px

เรื่อง : War Sovereign Soaring The Heavens
บทที่ 442 : นิกายกระบี่ 7 ดาว...ข้ากลับมาแล้ว!!


WSSTH บทที่ 442 : นิกายกระบี่ 7 ดาว...ข้ากลับมาแล้ว!!

 

 

แคร่กกก!!!

กระบี่ของต้วนหลิงเทียนที่ฟันใส่ดาบของหัวหน้าโจรนั้น หั่นดาบของมันจนหักกลางได้อย่างง่ายดาย ทั้งสภาวะกระบี่ยังไม่ถดถอย ทิ่มทะลวงเข้าไปกลางอกของหัวหน้าโจรได้ง่ายดาย ดั่งแท้งใบไม้แห้งกรอบ

พริบตาต่อมาพลังสั่นสะเทือนของต้วนหลิงเทียนก็ถ่ายเทไปทั่วร่างของหัวหน้าโจร ป่นกระดูกทั่วร่างของมันเป็นผงในเสี้ยวพริบตา

"อ๊าคคคคคคคค !!" เสียงกรีดร้องโหยหวนแห่งโศกนาฏกรรมของหัวหน้าโจรดังขึ้นลั่นฟ้า  แล้วมันก็ค่อยๆเงียบหายไป  ตอนนี้ร่างของมันกลับกลายคล้ายยาง อ่อนยวบลงไปราวคนไร้กระดูก  ไม่เหลือเศษเสี้ยวพลังชีวิต หรือลมหายใจใดๆสืบไป

ตาย!

"พี่ใหญ่!!" โจรลำดับ 3 และ 4 ที่กำลังรับมือกับเสี่ยวจิน กรีดร้องออกมาด้วยความโศกโศกา เมื่อมันเหลือบไปมองเห็นพี่ใหญ่ของพวกมันทรุดร่างลงไปแน่นิ่งไม่ไหวติง

“พี่น้องทั้งหลาย! รีบฆ่าไอหนูบัดซบนี่ แล้วไปฆ่าไอเด็กบัดซบนั่นกับข้า แก้แค้นให้พี่ใหญ่!!” โจรทั้ง 2 ร้องตะโกนดังลั่น ปลุกเร้าสหายโจรทั้งหลายออกมา  เหล่าโจรเมื่อเมื่อได้ฟังและพบว่าหัวหน้าของพวกมันจากไปแล้ว ก็เคียดแค้นสองตาแดงก่ำปลดปล่อยความดุร้ายอำมหิตออกมา

"ฆ่า!"

"ฆ่า!"

...

กลุ่มโจรนับ 10 จับจ้องมองไปยังเสี่ยวจินด้วยสายตาแดงก่ำ ขอเพียงผ่านหนูบัดซบนี่ไปได้ พวกมันก็จักได้ชำระแค้นแล้ว!

“เสี่ยวจิน...เลิกเล่นสนุกแล้วรีบจัดการพวกมันได้แล้ว  พวกเรายังต้องเดินทางกลับนิกายกระบี่ 7 ดาวอีก...”  ตอนนี้เองน้ำเสียงสงบๆ กล่าวออกด้วยการแฝงพลังงานต้นกำเนิด ดังขึ้นให้เหล่าโจรทั้งหมดได้ยินอย่างชัดเจน

เลิกเล่นสนุก?

หัวใจของเหล่าโจรพลันเต้นผิดจังหวะเมื่อได้ยินเสียงกล่าวคำของต้วนหลิงเทียน..

เล่นสนุก?

ตอนนี้เจ้าหนูสีทองตัวน้อยนี่กำลังละเล่นกับพวกมันอยู่หรือ?

พริบตาต่อมาพวกมันก็พบคำตอบ...

หนูสีทองที่พุ่งตัวไปมาหลบหลีกพวกมันอย่างฉิวเฉียด  อยู่ดีๆ ก็แปรเปลี่ยนไปเป็นลำแสงสีทอง  ทั้งมันยังเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงล้ำยิ่งนัก! และภายในลำแสงสีทองนี้ยังมีคลื่นพลังงานต้นกำเนิดสีขาวราวน้ำนมแผ่ซ่านทะลักออกมา

เหนือขึ้นไปบนฟ้า ปรากฏเงาร่างช้างแมมมอธโบราณ 2,800 ตัว!

“ระดับแรกสัมผัสธรรมชาติขั้นที่ 2!!” โจรลำดับที่ 3 แผดเสียงออกมาด้วยความตื่นตระหนก เมื่อเห็นภาพสยดสยองบนฟ้าเบื้องหน้า  อนิจจาการแผดเสียงครานี้กลับเป็นการแผดเสียงครั้งสุดท้ายของมัน  ลำแสงสีทองอันรวดเร็วนั้น ได้พุ่งร่างพร้อมกระบี่วิญญาณสีขาวทะลวงกลางอกของมันเป็นรู่โหว่...

ฉัวะ!

เพียงไม่กี่ลมหายใจเท่านั้น ลำแสงสีทองเจือไปด้วยสีขาวจากแสงกระบี่วิญญาณ  ก็พุ่งทะลวงกลางอกเหล่าโจร นำพาพวกมันจมสู่ความตายอย่างไม่มีข้อยกเว้น

เพียงพริบตาเท่านั้นเสียงกรีดร้องต่างๆนาๆ ล้วนเงียบงัน ทั่วบริเวณเริ่มหวนคืนสู่ความสงบสุข คงมีเพียงแค่กลิ่นคาวเลือดเท่านั้น ที่ยังคละคลุ้งในอากาศ

"ฮิฮิ... พี่ใหญ่หลิงเทียนข้าจัดการพวกมันหมดแล้ว" หนูขนทองตัวน้อยในมือถือกระบี่วิญญาณสีขาวพุ่งร่างมานั่งบนไหล่ของต้วนหลิงเทียน พร้อมส่งเสียงออกมาด้วยน้ำเสียงราวกับจะอวดผลงาน

"เจ้าช้าเกินไป...ข้านึกว่าเจ้าจะลงมือจัดการพวกมันเสร็จก่อนข้าเสียอีก" ต้วนหลิงเทียนมองไปยังเจ้าหนูตัวน้อยด้วยรอยยิ้ม

“ฮึ่มๆ! เมื่อครู่ ข้าแค่กำลังเล่นอยู่เท่านั้นแหล่ะ!!” เจ้าหนูน้อยส่งเสียงกลับมาราวกับไม่ยอมรับความพ่ายแพ้

“ช่วยไม่ได้ ข้าไม่ได้ขอให้เจ้าไปเล่นกับพวกมันสักหน่อยนี่นา...” ต้วนหลิงเทียนกลอกตามองเจ้าหนูน้อยก่อนจะเผยท่าทางช่วยไม่ได้ออกมา  แล้วก็กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “เอาล่ะ เจ้ารีบขยายร่างเร็วเข้า พวกเราต้องรีบกลับไปยังอาณาจักรพนาครามกันแล้ว”

ถึงแม้ว่าเจ้าหนูตัวน้อยจะไม่ค่อยพอใจกับการขยายร่างสักเท่าไร เพราะมันดูอ้วน! แต่สุดท้ายมันก็ขยายขนาดจนราวกับเป็นเนินเขาหย่อมๆ และพาต้วนหลิงเทียนเหินทะยานสู่ฟ้า พุ่งลงใต้ไปด้วยความเร็วสูง

“เสี่ยวจินข้าว่าจะใช้เวลาระหว่างเดินทางบ่มเพาะพลัง...เจ้าบินกลับเองถูกหรือไม่?” ต้วนหลิงเทียนกล่าวถามเจ้าหนูน้อยที่ ขยายตัวจนใหญ่โตออกมาด้วยความสงสัย

"ย่อมถูกแน่นอน!" เสียงที่ส่งมาของเจ้าหนูน้อยครานี้เต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ!

“เอาล่ะ ฝากด้วย” ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับ ก่อนที่จะนั่งขัดสมาธิหลังตรงบนหลังของเจ้าเสี่ยวจิน และเริ่มดำดิ่งสู่ภวังค์ในการบ่มเพาะสั่งสมพลัง

วิชา 9 มังกรจักรพรรดิสงคราม รูปแบบมังกรปีกวายุ!

ตอนนี้เหลือเวลาอีกเพียงแค่ครึ่งเดือนเท่านั้น นัดหมายประลองกับนายน้อยกู่ฉินก็จะมาถึง!

กระชั้นชิดเข้ามาแล้ว!

ต้วนหลิงเทียนเองก็หวังว่าจะสามารถตัดผ่านไปยังระดับวิญญาณแรกก่อตั้งขั้นที่ 7 ได้ภายในระยะเวลาครึ่งเดือนนี้...

แต่ระดับวิญญาณแรกก่อตั้งขั้นที่ 6 กับขั้นที่ 7 นั้น  เป็นช่วงแบ่งที่นับว่ายากเกินไป สำหรับต้วนหลิงเทียนผู้ที่พึ่งจะตัดผ่านไปยังระดับวิญญาณแรกก่อตั้งขั้นที่ 6 เมื่อ 3 เดือนที่แล้ว จะตัดผ่านจุดรอคอยบรรลุสู่ระดับวิญญาณแรกก่อตั้งขั้นที่ 7 ได้ภายในเวลาครึ่งเดือนนี้...

ถึงแม้ว่าต้วนหลิงเทียนเองก็จะรู้ผลลัพธ์นี้ดีแก่ใจ แต่เขาก็ยังคงพยายามบ่มเพาะพลัง!

ไม่ว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นอย่างไร เขาก็จะยินยอมรับมันทั้งหมด

ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่คิดเสียใจอะไร

ต้วนหลิงเทียนหลับตาเข้าฌานอยู่ได้ 8 วันก็ลืมตาขึ้นมา ก่อนที่จะกล่าวถามด้วยความสงสัย “เสี่ยวจิน ตอนนี้พวกเราอยู่ไหนกันแล้ว?”

“พี่...พี่ใหญ่หลิงเทียน ในที่สุดท่านก็ตื่นขึ้นมา...ข้า...ข้าคิดว่าข้าหลงทางแล้ว...” น้ำเสียงที่ส่งผ่านพลังงานต้นกำเนิดมาครานี้ของเจ้าหนูน้อย แฝงไว้ด้วยความละอายอยู่หลายส่วน

"อะไร?!...เจ้า! " ต้วนหลิงเทียนแทบพูดไม่ออก "ไม่ใช่ว่าเจ้าตอบรับอย่างมั่นใจหรือ ว่ากลับถูก!?"

ต้วนหลิงเทียนรู้สึกจนปัญญากับความสามารถในการจำแนกทิศทางของเจ้าหนูตัวน้อยนี่จริงๆ ไม่น่าเชื่อมันเลย!

“เอาล่ะช่างเถอะ...เจ้ารีบไปหาเมืองที่ใกล้ที่สุดเร็วเข้า ข้าจะได้ไปถามทาง” ต้วนหลิงเทียนกล่าวคำออกมาทันที

ในที่สุดหลังจากผ่านไปอีกครึ่งวัน หนึ่งคนหนึ่งหนูก็บินอยู่เหนือเมืองๆหนึ่ง

หลังจากที่ร่อนลงจากฟ้า ต้วนหลิงเทียนก็นำเสี่ยวจินที่ย่อขนาดตัวลงแล้วเข้าเมืองไปถามทางผู้คน จนในที่สุดเขาก็ได้รู้ตำแหน่งปัจจุบันของตัวเอง...ตอนนี้เขาอยู่ในเมืองที่ค่อนไปทางพื้นที่ตะวันออกเฉียงเหนือของอาณาจักรพนาคราม...

การเดินทางกลับครานี้ต้วนหลิงเทียนไม่กล้าที่จะบ่มเพาะพลังอีกต่อไป

เพราะถ้าเจ้าหนูน้อยตัวแสบนี่หลงทางอีกล่ะก็ เขากลับไปไม่ทันเวลาแน่!

“อีกแค่ 7 วันก็จะครบกำหนดนัดหมาย 2 ปีแล้ว” ต้วนหลิงเทียนที่อยู่บนหลังเจ้าเสี่ยวจิน คอยกำชับทิศทางแก่มันเป็นระยะๆ  ในขณะที่มองหนทางเบื้องหน้าประกายตาเขาก็เรืองขึ้นมาวูบหนึ่ง

“น่าเสียดาย...เป็นเรื่องยากที่ระดับบ่มเพาะของข้าจะตัดผ่านไปยังระดับวิญญาณแรกก่อตั้งขั้นที่ 7 ได้ในเวลาสั้นๆ” ต้วนหลิงเทียนระบายลมหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้

สุดท้ายภายใต้การกำชับทิศทางเป็นระยะๆ เจ้าหนูน้อยที่นำพาต้วนหลิงเทียนเหินบินด้วยความเร็วเต็มพิกัด ก็กลับมาถึงนิกายกระบี่ 7 ดาวได้ในวันที่ 6 ....

“นิกายกระบี่ 7 ดาว ข้ากลับมาแล้ว!!” ใบหน้าต้วนหลิงเทียนเผยรอยยิ้มบางๆออกมา จับจ้องมองไปยังขุนเขากระบี่ทั้ง 7 เบื้องหน้า

“เสี่ยวจิน พวกเราไปหอเหยากวงกันก่อนเถอะ!”หลังจากที่จากนิกายกระบี่ 7 ดาวไปกว่าปี ต้วนหลิงเทียนก็อยากจะกลับมาไม่น้อย แน่นอนว่าสิ่งที่ทำให้เขาหวนคำนึงทุกเมื่อเชื่อวันย่อมเป็น เค่อเอ๋อ และ ลี่เฟย

คู่หมั้นทั้ง 2 คนนี้ของเขา ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของเขามาเนิ่นนานแล้ว ให้แยกจากพวกนางนานๆเขาเองก็ว้าวุ่นใจไม่น้อย...

แต่ทว่าเมื่อต้วนหลิงเทียนและเสี่ยวจินมาถึงหอเหยากวง ทั้งคู่ก็พบว่าหอเหยากวงนั้นว่างเปล่าไร้ซึ่งผู้คน

กระทั่งศาลาด้านบนหอ ยังเต็มไปด้วยไรฝุ่น ราวกับร้างผู้คนมานาน

“หรือเคอเอ๋อกับปรมาจารย์ฉินเซียงจะออกเดินทางไกลอีกแล้ว?” ต้วนหลิงเทียนครุ่นคิดในใจ

ต้วนหลิงเทียนก็ออกจากหอเหยากวง ก่อนที่จะตั้งใจเดินทางไปยังขุนเขาเหยากวง เพื่อหาลี่เฟย

แต่ในขณะที่เขาเดินผ่านหอไท่หยางนั้นเอง

“น้องต้วน!!”น้ำเสียงที่คุ้นหูต้วนหลิงเทียนดังขึ้น และเมื่อเขาหันไปมองต้นเสียงก็พบร่างที่คุ้นตา

“พี่ซง!”ต้วนหลิงเทียนยิ้มบางๆขณะที่กล่าวทักทายชายหนุ่มเบื้องหน้า  ชายหนุ่มคนนี้ไม่ใช่ใครที่ไหนมันคือ เจิ้งซง บุตรชายของเจิ้งฝาน ปรมาจารย์ขุนเขาไท่หยาง เป็นสหายอันดีของต้วนหลิงเทียนในนิกายกระบี่ 7 ดาว

“หืม? พี่ซง ขอแสดงความยินดีด้วย!” พลังวิญญาณของต้วนหลิงเทียนแผ่ซ่านออกไปยังร่างของเจิ้งซง และสัมผัสได้ว่าตอนนี้เจิ้งซงได้ตัดผ่านไปยังระดับวิญญาณแรกก่อตั้งขั้นที่ 5 ได้สำเร็จแล้ว!

“ไม่แปลกใจเลยว่าเพราะเหตุใดศิษย์น้องโม่อี้ถึงบอกว่า ดวงตาเจ้าดังไฟส่องทาง  ช่างเห็นทุกอย่างกระจ่างนัก!... เจ้าเพียงกลับมาได้ไม่ทันไร ยังระบุได้ว่าข้าตัดผ่านระดับแล้ว ...จักว่าไปแล้ว ทั้งหมดนี่ ล้วนต้องขอบคุณโอสถแรกกำเนิดลี้ลับที่เจ้าให้ข้าในวันนั้น  หาไม่แล้วคงยากนักที่ข้าจะตัดผ่านไปได้”เมื่อเจิ้งซงกล่าวจบ ตัวมันก็บังเกิดความรู้สึกซาบซึ้งตื้นตัน ทั้งยังสำนึกบุญคุณนัก

โอสถแรกกำเนิดลี้ลับเป็นของรางวัลพิเศษที่ต้วนหลิงเทียนได้รับจากรางวัลผู้ชนะเลิศในการประลองแข่งขันของ 5 นิกายใหญ่

เนื่องจากโอสถนี้มันไม่ได้มีประโยชน์อะไรกับ เขา เค่อเอ๋อ และลี่เฟย ดังนั้นต้วนหลิงเทียนจึงมอบให้เจิ้งซงเป็นของขวัญ

ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวพร้อมรอยยิ้ม ก่อนที่จะกล่าวถามออกมา “จริงสี่ พี่ซง ข้าไปที่หอเหยากวงมา แต่ดูเหมือนจะไม่มีใครอยู่เลย...ปรมาจารย์ฉินเซียงออกไปข้างนอกอีกแล้วหรือ?”

คิ้วเจิ้งซงขมวดขึ้นมาเล็กน้อย “ข้าเองก็ไม่แน่ใจในเรื่องนี้เท่าไหร่นัก  แต่ดูเหมือนจะมีคนมาหาปรมาจารย์ฉินเซียง หลังจากนั้นปรมาจารย์ฉินเซียงก็ได้นำศิษย์ส่วนตัวของนาง กับศิษย์ส่วนตัวของอาวุโสไป่จากไปพร้อมกับนางด้วย...ท่านพ่อน่าจะรู้เรื่องราวกระจ่างกว่าข้า เจ้าลองไปถามท่านดูสิ”

ศิษย์ส่วนตัวของอาวุโสไป่

เป็นลี่เฟยใช่หรือไม่?

คิ้วของต้วนหลิงเทียนขมวดขึ้นเล็กน้อยในขณะที่ครุ่นคิด

และด้วยการนำของเจิ้งซง ไม่นานต้วนหลิงเทียนก็ได้พบกับเจิ้งฝาน บนศาลา 8 เหลี่ยมยอดหอไท่หยาง “ปรมาจารย์เจิ้งฝาน  ท่านสบาย”

“อา...ต้วนหลิงเทียน ในที่สุดเจ้าก็กลับมาได้เสียที...” เมื่อเจิ้งฝานเห็นต้วนหลิงเทียนสิ่งแรกที่มันกระทำก็คือการระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก ในแววตายังเต็มไปด้วยความโล่งใจคล้ายคลายกังวล

“ปรมาจารย์เจิ้งฝาน...ท่าน?” ต้วนหลิงเทียนอึ้งเล็กน้อยกับท่าทีของเจิ้งฝาน

“น้องต้วนเรื่องนี้เจ้าน่าจะยังไม่รู้ ...แต่เมื่อ 9 เดือนที่แล้ว บิดาข้าได้รับคำสั่งจากท่านประมุขเป็นการลับ ให้มุ่งหน้าไปยังเมืองโบราณชั่วนิรันดร์ เพื่อปกป้องเจ้า...แต่เมื่อท่านพ่อไปถึงเมืองโบราณชั่วนิรันดร์ ท่านก็ได้รับข่าวจากผู้อาวุโสทั้ง 2 ว่าเจ้าเดินทางออกจากหอการค้ากู่เหอไปแล้ว...” เจิ้งซงกล่าวออกมา

“หืม?” ต้วนหลิงเทียนรู้สึกประหลาดใจไม่น้อย ในใจบังบังเกิดความรู้สึกอบอุ่นขึ้นมา “ขอบคุณปรมาจารย์เจิ้งฝาน สำหรับความห่วงใยของท่าน”

“เพียงเจ้ากลับมาปลอดภัย ล้วนดีแล้ว...”เจิ้งฝานพยักหน้ารับคำ ก่อนที่จะเริ่มชงชา

“ปรมาจารย์เจิ้งฝาน แล้วท่านปรมาจารย์ฉินเซียงเล่า นางจากไปที่ไหนหรือ?”ต้วนหลิงเทียนกล่าวถามเรื่องที่ตัวสงสัยออกมา

“ปรมาจารย์ฉินเซียง และศิษย์ส่วนตัวของนางเค่อเอ๋อ กับศิษย์ส่วนตัวของอาวุโสไป่ ลี่เฟย ได้ออกเดินทางไปเมื่อ 9 เดือนที่แล้ว...จากที่ประมุขได้กล่าวบอก  ดูเหมือนนางจะไปร่วมฉลองวันครบรอบวันเกิดของพี่หญิงของนาง...”

“หืม? ไปตั้ง 9 เดือนแล้ว แต่ยังไม่กลับมาอีกงั้นหรือ?”ต้วนหลิงเทียนรู้สึกอื้ออึงอยู่บ้าง ไม่คิดเลยว่า ทั้งเค่อเอ๋อแล้วลี่เฟย จะออกเดินทางไปพร้อมกันเช่นนี้

ปรมาจารย์เจิ้งฝานกล่าวตอบออกมา “สถานที่ๆ พวกนางเดินทางไปนั้น จากที่ท่านประมุขกล่าวบอกมา เกรงว่าจะต้องใช้เวลาเดินทางทั้งสิ้นมากกว่า 1 ปี”

ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับ

เขารู้สึกวางใจ หากลี่เฟยกับเค่อเอ๋อไปกับปรมาจารย์ฉินเซียง

หลังจากนั้นต้วนหลิงเทียนก็เริ่มคุยสัพเพเหระกับเจิ้งฝานและเจิ้งซง แน่นอนว่าต้องลิ้มรสชาที่เจิ้งฝานชงด้วยตัวเองอย่างยินดี

“น้องต้วน แล้วนี่เจ้าไปฝึกฝนเคี่ยวกรำถึงที่ใดมากันรึ? ออกเดินทางไปเสียตั้ง 9 เดือน?” เจิ้งซงกล่าวถามด้วยความสงสัย

“ข้าเทียวไปถึงอาณาจักรศิลาทมิฬน่ะ”ต้วนหลิงเทียนยิ้มตอบ

“อะไร! เจ้าไปถึงอาณาจักรศิลาทมิฬเลยหรือ?!” เจิ้งฝานรู้สึกประหลาดใจไม่น้อย “แล้วระดับบ่มเพาะของเจ้าเล่า ตัดผ่านไปถึงขีดขั้นใดแล้ว?”

“ยังอยู่ในระดับวิญญาณแรกก่อตั้งขั้นที่ 6 เท่านั้น” ต้วนหลิงเทียนไม่ได้คิดปิดบังอะไร เลือกที่จะกล่าวระดับบ่มเพาะที่แท้จริงออกมา

ระดับวิญญาณแรกก่อตั้งขั้นที่ 6 ?!

ทันทีที่ต้วนหลิงเทียนกล่าวจบ เจิ้งฝานและเจิ้งซงจับจ้องมาก่อนที่จะเผยสีหน้าเคร่งเครียด ใบหน้ายังลดต่ำลงเล็กน้อย กล่าวสืบต่อออกมาด้วยความกังวล

“ต้วนหลิงเทียนเจ้า...ระดับบ่มเพาะของเจ้ายังต่ำกว่านายน้อยกู่ฉิน สื่อชางใช่หรือไม่? เช่นนี้แล้วนัดหมายประลอง 2 ปีที่จะมาถึงพรุ่งนี้... แน่นอนว่าด้วยนิสัยของมันแล้ว ย่อมต้องมา” เจิ้งฝานรู้สึกเคร่งเครียดเล็กน้อย “หรือเจ้า มิคิดประลองอะไรกับมันในวันพรุ่งนี้”

“จริงๆแล้วต่อให้เจ้าไม่ประลองกับมัน ก็มิมีผู้ใดกล้ากล่าวต่อว่าอันใดเจ้า...นี่เพราะอายุของเจ้ายังนับว่าน้อยกว่ากู่ฉินนั่นมากนัก เจ้าเพียงแค่ต้องอดทนรออีกปีหรือสองปี ด้วยพรสวรรค์ตามธรรมชาติของเจ้า แน่นอนว่ามันย่อมทำอะไรเจ้ามิได้แล้วในยามนั้น...ม” เจิ้งซงกล่าวเสนอออกมา

"ปรมาจารย์เจิงฝาน , พี่ซง  ข้ารู้ว่าพวกท่านทั้ง 2 หวังดีต่อข้า  แต่เรื่องนี้ข้าได้ตัดสินใจแล้ว" ต้วนหลิงเทียนยิ้มออกมาด้วยความซาบซึ้ง ยังรู้สึกอุ่นๆในดวงตาไม่น้อยอีกด้วย

“พวกท่านทั้ง 2 เองก็อยู่ที่นั่นวันนั้น...ในเมื่อนายน้อยกู่ฉินนัดหมายกับข้า 2 ปี แน่นอนว่า เป็นข้าเองที่ยินยอมรับคำท้าด้วยตัวเอง...และเมื่อข้าได้ตกลงให้คำมั่นไว้แล้ว ตัวข้าย่อมไม่คิดจะกลับคำ!”

 

รีวิวผู้อ่าน