาจับมือของฉินจิ่นแล้วบอกว่า “เจ้าวางใจเถิด สะใภ้รอง ข้าจะดูแลเสี่ยวซีให้ดี ถ้าเจ้าคิดถึงเขาก็มาหาได้ตลอด”
“จ้ะ ข้าเชื่อใจแม่อยู่แล้วจ้ะ”
นางเว่ยยืนขึ้นมาแล้วพูดว่า “ตอนนี้ก็ดึกแล้ว ข้าก็ไม่รั้งพวกเจ้าแล้ว กลับกันเถอะ”
ฉินจิ่นเขินอายจนไม่กล้าพูด แล้วเว่ยเหยียนถิงก็จับมือฉินจิ่นแล้วก็บอกว่า
“จ้ะ แม่ งั้นพวกข้าไปก่อนนะ”
เสี่ยวซีเห็นเว่ยเหยียนถิงและฉินจิ่นกลับบ้านไปแล้ว แต่กลับไม่เรียกตัวเอง ก็พูดขึ้นด้วยความร้อนรนว่า
“พี่สาว พี่เขย พวกพี่จะไปไหนกัน ข้าจะไปด้วย”
นางเว่ยดึงเสี่ยวซีไว้ แล้วพูดโน้มน้าวว่า “เสี่ยวซีเด็กดี สองสามวันนี้มาอยู่กับย่าก่อนนะ”
“พี่สาว พี่ไม่เอาข้าแล้วใช่หรือไม่” เสี่ยวซีพูดอย่างกังวล
ฉินจิ่นฟังแล้วก็ปวดใจ แล้วก็รีบพูดว่า “ไม่ใช่นะ พี่ไม่ได้จะไม่เอาเจ้า……”
ฉินจิ่นไม่รู้ว่าจะพูดยังไงดี แล้วนางเว่ยก็พูดขึ้นว่า “เสี่ยวชี เชื่อฟังนะ พี่สาวกับพี่เขยของเจ้าน่ะ อายุก็มากแล้ว ควรจะมีลูกสักคนได้แล้ว เข้าใจแล้วใช่หรือไม่”
ฉินจิ่นไม่คิดว่าสมัยก่อนนั้นจะพูดเรื่องแบบนี้ออกมาได้ตรงแบบนี้ นึกว่าต้องปิดๆ บังๆ ซะอีก
เสี่ยวซีกะพริบตา แล้วพูดด้วยท่าทางที่ดูเหมือนจะเข้าใจว่า “งั้นก็ได้”
นางเว่ยพอใจเป็นอย่างมาก แล้วก็ปลอบเสี่ยวซีว่า
“เจ้าอยู่ที่นี่สักช่วงนึงก่อนนะ รอให้พี่สาวเจ้าคลอดลูกแล้วเดี๋ยวก็จะมารับเจ้ากลับไปแล้ว”
ฉินจิ่นคิดคำนวณวันเวลาดูแล้ว ตั้งแต่ตอนนี้จนถึงตอนที่คลอดลูกแล้วก็ไม่รู้ว่าจะต้องใช้เวลานานเท่าไหร่ และจะให้เสี่ยวซีอยู่ฟรีกินฟรีอยู่ที่บ้านเว่ยไม่ได้ ก็เลยล้วงเงินออกมาจากแขนเสื้อแล้วยัดเข้าไปในมือของนางเว่ย “งั้นฝากเสี่ยวซีให้พวกท่านดูแลหน่อยนะจ๊ะ”
นางเว่ยรู้ว่าตอนนี้ฉินจิ่นเป็นคนที่หาเงินได้แล้ว ก็ไม่ได้ส่งคืน และเก็บเงินไว้ แล้วบอกว่า “สะใภ้รอง เจ้าวางใจเถิด ข้าจะดูแลเสี่ยวซีเป็นอย่างดีแน่นอน”
เสี่ยวซีมองฉินจิ่นและเว่ยเหยียนถิงกลับไปอย่างทำใจไม่ได้ ฉินจิ่นก็รู้สึกทำใจไม่ได้อยู่เหมือนกัน เดินไปก็หันกลับมามองเขาไป