px

เรื่อง : War Sovereign Soaring The Heavens
บทที่ 434 : สยบ ด้วยพลังอำนาจ!


WSSTH บทที่  434 : สยบ ด้วยพลังอำนาจ!

 

 

บนด้านหลังสัตว์อสูรตัวเขื่องที่กำลังบินด้วยความเร็วสูง เฟิ่งหวู่เต้าที่ยืนกอดอกมองไปยังต้วนหลิงเทียน ด้วยท่าทางจริงจังในขณะที่กล่าวคำออกมา “สระชำระจิตแห่งนี้ ดูเหมือนมันจะถูกสร้างทิ้งไว้ด้วยน้ำมือของผู้เชี่ยวชาญด้านการจารึกอาคมที่น่าเกรงขาม...มันยังเป็นค่ายกลที่มีความซับซ้อนยิ่งนัก มันจะเปิดขึ้นทุกๆ 3 ปี กระทั่งยังเปิดในเวลากลางวันเท่านั้น  และต้องรอให้มันเปิดเท่านั้นผู้คนถึงจะสามารถเข้าไปได้...แต่เจ้าต้องจดจำเอาไว้ให้ดี ว่าสามารถอยู่ในสระชำระจิตได้แค่เพียง หนึ่งวันเท่านั้น! หาไม่แล้วล่ะก็เจ้าจะมิสามารถกลับออกมาได้อีก!!”

ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า

ค่ายกลที่ก่อเกิดจากการจารึกอาคมงั้นหรือ

เขาเองก็เคยได้ยินเฟิ่งหวู่เต้ากล่าวถึงเรื่องนี้มาก่อนแล้ว

ค่ายกลก็ไม่ใช่เรื่องที่ห่างเหินอะไรสำหรับต้วนหลิงเทียน

เพราะจะอย่างไรเขาก็หลอมรวมความทรงจำของจักรพรรดิกลับชาติมาเกิด เช่นนั้นความรู้เรื่องการจารึกอาคม รวมถึงการจัดตั้งค่ายกลซึ่งเป็นศาสตร์แขนงเดียวกันนั้น เขาย่อมแตกฉานเช่นกัน

ค่ายกลนั้น เป็นการนำอาคมจารึกหลายๆชนิดมาจัดเรียงเพื่อหนุนเสริมกัน และค่ายกลนี้ผู้จารึกอาคมจะสามารถเริ่มก่อตั้งได้ เมื่อพลังจิตบรรลุสู่ระดับหลอมรวมธรรมชาติเรียบร้อยเท่านั้น ถึงจะมีพลังอำนาจแข็งแกร่งเพียงพอ

เนื่องจากมีเพียงผู้ที่มีพลังวิญญาณอันทรงพลังและแข็งแกร่งอย่างยิ่งเท่านั้น ถึงจะสามารถควบคุมจารึกจำนวนมาก และผสานมันเข้าไว้ด้วยกัน ก่อตั้งค่ายกลอันแสนมหัศจรรย์ขึ้นมา

“เต๋าแห่งการจารึกนับว่าลึกล้ำไร้สิ้นสุดนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการก่อตั้งจัดวางค่ายกลเช่นนี้ นับว่าเป็นเรื่องยากที่จะทำความเข้าใจได้” นี่คือสิ่งที่ต้วนหลิงเทียนรู้ดี

“พี่ใหญ่ต้วน หากท่านเข้าไปในสระชำระจิตแล้ว  ท่านต้องพยายามดูดซับพลังวิญญาณด้านในอย่างเต็มที่เพื่อขัดเกลาวิญญาณของท่าน...เช่นนี้ถึงจะทำให้พลังวิญญาณของท่านก้าวหน้าภายใน 1 วัน และออกมาก่อนที่ค่ายกลจะปิดตัวลง” เฟิ่งเทียนหวู่ ที่ยืนอยู่ด้านข้างกล่าวเตือนต้วนหลิงเทียนออกมา

“ด้วยความสามารถของพี่ต้วนเจ้า และความเข้าใจในเต๋าแห่งการจารึกของเขา ข้าเกรงว่ากระทั่งค่ายกลของสระชำระจิตนี้ ยังคงต้องถูกเขาหยั่งรู้แก่นแท้ของมัน ”

"หากเขาสามารถหยั่งรู้แก่นแท้ของค่ายกลนี่แล้วล่ะก็ ...นั่นหมายความว่าเขาต้องค้นพบบางสิ่งที่สำคัญ และอาศัยมันเพื่อดูดซับพลังวิญญาณในสระชำระจิตได้มากมายยิ่งขึ้นเป็นแน่" สายตาของเฟิ่งหวู่เต้าคล้ายจะส่องแสงออกมาได้ มันมองไปยังต้วนหลิงเทียนด้วยความคาดหวังไม่น้อย

ต้วนหลิงเทียนเงียบกริบ เพราะเขาไม่เคยคิดเลยว่าเฟิ่งหวู่เต้ากับชายชราชุดเทาจะมองเขาอยู่สูงขนาดนี้

ตอนนี้กลุ่มของต้วนหลิงเทียนก็กำลังบินลัดฟ้ามุ่งหน้าไปยังสระชำระจิต

สระชำระจิตนี้จะเปิดตัวทุกๆ 3 ปีเท่านั้น แน่นอนว่าผู้คนจำนวนมากล้วนปรารถนาจะเข้าไปดูดซับพลังวิญญาณเพื่อขัดเกลาวิญญาณตัว แต่เนื่องจากพลังวิญญาณในสระชำระจิตมันมีจำกัด ดังนั้นจึงต้องจำกัดคนเข้าสระชำระจิตไว้แค่ 30 คนเท่านั้น

ที่ว่างสำหรับผู้คน 30 คนนั้น ก็ถูกกำหนดโดยเมืองทั้ง 30 เมืองที่อยู่รอบๆสระชำระจิตแห่งนี้...

เมืองหงส์ฟ้าเองก็ย่อมมีที่เช่นกัน

เมื่อสามปีที่แล้วที่ของเมืองหงส์ฟ้าเป็นของเฟิ่งเทียนหวู่ และคราวนี้มันก็เป็นของต้วนหลิงเทียน

สองวันต่อมา...

สัตว์อสูรบินได้ที่ต้วนหลิงเทียนนั่งมาเริ่มลดระดับเพดานบินต่ำลงช้าๆ

สัตว์อสูรบินได้ตัวนี้มันเป็นถึงสัตว์อสูรปีศาจระดับแรกสัมผัสธรรมชาติตัวหนึ่ง! ความเร็วในการบินของมันสูงล้ำไม่น้อย มันพุ่งฝ่าเมฆหมอกด้วยความเร็วสูงเพื่อลงไปด้านล่างจนเมฆหมอกกระจัดกระจาย

ต้วนหลิงเทียนยังคงจับจ้องไปรอบบริเวณอย่างสนอกสนใจ

เมื่อสัตว์อสูรปีศาจโฉบลงมาอยู่พักหนึ่งต้วนหลิงเทียนก็เห็นหุบเขาแห่งหนึ่งอยู่เบื้องหน้า

ภายในหุบเขามันเต็มไปด้วยเมฆหมอกปกคลุมอัดกันอย่างหนาแน่น ขับเน้นให้บังเกิดสภาวะลี้ลับประการหนึ่ง ผู้ที่อยู่ด้านนอกยากที่จะมองเห็นภายในหุบเขาได้กระจ่าง

เมื่อสัตว์อสูรปีศาจร่อนลงเบื้องหน้าทางเข้าหุบเขา ต้วนหลิงเทียนก็สังเกตเห็นกลุ่มคนจำนวนไม่น้อยยืนรอกันอยู่ ด้านหน้าทางเข้าหุบเขาเช่นกัน

กลุ่มคนเหล่านี้ประกอบไปด้วยชายหนุ่มหญิงสาวชายชราและหญิงชรา

กลุ่มของต้วนหลิงเทียนเพียงลงจากหลังสัตว์อสูรได้ไม่นาน ก็มีชายวัยกลางคนสวมใส่ชุดคลุมสีฟ้าเดินเข้ามาทักทายพวกเขา  มันมาถึงก็มองไปยังเฟิ่งหวู่เต้าพร้อมกล่าวคำทักทายด้วยน้ำเสียงอบอุ่น “เจ้าเมืองเฟิ่ง นานแล้วมิได้พบกัน...”

เฟิ่งหวู่เต้าเพียงยิ้มอย่างไม่แยแสรับการทักทายเท่านั้น

ต้วนหลิงเทียนเดิมคิดว่าชายวัยกลางคนชุดฟ้าย่อมมีโทสะกับท่าทางไม่แยแสเช่นนี้ แต่ผิดคาดนักดูเหมือนจะไม่ติดใจหรือว่าอะไรเรื่องนี้ เพียงกลับไปยืนข้างชายหนุ่มที่มากับมันตอนแรกเงียบๆเท่านั้น

และตั้งแต่เริ่มจนถึงตอนนี้ชายหนุ่มคนนั้นยังไม่ได้ละสายตาจากเฟิ่งเทียนหวู่ที่คุลมหน้ามามิดชิดแม้แต่น้อย

ถึงแม้เฟิ่งเทียนหวู่จะปิดบังใบหน้าเอาไว้ แต่ทรวดทรงองค์เอว และท่าทางสูงส่งของนางนั้น  ยากนักที่จะปิดบังซ่อนเร้นได้ ไม่ว่านางจะไปที่ไหนย่อมเป็นจุดสนใจอย่างแน่นอน

"ท่านเจ้าเมืองเฟิ่ง!" ในครู่ต่อมา ผู้คนมากมายหลายหลากก็ทยอยแห่กันมาทักทายเฟิ่งหวู่เต้าอย่างอบอุ่น

ส่วนทางด้านเฟิ่งหวู่เต้านั้นยังคงไม่แยแส ราวกับไม่เห็นผู้คนเหล่านี้อยู่ในสายตา

แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นผู้คนเหล่านี้ก็ไม่มีผู้ใดกล้ามีโทสะหรือไม่พอใจอะไรกับความอัปยศครั้งนี้

เรื่องนี้ทำให้ต้วนหลิงเทียนอดประหลาดใจขึ้นมาไม่ได้

"เทียนหวู่ ผู้คนเหล่านี้เป็นเจ้าเมือง ของอีก 29 เมืองรอบๆ ใช่หรือไม่?"ต้วนหลิงเทียนกล่าวถามเทียนหวู่ด้วยเสียงผ่านพลังงานต้นกำเนิด

"ใช่" เฟิ่งเทียนหวู่ก็ส่งเสียงกลับมาเช่นกัน "พี่ใหญ่ต้วน ท่านประหลาดใจท่าทีของพวกมัน ที่มีต่อบิดาของข้าใช่หรือไม่?"

เฟิ่งเทียนหวู่ยังส่งเสียงกล่าวต่อออกมา เมื่อเห็นต้วนหลิงเทียนพยักหน้า“ตอนนั้นพวกมันพบว่าเมืองหงส์ฟ้าได้เปลี่ยนมือเจ้าเมือง และเมื่อ 3 ปีก่อนท่านพ่อก็พาข้ามาที่นี่... ตอนแรกพวกมันทั้งหมดก็ดูแคลนบิดาข้า หมายลงมือกำราบและคิดยึดที่เข้าสระชำระจิตของเมืองหงส์ฟ้า”

หลังจากกล่าวถึงตรงนี้เฟิ่งเทียนหวู่ก็หยุดเล็กน้อย ก่อนที่จะกล่าวสืบต่อ “ทว่าต่อมาบิดาข้าเพียงแผ่แรงกดดันไร้สภาพออกมาเล็กน้อย เพื่อสะกดข่มพวกมันเอาไว้เท่านั้น  แต่นั่นทำให้เจ้าเมืองทั้งหมดศิโรราบ ล้วนสงบเสงี่ยมเจียมตัว ไม่กล้ายุ่งวุ่นวายหรือดูแคลนอะไรบิดาข้าอีกเลย”

ต้วนหลิงเทียนสังเกตเห็นว่ายามกล่าวถึงเรื่องนี้ ใบหน้าของเฟิ่งเทียนหวู่ขึ้นสีแดงเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่านางตื่นเต้นและมีความสุขไม่น้อย

ม่านตาของต้วนหลิงเทียนหดแคบลง

ตอนนี้พลังวิญญาณของเขาก็พอจับสัมผัสได้ไม่น้อย เขาพอจะสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่แผ่ซ่านออกมาจากร่างของพวกมัน...ว่าทั้งหมดล้วนอยู่ในระดับหยั่งรู้ธรรมชาติ...

ผู้คนที่เดินหน้าระรื่นเริ่มกล่าวคำทักทายเฟิ่งหวู่เต้าก่อนหน้านี้ ทั้งหมดล้วนเป็นตัวตนระดับหยั่งรู้ธรรมชาติ!  กระทั่งบางคนในหมู่พวกมันยังมีความแข็งแกร่งมากเป็นพิเศษ

แต่ถึงกระนั้นเฟิ่งหวู่เต้าก็ยังคงไม่แยแส  ทำราวกับไม่เห็นพวกมันทั้งหมดอยู่ในสายตา... ที่สำคัญพวกมันโดนทำเช่นนี้ไม่เพียงไม่โกรธ กลับยังกระทำตัวสุภาพต่อหน้าเฟิ่งหวู่เต้าเหมือนเดิม

ต้วนหลิงเทียนรู้ได้ทันที ว่านี่คือการที่ผู้อ่อนแอยินยอมสยบและเคารพต่อผู้เข้มแข็ง

“เฮ่อ ข้าล่ะสงสัยนักว่าเมื่อไหร่ข้าจะมีพลังอย่างเช่นเจ้าเมือง  และมีพลังอำนาจขู่ขวัญผู้คนเช่นนี้...” ต้วนหลิงเทียนทอดถอนใจออกมา

“ฮ่าๆ... เจ้าเมืองเฟิ่ง มิพบกัน 3 ปี  แต่ท่าทางของท่านยังคงสูงส่งเหมือนเดิมมิมีผิด” ทันใดนั้นเองเสียงหนึ่งดังขึ้นเข้าหูต้วนหลิงเทียน

ครู่ต่อมาเขาก็เห็นสัตว์อสูรปีศาจตัวหนึ่งร่อนลงจอดบนพื้น  เป็นชายวัยกลางคนผู้หนึ่งกระโดดหลังมาจากแผ่นหลังอันกว้างใหญ่ของสัตว์อสูรปีศาจ พร้อมๆกันกับชายหนุ่มคนหนึ่งที่มีอายุราวๆ 26-27 ปีติดสอยห้อยตามมันมา

ทีท่าของชายหนุ่มคนนี้เมื่อแรกปรากฏตัวมันก็แลดูเย็นชาไม่สนโลก  แต่ทว่าเมื่อสายตาของมันเบนมาตกยังเฟิ่งเทียนหวู่ ในแววตาของมันก็เผยความร้อนรุ่มเต็มไปด้วยเพลิงแห่งความปรารถนาปานจะมอดไหม้

“ดูเหมือนต่อให้เทียนหวู่ปิดบังใบหน้า แต่นางก็ยังเป็นอะไรที่ทำให้ผู้คนหลงใหลได้อย่างดี” ต้วนหลิงเทียนกล่าวพึมพำกับตัวเอง

พอคิดถึงเรื่องที่ถึงแม้เฟิ่งเทียนหวู่จะปิดบังใบหน้าแล้ว...แต่เพียงเรือนร่างส่วนสัดของนาง และอากัปกิริยาของนางที่แสดงออกมาตามธรรมชาติ ก็นับว่ามีเสน่ห์ดึงดูดบุรุษมากมายให้หลงเสน่ห์นาง...

และพร้อมกันกับที่เบื้องหลังของนางคือตัวตนอันแข็งแกร่งอย่างเฟิ่งหวู่เต้า

เช่นนี้ก็มีบุรุษมากมายที่อยากจะสยบใต้กระโปรงของนาง

ชายวัยกลางคนในชุดสีครามไม่ได้ยี่หระอะไรที่การทักทายของมัน ถูกเฟิ่งหวู่เต้าไม่แยแส  สายตาของมันเบนไปตกยังร่างต้วนหลิงเทียน ก่อนที่จะกล่าวออกมา “เจ้าเมืองเฟิ่ง ข้าได้ยินมาว่าท่านได้บุตรเขยมาเมื่อ 3 เดือนที่แล้ว เป็นหนุ่มน้อยผู้นี้หรือ”

“อะไร? เจ้าเมืองซ่ง มีอะไรจะชี้แนะข้าหรือ?”เฟิ่งหวู่เต้ากล่าวออกมาอย่างไม่แยแส

“ข้าหรือ จะกล้าชี้แนะอันใดเจ้าเมืองเฟิ่ง...ข้าเพียงแปลกใจในอายุของบุตรเขยเจ้าเมืองเฟิ่งต่างหากเล่า...มันช่างยากนักที่จะจินตนาการ ว่ายังมีอัจฉริยะหนุ่มที่สามารถเอาชนะบุตรีของเจ้าเมืองเฟิ่งได้” เมื่อกล่าวจบเจ้าเมืองซ่งก็ถอนสายตาจากต้วนหลิงเทียน ก่อนที่จะเบนไปตกยังเฟิ่งเทียนหวู่

“น้องเทียนหวู่...เมื่อข้ารู้ว่าท่านเจ้าเมืองเฟิ่งจัดการแข่งขันประลองหาคู่ให้เจ้า  ข้าแทบมิต้องการอันใดมากไปกว่าการติดปีกแล้วเหินบินไปยังเมืองหงส์ฟ้า...แต่น่าเสียดายที่ข้ามิอาจกระทำได้  กระทั่งตอนนี้ข้ายังแทบมิอยากจะเชื่อว่าจะมีผู้ใดเอาชนะเจ้าได้ เสมือนตบหน้าข้าฉาดใหญ่เช่นนี้...”

ต้วนหลิงเทียนยังคงยืนนิ่งไม่ไหวติงไม่ได้แยแสอะไร

อย่างไรก็ตามถึงแม้ต้วนหลิงเทียนจะไม่แยแสอะไรกับคำพูดและการกระทำของชายหนุ่มผู้นั้น เพราะมันไร้ค่า เกินกว่าที่เขาจะไปสนใจ ทว่านั่นไม่ได้หมายความว่าเทียนหวู่จะเป็นเช่นเขา

สำหรับผู้อื่นแล้วนั้น เฟิ่งเทียนหวู่ไม่เคยอ่อนโยนและกระทำตัวน่ารักดั่งที่อยู่กับต้วนหลิงเทียนแม้แต่น้อย  นางมองไปยังชายหนุ่มที่กล่าวคำเมื่อครู่ด้วยท่าทางไม่แยแส ก่อนที่จะกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงยะเยือก “เจ้าควรเรียกข้าว่าเฟิ่งเทียนหวู่! คำเรียก เทียนหวู่ หาใช่อันใดที่น้ำหน้าอย่างเจ้าจะเรียกออกได้  นอกเหนือจากนั้นไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่เจ้ามาไม่ได้  ต่อให้เจ้ามาได้ เจ้ามันก็ไร้คุณสมบัติ! และถึงเจ้าจะมีคุณสมบัติ...เจ้ายังคิดว่าเจ้ามีปัญญาสามารถมากพอเอาชนะข้าได้หรือ?”

การระเบิดน้ำเสียงเย็นชาตอกหน้าผู้คนออกมาอย่างเจ็บแสบนี้ของเทียนหวู่ ทำให้ต้วนหลิงเทียนถึงกับตะลึง

ภาพตรงหน้าตอนนี้ มันทำให้เขาหวนนึกถึงกับวันแรกที่พบเจอเทียนหวู่

ในตอนนั้นเฟิ่งเทียนหวู่ก็เป็นเช่นนี้ กล่าววาจาเย็นชากระทั่งก้าวร้าว อีกทั้งยังลงมือจูโจมโดยไม่แยแสอะไร หมายทุบตีทำร้ายเขาโดยที่ไม่ทันได้ตั้งตัวอีกด้วย

ต่อมาพอเขาเอาชนะนางได้ นิสัยและท่าทางของเทียนหวู่ถึงได้เปลี่ยนไป

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเทียนหวู่เชื่อว่าเขาเป็นบุรุษแห่งโชคชะตาที่อยู่ในคำทำนายของนาง ตัวนางก็ยิ่งอ่อนโยนกับเขามากเป็นพิเศษ เรียกได้ว่าหากเทียบสตรีที่อ่อนโยนผู้นั้น กับแม่เสือน้อยดุร้ายตอนนี้ มันช่างต่างกันราวกับจะเป็นคนละคน

ชายหนุ่มเมื่อได้ฟังวาจาเฟิ่งเทียนหวู่หักหน้าออกมาเต็มๆ นั้น มันก็มีโทสะและขุ่นเคืองนัก แต่มันก็ไม่กล้าทำอะไรออกมาต่อหน้าเฟิ่งหวู่เต้า

เรื่องนี้ทำให้ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาเบาๆ

แต่ทว่าไอเสียงหัวเราะเบาๆของเขานี้ อีกฝ่ายดันทะลึ่งหูดีได้ยินเสียอย่างนั้น มันหันขวับ มาถลึงตามองเขาอย่างดุร้ายโดยพลัน ทำราวกับตอนนี้เขากลับกลายเป็นเป้าระบายโทสะของมันแล้ว

"ไอหนู เจ้ากำลังหัวเราะอะไร?" ชายหนุ่มถลึงตามองต้วนหลิงเทียนพร้อมกล่าวถามออกมาเสียงเข้ม

"ข้าจะหัวเราะอะไร แล้วมันไปเกี่ยวข้องอะไรกับเจ้าล่ะ?" ต้วนหลิวเทียนเพียงเหลือบมองชายหนุ่มด้วยหางตาอย่างไม่แยแส  ชายหนุ่มผู้นี้ถูกเฟิ่งเทียนหวู่กล่าววาจาตอกหน้าจนหงาย มันยังไม่กล้าตอบโต้อะไร  หลังจากนั้นมันจึงหันมาหาเรื่องข้าและคิดแสดงอำนาจงั้นหรือ?  มันคิดจริงๆหรือว่าข้า ต้วนหลิงเทียน เป็นลูกพลับอ่อนๆให้มันบีบเล่น?

“ไอหนู ในเมื่อเจ้าสามารถเอาชนะบุตรีเจ้าเมืองได้  ข้าก็เข้าใจดีว่าความแข็งแกร่งของเจ้านั้นน่ากลัวยิ่งนัก...เช่นนั้นข้าขอท้าประลองกับเจ้าสักครา! เจ้ากล้าหรือไม่!?” ชายหนุ่มคนนั้นแผดเสียงตะโกนออกมาอย่างดุร้าย พลังงานต้นกำเนิดของมันยังพวยพุ่งออกมาอย่างเกรี้ยวกราด

เหนือขึ้นไปบนร่างมัน ปรากฏเงาร่างช้างแมมมอธโบราณ 800 ตัวก่อเกิดขึ้น

"หืม?" ต้วนหลิงเทียนโค้งคิ้วขึ้นเล็กน้อย ก่อนที่จะเอียงคอมองมัน

ไอนี่มันคิดจะสู้กับเขา?

“หากเจ้าคิดต่อสู้กับพี่ใหญ่ต้วน เช่นนั้นก็ผ่านข้าไปให้ได้เสียก่อน” ทันใดนั้นเองไม่ทันที่จะได้ทำอะไร ต้วนหลิงเทียนพลันได้ยินน้ำเสียงอ่อนโยนกล่าวออกมาเสียงดัง พร้อมสายลมหอบหนึ่งที่เต็มไปด้วยกลิ่นหอมสดชื่นพัดผ่านหน้าเขา ร่างที่ก่อให้เกิดลมกรรโชกนั้นยังร้อนแรงดั่งเปลวเพลิง มันวูบไหวมาขวางหน้าปกป้องเขาไว้ด้านหลังของนาง

แน่นอนว่าต้องเป้นเฟิ่งเทียนหวู่!

ตอนนี้เองเจ้าหนูขนทองตัวจิ๋วที่หลับปุ๋ยอยู่บนบ่าก็ตื่นขึ้นมาราวกับรู้ว่ากำลังจะมีเรื่องสนุกสนาน  แววตาสีมรกตสวยสดใสเหลือบมองเรื่องราวรอบๆ ด้วยประกายฉลาดเฉลียวดั่งมนุษย์ ก่อนที่จะมองไปยังชายหนุ่มตัวต้นเหตุด้วยประกายเย็นยะเยือกที่สะท้อนในดวงตาคู่หยก

“พี่ใหญ่หลิงเทียน  ท่านต้องการให้ข้าสับมันลงหม้อหรือไม่!?” น้ำเสียงของเจ้าหนูขนทองตัวน้อยที่ส่งผ่านพลังงานต้นกำเนิดเข้าหูต้วนหลิงเทียนนั้นเต็มไปด้วยความอำมหิต

ต้วนหลิงเทียนตกตะลึง ‘สหายน้อยนี่พึ่งตื่น ก็คิดเรื่องจะฆ่าจะแกงผู้คนอย่างโหดเหี้ยมแล้วหรือ?’

"เอ่อ...เสี่ยวจิน เจ้าไม่ต้องลำบากหรอก ข้าจัดการมันได้..." ต้วนหลิงเทียนตอบกลับด้วยการส่งเสียงผ่านพลังงานต้นกำเนิดทันที

 

รีวิวผู้อ่าน