px

เรื่อง : War Sovereign Soaring The Heavens
บทที 433 : ช้า...เชื่องช้าเกินไป


WSSTH บทที 433 : ช้า...เชื่องช้าเกินไป

 

 

ความสามารถของผู้อาวุโสคงนั้น... ต้องบอกว่าไม่มีใครสามารถเข้าใจได้กระจ่างไปกว่าตัวเฟิ่งหวู่เต้าอีกแล้ว...

ในแง่ของความแข็งแกร่งของระดับบ่มเพาะนั้น  อาวุโสคงย่อมไม่กล้าประกาศว่าตัวไร้คู่ต่อสู้ในอาณาจักรต้าฮั่น...แต่ถ้าหากเป็นเรื่องอาคมจารึกแล้วล่ะก็...หากอาวุโสคงประกาศตัวว่าเป็นที่สอง ย่อมไม่มีผู้ใดกล้ากล่าวว่าตัวเป็นที่หนึ่ง...!

ต่อให้นับรวมราชวงศ์อื่นรอบๆ นอกเหนือจากราชวงศ์ต้าฮั่น ผู้เชี่ยวชาญด้านการจารึกอาคมก็นับว่ามีน้อยคนนักที่จะเทียบอาวุโสคงได้...

กล่าวให้ชัดๆเลยก็ได้ว่า ไร้ซึ่งผู้เชี่ยวชาญใดที่สามารถเอาชนะผู้อาวุโสคงได้ ในแง่ศาสตร์ของการจารึกอาคมอีกแล้ว...

แต่ทว่ามาตอนนี้...

อาวุโสคงกลับบอกว่า ชายหนุ่มผู้ที่มีอายุเพียง 22 ปี มีคุณสมบัติสูงเกินพอที่จะเป็นอาจารย์เขาตัวเขาได้?!

ทันทีที่ได้ฟังวาจานี้ หน้าอกของเฟิ่งหวู่เต้าถึงกับกระเพื่อมขึ้นลงโดยแรง เสียงหัวใจยังดังตุบตับ ยากที่จะสงบลงได้แม้จะผ่านเวลาไปเนิ่นนาน

ก่อนหน้านี้ในวันที่จัดการแข่งขันประลองหาคู่ มันก็ตกใจแทบตายแล้ว เมื่ออาวุโสคงกล่าวว่า พลังวิญญาณของต้วนหลิงเทียนนั้น ...อยู่ในจุดรอคอยระหว่างระดับวิญญาณแรกก่อตั้ง กับระดับแรกสัมผัสธรรมชาติ...!

ตอนนี้เมื่อได้พบว่าต้วนหลิงเทียนมีความสามารถในการจารึกอาคมสูงส่งเช่นนี้อีก มันยิ่งตกตะลึง!

“ต้วนหลิงเทียน...เขาสมควรเป็นบุรุษในโชคชะตาของหวู่ ที่ท่านแม่เฒ่าพยากรณ์ได้ทำนายเอาไว้....บุตรเขยของข้าเฟิ่งหวู่เต้า! นับว่ายอดเยี่ยมอย่างที่คาดเอาไว้!!” หลังจากที่ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ตอนนี้ในใจของเฟิ่งหวู่เต้า ก็บังเกิดความตื่นเต้นขึ้นมา ใบหน้าคลี่ยิ้มบานแฉ่งออกมาโดยพลัน

ตอนนี้ดูเหมือนว่ามันจะลืมไปเสียสิ้นแล้ว ว่าต้วนหลิงเทียนยังไม่ได้ตบปากรับคำว่าจะเป็นบุตรเขยของมันสักคำ...

เวลาร่วงเลยไปอย่างช้าๆ ไม่นานฟ้าก็เริ่มมืดลง

ต้วนหลิงเทียนนอนเอนหลังอยู่บนเตียง คิดย้อนถึงเรื่องราวต่างๆ ตั้งแต่มาถึงเมืองหงส์ฟ้า

พอพูดถึงเรื่องคำทำนายของฟ่งเทียนหวู่และโชคชะตาอะไรนั่น มันทำให้ในใจของเขารู้สึกพิกลอยู่บ้าง

ราวกับว่าการที่เขามาถึงเมืองหงส์ฟ้าแห่งนี้ กระทั่งได้รับรู้ข่าวเรื่องผลวิญญาณผันแปร สุดท้ายก็จับพลัดจับผลูกระทั่งเอาชนะนางได้...เรื่องราวนี้มันดำเนินไป ราวกับมีมือที่มองไม่เห็นคอยผลักดันให้เกิดขึ้น นำพาให้เขากำลังก้าวเดินอยู่ในวังวนแห่งโชคชะตาทีละก้าวๆ...

ความรู้สึกเช่นนี้ทำให้เขารู้สึกอึดอัดไม่น้อย

“โชคชะตา? โชคชะตาบัดซบอะไรกัน!? ข้าต้วนหลิงเทียนไม่เชื่อถือโชคชะตาและลิขิตฟ้า  โชคชะตาของข้า ข้าย่อมต้องเป็นผู้ที่ลิขิต ไม่ใช่สวรรค์หรือฟ้าบ้าบออะไรทั้งสิ้น!”ครู่ต่อมาต้วนหลิงเทียนก็ขจัดความคิดไร้สาระออกไป ในความมืดแววตาของเขาเผยประกายแสงเย็นๆออกมา

เขาคิดไปถึงเฟิ่งเทียนหวู่ สตรีผู้ที่จิตใจดีอบอุ่น และมีความดุร้ายราวกับเปลวเพลิงยามต่อสู้...

"ร่างจิตวิญญาณแห่งธาตุไฟงั้นหรือ ...ข้าเองก็หวังว่าจะสามารถช่วยนางได้ ไม่อย่างนั้นสตรีดีๆเช่นนางก็คงต้องตายทั้งที่ยังไม่ทันได้ใช้ชีวิตอะไร" ต้วนหลิงเทียนถอนหายใจออกมา

แล้วต้วนหลิงเทียนก็ค่อยๆหลับไปอย่างช้าๆ

อาการบาดเจ็บของเขายังไม่หายสนิท นั่นทำให้เขาหลับยาวจนไปตื่นอีกทีก็เที่ยงของอีกวัน...

ทว่าหลังจากที่นอนเต็มตื่นครานี้ เขารู้สึกสดชื่นนัก!

ไม่นานหลังจากที่ต้วนหลิงเทียนลุกขึ้นมาสวมเสื้อผ้าเสร็จแล้ว เฟิ่งเทียนหวู่ก็มาพร้อมคนรับใช้ ที่กำลังยกสำรับอาหารเข้ามาเตรียมจัดวางไว้บนโต๊ะ “พี่ใหญ่ต้วนท่านตื่นแล้ว”

ต้วนหลิงเทียนพยักหน้าทักทายนาง ก่อนที่จะนั่งกินข้าวที่โต๊ะ

"จี๊ดๆ ~" เจ้าหนูตัวน้อยพุ่งร่างมาว่องไวปานสายฟ้า คว้าหยิบเนื้อชิ้นใหญ่ไป 2 ชิ้นด้วยความรวดเร็ว เหนือชั้นยิ่งกว่าความเร็วตะเกียบของต้วนหลิงเทียนหลายขุม  ก่อนที่มันจะไปนั่งแทะเนื้ออย่างสบายอารมณ์

“พี่ใหญ่ต้วน ข้าไม่คิดเลยว่าท่านจะมีความสำเร็จด้านการจารึกอาคมสูงส่งเช่นนี้...กระทั่งปู่คงก็ยังรู้สึกด้อยกว่าท่าน...พอคิดถึงเรื่องที่ท่านพ่อบอกให้ปู่คงชี้แนะท่านเมื่อวานนี้...แต่สุดท้ายกลับเป็นท่านที่ต้องเป็นฝ่ายชี้แนะปู่คง มันก็...”ดวงตาคู่งามของเฟิ่งเทียนหวู่จับจ้องมองไปยังร่างต้วนหลิงเทียนเขม็ง  ราวกับนางจะมองให้ทะลุว่าที่แท้ต้วนหลิงเทียนซุกซ่อนความลับไว้มากเท่าไหร่กันแน่

และมาวันนี้นางก็เข้าใจคำกล่าวที่ต้วนหลิงเทียนกล่าวไว้เมื่อวานได้แล้ว

ครู่ต่อมานางก็ยิ่งมองต้วนหลิงเทียนด้วยความนับถือมากยิ่งขึ้น

ต้วนหลิงเทียนเพียงยิ้มบางๆ  และรีบคีบอาหารกิน หากชักช้าเกรงว่าเจ้าหนูตัวน้อยคงจัดการของดีๆหมด...!

“พี่ใหญ่ต้วน เหตุใดท่านถึงมีความสามารถในศาสตร์ผู้จารึกอาคมเลิศล้ำนักล่ะ?” เฟิ่งเทียนหวู่กล่าวถามออกมาพร้อมกระพริบดวงตาคู่งามกลมโตปริบๆ แววตานางใสกระจ่างราวสายธารในสารทฤดู น้ำเสียงยามกล่าวถามยังอ่อนโยนแฝงความอยากรู้ไว้ไม่น้อย

"เทียนหวู่ ...นี่เป็นบิดาเจ้ากับอาวุโสคง คะยั้นคะยอให้มาถามข้าใช่หรือไม่?" ต้วนหลิงเทียนหรี่ตามองไปยังเทียนหวู่  ...นางเองก็อดไม่ได้ที่จะพยักหน้ารับด้วยท่าทางละอายเล็กน้อย "ฮิๆ...จริงๆแล้วข้าเองก็อยากรู้ด้วย...แต่หากพี่ใหญ่ต้วนไม่สะดวก ท่านมิต้องตอบข้าก็ได้ ถือซะว่าข้าไม่เคยถามท่าน"

"มันก็ไม่ได้ไม่สะดวกอะไรหรอก" ต้วนหลิงเทียนส่ายหัว "ศาสตร์แห่งการจารึกนี้ ตัวข้าย่อมได้รับการสอนสั่งมาจากอาจารย์ของข้า ... "

"อาจารย์ของพี่ใหญ่ต้วน?" เฟิ่งเทียนหวู่กล่าวถามออกมาด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ "ข้ามิคิดเลยว่าจะมีผู้เชี่ยวชาญด้านการจารึกอาคม ที่น่าเกรงขามซ่อนตัวอยู่ในอาณาจักรที่ถูกราชอาณาจักรต้าฮั่นปกครองอยู่เช่นนี้  ตอนแรกข้าคิดว่าผู้เชี่ยวชาญด้านการจารึกอาคมอย่างปู่คงจะยอดเยี่ยมที่สุดแล้วเสียอีก ...ดูเหมือนว่าสุดท้ายข้าก็กลายเป็นกบน้อยก้นบ่อเสียแล้ว "

"ก็ไม่เชิง ... " ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวอีกครั้ง "เจ้าไม่ได้คิดผิด ... หากนับกันแต่เฉพาะผู้คนภายใต้การปกครองของราชอาณาจักรต้าฮั่นแล้วล่ะก็ อาวุโสคงของเจ้าก็นับว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญที่มีความสามารถในศาสตร์จารึกอาคมสูงที่สุด"

"หืม?" เฟิ่งเทียนหวู่เริ่มสับสนเล็กน้อย

"อาจารย์ของข้าไม่ใช่คนในราชอาณาจักรต้าฮั่น ...ดูเหมือนข้าจะเคยได้ยินเขากล่าวว่า เขามาจาก ดินแดนรอบนอก” ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกมาช้าๆ

ดินแดนรอบนอก!

ใบหน้าที่งดงามของเฟิ่งเทียนหวู่เริ่มฉายชัดออกมาถึงความเหลือเชื่อ "พี่ใหญ่ต้วน อาจารย์ของท่านเป็นผู้เชี่ยวชาญที่มาจากดินแดนรอบนอกหรือ?"

ต้วนหลิงเทียนยิ้มบางๆ ก่อนที่จะพยักหน้ากล่าวตอบ “ใช่แล้ว”

“เช่นนั้นก็มิต้องสงสัยเลยว่าเหตุใดพี่ใหญ่ต้วนถึงได้มีความเข้าใจในศาสตร์ของการจารึกอาคมสูงส่งเช่นนี้  ที่แท้อาจารย์ของท่านเป็นผู้เชี่ยวชาญจากดินแดนรอบนอกอันลึกลับนี่เอง” เฟิ่งเทียนหวู่ระบายลมหายใจออกมาด้วยความรู้สึกท่วมท้น

ดินแดนรอบนอก ...เพียงสองคำนี้ ก็เพียงพอที่จะทำให้ผู้ที่ได้ฟังบังเกิดความรู้สึกเกรงขามและเคารพแล้ว อันที่จริงยังรู้สึกสะพรึงกลัวอีกด้วย

ผู้เชี่ยวชาญในดินแดนรอบนอกนั้นมากมายดั่งก้อนเมฆบนผืนฟ้า และยังมีเหล่าอัจฉริยะมากพรสวรรค์มากมายนับไม่ถ้วน ต่างเดินกันให้ขวักไขว่ หันไปทางไหนก็เจอ

และในหมู่พวกตัวตนผู้อยู่เหนือเหล่านั้นแน่นอนว่าย่อมมีผู้หลอมโอสถ,ผู้หลอมศาสตรา และผู้จารึกอาคมปะปนอยู่ด้วยไม่น้อย และความสามารถก็เหนือชั้นกว่าผู้คนในเมืองราชวงศ์นัก

“เอาล่ะ พี่ใหญ่ต้วน ท่านพักผ่อนต่อเถิด ..ข้าไม่กวนท่านแล้ว” เฟิ่งเทียนหวู่ยิ้ม ก่อนที่จะเอ่ยคำลากับต้วนหลิงเทียน

ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับคราหนึ่ง

ต้วนหลิงเทียนย่อมรู้ดีแก่ใจว่ายามนี้ในใจของสาวน้อยคงกังวลและร้อนรนไม่น้อย นางคงอยากจะรีบกลับไปบอกบิดากับอาวุโสคง ให้รับรู้เรื่องราวของอาจารย์เขา

ณ ลานกว้างขนาดใหญ่ อันเป็นลานหลักของจวนเจ้าเมือง ข้างๆลานมีบ้านหลังใหญ่โตอยู่ และนี่เป็นที่พักของเจ้าเมืองด้วย

“อะไรนะ?!” ชายวัยกลางคนที่สวมชุดคลุมสีแดงขลิบทอง กับชายชราชุดสีเทาถึงกับลุกจากเก้าอี้ สองตาจับจ้องไปยังร่างสาวน้อยในชุดสีแดงสดเบื้องหน้าตาอย่างตะลึง

“หวู่ที่เจ้ากล่าวมาเป็นเรื่องจริงหรือ?!”ชายวัยกลางคนในชุดคลุมแดงขลิบทอง แน่นอนว่าย่อมเป็นเฟิ่งหวู่เต้า จ้าวเมืองหงส์ฟ้า ...ตอนนี้มันกำลังตื่นตกใจกับคำกล่าวของบุตรีไม่น้อย

"คุณหนู เขากล่าวจริงๆหรือ...ว่า อาจารย์ของเขามาจาก ดินแดนรอบนอก?" ชายชราชุดสีเทากล่าวถามย้ำอีกครั้งเพื่อความมั่นใจ

“ท่านพ่อ ท่านปู่คง พี่ใหญ่ต้วนบอกข้าด้วยตัวเอง... ถ้าพวกท่านไม่เชื่อ ก็ลองไปถามเขาดูเองแล้วกัน” เฟิ่งเทียนหวู่ในชุดแดงกล่าวคำออกมา

"มิต้องแปลกใจ มิต้องแปลกใจเลย... เช่นนี้ก็มิต้องสงสัยแล้วว่าเด็กน้อยอายุเพียง 20 กว่าปีคนหนึ่ง...ใยถึงได้มีความสามารถด้านการจารึกอาคมสูงนัก!  ที่แท้ก็มีอาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่อยู่เบื้องหลังนี่เอง!!" ชายชราชุดเทาเข้าใจได้โดยพลัน และความสับสนระคนสงสัยในใจของมันก็ได้รับการเฉลยในที่สุด

“ตอนนี้ข้าเชื่อมั่นว่า เจ้าหนุ่มนี่ต้องเป็นบุคคลในคำทำนายของลูกหวู่เป็นแน่ !... ข้าเฟิ่งหวู่เต้า ต้องการบุตรเขยคนนี้!!”สองตาของเฟิ่งหวู่เต้าแทบจะส่องแสงออกมาได้

คำกล่าวนี้ยังทำให้เฟิ้งเทียนหวู่ถึงกับหน้าม้านอยู่บ้าง “ท่านพ่อ ท่านกล่าวเหลวไหลอันใดกัน?”

“อะไร? หวู่ ข้าได้ข่าวมาว่าเป็นเจ้ามิใช่หรือที่วุ่นวายกับการส่งอาหารให้มันตลอดเวลาในช่วง 2 วันที่ผ่านมานี้...”เฟิ่งหวู่เต้าหรี่ตามองไปยังบุตรีของมัน พร้อมหรี่ตาเผยประกายตาลี้ลับออกมาเล็กน้อย

"ท่านพ่อ!" เฟิ่งเทียนหวู่กระทืบเท้าน้อยๆของนางลงกับพื้นดังตึง นางรู้สึกขุ่นเคืองถึงขั้นที่ต้องเดินหนีออกจากห้องไปโดยไม่หันหลังกลับมามองแม้แต่น้อย

ตอนนี้เฟิ่งหวู่เต้ากับชายชราก็อดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้

...

"สระชำระจิตจะเปิดในอีก 3 เดือนเช่นนั้นหรือ" ภายในห้องพักที่กว้างขวาง ต้วนหลิงเทียนนั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้น ก่อนที่จะเริ่มบ่มเพาะพลังหลังจากที่โยนโอสถเสริมวิญญาณแรกกำเนิด

วิชา 9 มังกรจักรพรรดิสงคราม รูปแบบมังกรปีกวายุ!

ตอนนี้ระดับบ่มเพาะของต้วนหลิงเทียนนั้นตัดผ่านไปยังระดับวิญญาณแรกก่อตั้งขั้นที่ 5 เรียบร้อยแล้ว ตอนนี้เขากำลังสั่งสมพลังงานต้นกำเนิดเพื่อทะลวงไปยังระดับที่เหนือขึ้นไปมากกว่านี้

เวลานี้นัดหมาย 2 ปีระหว่างเขากับนายน้อยกู่ฉินนั้นเหลือเวลาอีกเพียง 9 เดือนเท่านั้น!

เมื่อถึงเวลาเขาจะเดินทางกลับไปยังนิกายกระบี่ 7 ดาว และสู้ตัดสินกับนายน้อยกู่ฉิน!

นายน้อยกู่ฉิน สื่อชาง นั้น  เมื่อปีที่แล้วมันอยู่ในระดับวิญญาณแรกก่อตั้งขั้นที่ 7  ...ในฐานะที่มันก็เป็นถึงนายน้อยผู้ยิ่งใหญ่ทั้ง 5 ของอาณาจักรพนาคราม ระดับบ่มเพาะของมันอาจจะก้าวหน้าไปยังระดับวิญญาณแรกก่อตั้งขั้นที่ 8 แล้วก็เป็นได้ตอนนี้

และเมื่อระยะเวลา 2 ปีผ่านพ้นไปเป็นไปได้ไม่น้อย ที่นายน้อยกู่ฉินผู้นี้ จะทะลวงผ่านไปยังระดับวิญญาณแรกก่อตั้งขั้นที่ 9!

ผู้ฝึกยุทธ์ระดับวิญญาณแรกก่อตั้งขั้นที่ 9!

ต้วนหลิงเทียนเองก็สัมผัสได้ถึงแรงกดดันอันหนักหน่วงนี้ได้

บ่มเพาะอย่างบ้าคลั่ง!

.....

เป็นเวลาเกือบ 3 เดือนแล้ว นอกเหนือจากการนั่งบ่มเพาะพลังนั้น บางครั้งต้วนหลิงเทียนก็จะนำเจ้าเสี่ยวจินไปเดินเล่นนอกจวนเจ้าเมืองกับเฟิ่งเทียนหวู่เพื่อผ่อนคลายบ้างเล็กน้อย

นอกจากนี้ในระยะเวลาที่ผ่านมาเขายังถูกอาวุโสคงมารบกวนหลายต่อหลายครั้ง  และทุกครั้งที่อาวุโสคงมาก็มักจะถามเกี่ยวกับการจารึกอาคม

ส่วนต้วนหลิงเทียนก็ทำได้เพียงไขข้อสงสัยของมันไปทีละข้อๆ

โดยมากแล้วคำถามของอาวุโสคงยังนับว่าเป็นเรื่องพื้นฐานสำหรับผู้ที่หลอมรวมความทรงจำเข้ากับจักรพรรดิกลับชาติมาเกิดอย่างเขาเท่านั้น

ตอนนี้ความเคารพและนับถือต้วนหลิงเทียนของผู้อาวุโสคงแทบจะสูงสุดขีดแล้ว...!

รุ่งเช้าวันหนึ่ง ต้วนหลิงเทียนค่อยๆลืมตาตื่นขึ้นมา จากการบ่มเพาะพลัง เขาส่ายหัวไปมาก่อนที่จะถอนหายใจเล็กน้อย “ข้ายังขาดอีกไกล...”

ถึงแม้ว่าระดับบ่มเพาะของเขาตอนนี้จะใกล้ตัดผ่านไปยังระดับวิญญาณแรกก่อตั้งขั้นที่ 6 แล้ว แต่ทว่าอย่างน้อยๆมันต้องใช้เวลาอีกประมาณ 1-2 เดืนถึงจะทะลวงผ่านได้

“ช้า...เชื่องช้าเกินไป...!”ต้วนหลิงเทียนยิ้มอย่างฝืนๆ ท่าทางของเขาแลดูหม่นหมองเล็กน้อย

“นัดหมายประลองของข้ากับกู่ฉินหดสั้นลงมาเหลือเพียงแค่ครึ่งปีเท่านั้น... ถึงตอนนั้น ด้วยพรสวรรค์ของไอนายน้อยกู่ฉินอะไรนั่น มันสมควรตัดผ่านไปยังระดับวิญญาณแรกก่อตั้งขั้นที่ 9 ได้แล้ว”ตอนนี้อดไม่ได้ที่ต้วนหลิงเทียนจะรู้สึกร้อนรนขึ้นมา

เพราะจะอย่างไรการประลองของมันกับนายน้อยกู่ฉินครานี้ก็เป็นการประลองศักดิ์ศรีลูกผู้ชาย เขาเองก็ต้องเอาจริงเอาจังใส่ใจเต็มที่

“ถ้าภายในครึ่งปีนี้ข้าไม่สามารถตัดผ่านไปยังระดับวิญญาณแรกก่อตั้งขั้นที่ 7 ได้ล่ะก็...นับว่าเป็นเรื่องยากแล้วที่ข้าจะมีโอกาสเอาชนะมันได้!” ต้วนหลิงเทียนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ในใจบังเกิดความปรารถนาที่จะตัดผ่านไปยังระดับวิญญาณแรกก่อตั้งขั้นที่ 7 โดยไว

เพราะเมื่อเขาตัดผ่านไปยังระดับวิญญาณแรกก่อตั้งขั้นที่ 7 ความแข็งแกร่งของเขาจะยกระดับขึ้นมาก นอกจากนี้เปลวเพลิงหลอมศาสตราของเขาก็จะยกระดับเป็นเปลวเพลิงหลอมศาสตราขั้นที่ 5 นั่นจะทำให้เขากลายเป็นผู้หลอมศาสตราขั้นที่ 5

ถึงตอนนั้นเขาเองก็สามารถหลอมสร้างอาวุธวิญญาณระดับ  5 ได้!

ถึงแม้ว่านายน้อยกู่ฉิน สื่อชาง จะมีอาวุธวิญญาณระดับ 5 เช่นเดียวกัน แต่ในแง่ของคุณภาพแล้ว แน่นอนมันต้องยังห่างกับของต้วนหลิงเทียน

และด้วยพลังงานสั่นสะเทือน กับพลังลมเบื้องต้น...

“ตราบใดที่นายน้อยกู่ฉินนั่น ยังไม่เข้าใจเมล็ดพันธ์พลัง หรือความเข้าใจในเรื่องเมล็ดพันธ์พลังของมันยังด้อยกว่านายน้อยคมมีด...มันก็ไม่มีอะไรจะมาสู้กับข้า หากข้าสามารถตัดผ่านไปยังระดับวิญญาณแรกก่อตั้งขั้นที่ 7!” ประกายตาของต้วนหลิงเทียนเรืองแสงสว่างวูบขึ้นมา

แต่ต้วนหลิงเทียนก็รู้ดีแก่ใจว่าถึงแม้ตอนนี้เขาจะสามารถตัดผ่านไปยังระดับวิญญาณแรกก่อตั้งขั้นที่ 6 ได้ภายในเวลาอีก 2 เดือน  แต่มันก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ที่เขาจะตัดผ่านไปยังระดับวิญญาณแรกก่อตั้งขั้นที่ 7 ได้ทันเวลาก่อนที่จะถึงวันนัดหมาย...

เพราะจะอย่างระระหว่างระดับวิญญาณแรกก่อตั้งขั้นที่ 6 กับ 7 ก็คือระดับช่วงแบ่ง ที่ยากจะข้ามผ่านไปได้

 

 

รีวิวผู้อ่าน