px

เรื่อง : War Sovereign Soaring The Heavens
บทที่ 456 : หวนคืนสู่ อาณาจักรนภาล่อง


WSSTH บทที่ 456 : หวนคืนสู่ อาณาจักรนภาล่อง

 

 

บนพื้นร้อนระอุของทะเลทรายอันกว้างใหญ่สุดไพศาล  ปรากฏร่างชายหนุ่ม 2 คนยืนอยู่ใต้แสงตะวันเจิดจ้า ทว่าคนกลับไร้ความสดใสดั่งตะวัน บรรยากาศรอบๆตัวแลดูหดหู่หมองเศร้านัก

ทั้งสองคนเพียงยืนนิ่งๆอย่างเงียบงัน...ไร้คำใดกล่าวออก

หลังจากนั้นไม่นาน..

"อาจารย์..ท่านอาจารย์!!" ชายหนุ่มคนหนึ่งเสมือนสองขาไร้เรี่ยวแรง อยู่ดีๆมันกลับทรุดร่างลงไปคุกเข่าบนพื้นทราย ทั้งน้ำตายังไหลพรากออกมาปานพิรุณร่วง  มันเงยหน้ามองฟ้า หันไปยังทิศทางนิกายกระบี่ 7 ดาวด้วยสายตาอาลัย

ส่วนชายอีกคน หาได้หลั่งน้ำตาไม่...แต่ในใจยามนี้กลับบังเกิดความเจ็บปวดอย่างสุดซึ้ง

และชายอีกคนที่ไม่ร่ำไห้นี้ก็คือต้วนหลิงเทียนนั่นเอง ...เขาเพียงยืนนิ่งๆสูดลมหายใจเข้าลึกๆอย่างเงียบงัน  ตอนนี้อารมณ์ในใจของเขาบังเกิดความสะทกสะท้อนอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน   สุดท้ายเขาก็หันไปมองยังทิศทางนิกายกระบี่ 7 ดาวก่อนที่จะกล่าวคำออกมาเสียงแข็ง “ประมุขหลิ่งหู ไม่ต้องเป็นห่วงอะไร...ตราบใดที่ข้าต้วนหลิงเทียนยังมีชีวิตอยู่ ...ข้าจะทำลายล้างนิกายไตรพนาครามให้ราบคาบ!”

"นอกจากนี้ข้าจะทำทุกอย่างเต็มที่ ...ให้ดีที่สุด เพื่อช่วยโม่อี้สร้างนิกายกระบี 7 ดาวขึ้นมาอีกครั้ง!"

ครู่ต่อมาต้วนหลิงเทียนก็หลับตาลง... ภาพใบหน้าของคนคุ้นเคยเริ่มปรากฏในหัวเขาทีละคนๆ...

คนเหล่านี้ล้วนเป็นคนที่มีความสัมพันธ์อันดีกับเขาที่นิกายกระบี่ 7 ดาว ...ทว่าตอนนี้ทั้งหมดได้ตายจากไปแล้ว

“ข้าต้วนหลิงเทียน ขอสาบานต่อทัณฑ์สวรรค์เก้าเก้า ว่าข้าจะชำระแค้นไอพวกบัดซบนั่นให้หมด!...หากข้าผิดต่อคำสาบาน ขอให้ฟ้าดินพิฆาตร่างข้าจนเหลวแหลก!!” ต้วนหลิงเทียนเงยหน้าขึ้น ก่อนที่จะกัดหัวแม่มือ หลั่งโลหิตออกมา หลังจากกล่าวสาบานจบ หยาดหยดที่หลั่งออกมาหยดหนึ่งนั้น พลันลอยล่องขึ้นฟากฟ้าหายไปอย่างอัศจรรย์

ครืน ครืน ...เปรี๊ยง เปรี๊ยงง!!

...

อัสนีบาตฟาดลั่นบนฟ้า 9 ครา ดังสนั่นจนหูด้านชา ตอบรับคำสาบานของต้วนหลิงเทียน

โม่อี้ที่คุกเข่าอยู่ไม่ได้เขยื้อนขยับไปไหน ...ภายใต้ฟ้ามืดมัวแลบลั่นไปด้วยอัสนี สองตาของมันแดงก่ำราวกับฉาบทับไปด้วยม่านโลหิต

ถึงแม้ว่าหลิ่งหูจิ่นหงจะเป็นอาจารย์สอนสั่งมันเพียงแค่ 1 ปีเท่านั้น...แต่ใน หนึ่งปีที่ผ่านหลิ่งหูจิ่นหงดูแลเอาใจใส่อุปถัมภ์ค้ำจุนมันอย่างดี ในใจของมันย่อมบังเกิดความสำนึกตื้นตันอย่างหาที่สุดไม่ได้

กระทั่งมันยังถึงขั้นมองหลิ่งหูจิ่นหงไม่ต่างไปจากบิดาบังเกิดเกล้าคนหนึ่งแล้ว...

และตอนนี้ บุคคลที่เป็นดั่งบิดาบังเกิดเกล้า กลับต้องมาถูกสังหารตกตายต่อหน้าต่อตา...

ทว่ายามนี้มันก็ยังไม่มีปัญญาทำอะไรศัตรู ไร้สามารถอะไรจะไปล้างแค้นหนี้เลือดให้บิดาของมัน...

"อ๊าาาาค!!" โม่อี้กู่ร้องต่อฟ้า เสียงคำรามเต็มไปด้วยความเคียดแค้นชิงชังอย่างถึงที่สุด ราวกับมันหมายแผดเสียงเขย่าผืนฟ้าอันไร้ขอบเขตนี่ระบายความคับแค้น ...

ปับ...!

ต้วนหลิงเทียนเดินไปหาโม่อี้ก่อนที่จะตบบ่ามันเบาๆ “หักห้ามใจของเจ้าไว้ อย่าได้โศกเศร้าแล้ว พวกเราจะต้องล้างแค้นไอพวกบัดซบนั่นแน่...ไม่ช้าก็เร็ว...ตอนนี้สิ่งที่เจ้าต้องทำก็คือ...ขยันบ่มเพาะให้มากเข้าไว้  ต่อไปนิกายกระบี่ 7 ดาวต้องอาศัยเจ้าฟื้นฟูขึ้นใหม่แล้ว...”

ร่างของโม่อี้สั่นสะท้านไปคราหนึ่ง ก่อนจะกล่าวตอบด้วยเสียงสะอื้น “ขอรับ ศิษย์พี่ต้วนหลิงเทียน..”

"จี๊ดๆ~" เต้าหนูขนทองตัวน้อยบนไหล่ต้วนหลิงเทยนส่งเสียงร้องออกมาสองครั้ง  การเข่นฆ่าบนยอดเขาเทียนชูทำให้มันตื่นตระหนกและหวาดกลัวไม่น้อย

ถึงแม้ว่าความแข็งแกร่งของเจ้าหนูน้อยจะมิใช่ชั่ว แต่เมื่อเทียบกับเหล่าผู้เชี่ยวชาญหยั่งรู้ธรรมชาติแล้ว มันยังนับว่าค่อนข้างห่างชั้นกันนัก..!

"พี่ใหญ่หลิงเทียน แล้วตอนนี้พวกเราจะไปไหนกันต่อหรือ?" เสียงเสี่ยวจินดังขึ้นในหูต้วนหลิงเทียน "คนพวกนั้นชั่วช้านัก กล้าทำให้พวกเราเป็นคนจรจัดเช่นนี้ ... ฮึ่ม! ฮึ่ม! เมื่อข้าแข็งแกร่งกว่าพวกมันเมื่อไหร่ ข้าจะให้พวกมันบ้านแตกสาแหรกขาด เป็นคนไร้ที่ไปบ้าง!"

“ทำให้พวกมันบ้านแตกสาแหรกขาด ไร้บ้านหรือ? นั่นยังสบายไปสำหรับพวกมัน...” ประกายตาต้วนหลิงเทียนเรืองขึ้นมาด้วยเจตนาฆ่าฟัน “ข้าจะให้พวกมันเหลือแต่ขี้เถ้า!”

เหลือแต่ขี้เถ้า!

วาจาของต้วนหลิงเทียนเต็มไปด้วยความชิงชังและเคียดแค้น ในน้ำเสียงยังเต็มไปด้วยจิตสังหารอำมหิต ทำให้โม่อี้และเสี่ยวจินเองก็อดไม่ได้ที่จะหนาวยะเยือกขึ้นมา

“เสี่ยวจิน เจ้าขยายตัวแล้วพาข้ากับโม่อี้ไปจากที่นี่กันก่อนเถิด” ต้วนหลิงเทียนกล่าวบอกเจ้าหนูตัวน้อย

"จี๊ดๆ ~" เสี่ยวจินพยักหน้ารับคำเบาๆ ร่างเล็กลอยไปตรงหน้าต้วนหลิงเทียน ก่อนที่มันจะขยายขนาดใหญ่โตขึ้นมา แลไปคล้ายเนินเขาย่อมๆ

หลังจากที่มันตัดผ่านไปยังระดับแรกสัมผัสธรรมชาติขั้นที่ 3 แล้ว ขนาดตัวของเจ้าเสี่ยวจินก็ใหญ่โตเพิ่มมากขึ้น

แต่ก่อนมันสูงราวๆ 3 เมตรเท่านั้น แต่ตอนนี้ล่อไป 4 เมตรแล้ว!

หลังจากที่เสี่ยวจินตัวใหญ่ขึ้น แผ่นหลังของมันก็แลดูจะมีพื้นที่กว้างขวางมากขึ้นเช่นกัน  นับว่ามีที่ว่างเหลือเฟือให้โม่อี้และต้วนหลิงเทียนนั่งได้สบาย

เมื่อเวลาผ่านไป หยาดน้ำตาโม่อี้ก็เริ่มแห้งเหือด มันยับยั้งความเศร้าโศกเอาไว้ในใจ

มันย่อมรู้ดีแก่ใจว่าตอนนี้สมควรกระทำอย่างที่ศิษย์พี่ต้วนหลิงเทียนของมันกล่าว  มันต้องขยันบ่มเพาะ พยายามให้หนักขึ้น! ยกระดับเพิ่มพูนขีดขั้นความสามารถ เพื่อล้างแค้นให้อาจารย์ ล้างแค้นให้นิกายกระบี่ 7 ดาว!

"อาจารย์ท่านอย่าได้มีห่วงเลย ...ข้ากับศิษย์พี่ต้วนหลิงเทียนจะร่วมกันสร้างนิกายกระบี่ 7 ดาวขึ้นมาอีกครั้ง!" โม่อี้ตั้งเป้าหมายและเอ่ยกล่าวคำมั่นต่อตัวเองขึ้นมา

โม่อี้สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนที่จะมองไปยังหนูสีทองตัวขนาดมหึมา ที่มันนั่งอยู่ และพยายามระงับความตื่นตระหนกเอาไว้

ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม จะแปลกประหลาดมหัศจรรย์เพียงใด หากมันเกิดขึ้นด้วยน้ำมือศิษย์พี่ต้วนหลิงเทียนมันก็ไม่ค่อยตกใจอะไรมากนัก..

นี่เพราะศิษย์พี่ต้วนหลิงเทียนมักทำให้ผู้คนตื่นตระหนกตกใจอยู่แล้ว

"พี่ใหญ่หลิงเทียน แล้วพวกเราจะไปที่ไหนกันดีหรือ?" เสี่ยวจินส่งเสียงกล่าวถามต้วนหลิงเทียนผ่านพลังงานต้นกำเนิด

"เสี่ยวจิน เจ้าพาพวกเราบินลงใต้ไปเรื่อยๆ ...ข้าคิดจะกลับไปยังอาณาจักรนภาล่อง" ต้วนหลิงเทียน มองไปยังสุดขอบฟ้าทางทิศใต้ในขณะที่กล่าวคำ

สำหรับชีวิตใหม่ที่โลกใบนี้แล้ว...อาณาจักรนภาล่องนั้น ก็เปรียบเสมือนรากฐานของเขา...

อีกทั้งคนที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเขายังอยู่ที่นั่น

ซู่มมมม!!

ร่างเสี่ยวจิน หันมองทิศทางก่อนที่จะพุ่งออกไปราวกับสายฟ้าสีทอง มุ่งหน้าลงใต้ในทันใด เมฆหมอกกระจายแยกตัวแหวกออกเป็นทาง แลคล้ายถนนเส้นหนึ่งตัดผ่านกลางฟ้า

ต้วนหลิงเทียนนั่งอยู่บนด้านหลังเสี่ยวจินด้วยสีหน้าสงบ เขามองไปยังทิศทางเบื้องหน้าด้วยสายตาเหม่อลอย ไม่มีใครรู้ว่าในหัวคิดอ่านประการใด

ส่วนโม่อี้นั้นมันนั่งเงียบๆ หลับตาขัดสมาธิเริ่มโคจรพลังงานต้นกำเนิดสั่งสมเพิ่มพูนพลัง และมันก็จมอยู่กับการบ่มเพาะเช่นนี้ไปตลอดทาง

เพราะจะอย่างไรเมื่อนิกายกระบี่ 7 ดาวประสบภัยพิบัติเช่นนี้ ตัวมันที่เป็นศิษย์ส่วนตัวของหลิ่งหูจิ่นหง โม่อี้ย่อมมีภาระรับผิดชอบต่อนิกายไม่ได้น้อยไปกว่าต้วนหลิงเทียน

ในตอนที่ต้วนหลิงเทียนเดินทางออกจากอาณาจักรนภาล่องด้วยอาชาเหงื่อโลหิตตอนนั้น มันใช้ระยะเวลาเดินทางค่อนข้างนานนัก...

แต่ด้วยการอาศัยเจ้าเสี่ยวจินอันเป็นสัตว์อสูรปีศาจแรกสัมผัสธรรมชาติเหินบินไปเช่นนี้  จากความเร็วที่สูงที่สุดเท่าที่จะใช้ได้ ...ทำให้ใช้เวลาเดินทางเพียงไม่กี่วันเท่านั้น ก็เข้าเขตอาณาจักรนภาล่องแล้ว

"ไปทางนั้น!" ต้วนหลิงเทียนชี้ไปยังทิศทางหนึ่งไกลตา  บอกทางให้เสี่ยวจิน

นั่นเป็นตำแหน่งที่ตั้ง ของเมืองหลวงแห่งอาณาจักรนภาล่อง ...

"ท่านแม่ ข้ากำลังกลับบ้านแล้ว..!" ต้วนหลิงเทียนที่น่าเครียดมา 2-3 วัน วันนี้พอได้คลี่ยิ้มออกมา

‘จากไปก็หลายปีแล้ว ป่านนี้ท่านแม่เป็นอย่างไรบ้างก็ไม่รู้...’

ต้วนหลิงเทียนรู้สึกกระตือรือร้นขึ้นมา หมายเดินทางกลับบ้านให้รวดเร็วที่สุด

เพียงใช้เวลาเดินทางอีกวันหนึ่ง ในที่สุดต้วนหลิงเทียนก็บรรลุถึงเมืองหลวง

และเพื่อไม่ให้ผู้คนตื่นตระหนก ต้วนหลิงเทียนบอกให้เสี่ยวจินลงจอดนอกเมืองหลวง แล้วก็เดินเท้าเข้าเมืองไปพร้อมๆกับโม่อี้

ส่วนเจ้าเสี่ยวจินก็หดตัวไปนั่งบนไหล่ต้วนหลิงเทียน มองไปยังเมืองเบื้องหน้าด้วยความสนใจ  ส่งเสี่ยงผ่านพลังงานต้นกำเนิดกล่าวถาม“พี่ใหญ่หลิงเทียน นี่หรือเมืองหลวงของอาณาจักรนภาล่อง?”

"ใช่แล้ว" ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า ส่งเสียงตอบกลับ

“ศิษย์พี่ต้วนหลิงเทียน สถานที่แห่งนี้คือที่ใดหรือขอรับ?” โม่อี้รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เมื่อเห็นเมืองที่ตั้งตรงหน้า

ตลอดระยะเวลา 2-3 วันที่ผ่านมา มันนั่งบ่มเพาะพลังอยู่บนหลังเสี่ยวจินโดยไม่ได้ดูทิศทางอะไรเลย ไม่รู้ว่าเจ้าหนูสีทองตัวนี้พามันมาที่แห่งใดแล้ว

แต่มันก็มั่นใจได้อยู่อย่างหนึ่ง ว่าสถานที่ๆเจ้าหนูสีทองตัวนี้นำมา ต้องเป็นสถานที่ๆ ศิษย์พี่ต้วนหลิงเทียนต้องการมาเป็นแน่...

"ที่นี่น่ะหรือ...อ่า..เรียกได้ว่ามันเป็นบ้านของข้าก็ได้" ต้วนหลิงเทียนยิ้มออกมาเล็กน้อย จะอย่างไรอาณาจักรนภาล่องก็เป็นมาตุภูมิของเขา

"บ้านหรือ?" ม่านตาของโม่อี้หดแคบลง ก่อนที่จะกล่าวออกมาด้วยความประหลาดใจ “ศิษย์พี่ต้วนหลิงเทียน ข้าเคยได้ยินศิษย์บางคนกล่าวว่า ท่านมาจากอาณาจักรอาณาจักรนภาล่อง  ที่อยู่ภายใต้อาณัติของอาณาจักรพนาครามอีกทีหรือขอรับ” ...

"ใช่แล้ว" ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า เขาเดินนำโม่อี้มุ่งหน้าไปยังเมืองหลวงชั้นนอก ในขณะที่เดินยังกล่าวออกมาอีกว่า “ที่แห่งนี้คือมาตุภูมิของข้า อาณาจักรนภาล่อง  และบ้านเกิดของข้าก็อยู่ในเมืองหลวงนี่ล่ะ”

บ้าน

คำว่าบ้านของต้วนหลิงเทียนนี้ ก็คือสถานที่ๆมารดาของเขาอยู่

ความรู้สึกเดียวที่ทำให้เขาคิดถึงบ้าน ก็คือความคิดถึงต่อมารดาเขา

เพียงมีมารดาของเขาพร้อมหน้าพร้อมตาเท่านั้น ...เขาถึงจะเรียกสถานที่แห่งนั้นว่าบ้านได้เต็มปาก...

เพราะในโลกนี้สำหรับตัวเขาแล้ว มารดาเป็นคนที่สำคัญที่สุด...

โม่อี้พยักหน้ารับ ท่าทางแลดูตื่นเต้นไปและกระตือรือร้นไม่น้อย

‘สถานที่แห่งนี้คือบ้านเกิดของศิษย์พี่ต้วนหลิงเทียนเช่นนั้นหรือ...ข้าสงสัยนักว่าสถานที่แห่งนี้มันเป็นเช่นไรกันแน่? ถึงได้สามารให้กำเนิดอัจฉริยะไร้ผู้ต้านอย่างศิษย์พี่ต้วนหลิงเทียนออกมาได้!’ ในใจโม่อี้เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น

นั่นเพราะพรสวรรค์ในเชิงยุทธ์ของต้วนหลิงเทียนเป็นเรื่องพิสดาร และน่าเหลือเชื่อมากเกินไป

กระทั่งแม้ในขณะที่นิกายกระบี่ 7 ดาวกำลังจะถูกทำลาย 3 ประมุขของนิกายใหญ่ ยังไม่ลังเลเลยสักนิดที่จะฆ่าศิษย์ที่มีพรสวรรค์ตามธรรมชาติมิใช่ชั่วทั้ง 2 คน เพื่อประโยชน์ในการได้ตัวต้วนหลิงเทียน

เพียงดูจากเรื่องราวและการกระทำครานี้ ก็บ่งบอกมูลค่าต้วนหลิงเทียนได้อย่างดีแล้ว

ต้วนหลิงเทียนเดินเข้าประตูเมืองหลวงชั้นนอกไปพร้อมใบหน้าเปื้อนยิ้ม... เขาสูดดมอากาศสัมผัสกลิ่นอาย รับบรรยากาศอันแสนคุ้นเคย

จากไปไม่กี่ปี ตัวเมืองก็ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปจากกาลก่อนมากนัก

“ศิษย์พี่ต้วนหลิงเทียน เมืองหลวงของท่าน ยังมีเมืองอยู่ด้านในตัวเมืองอีกทีเช่นนั้นหรือขอรับ?” โม่อี้กล่าวถามด้วยความประหลาดใจ เพราะเมื่อเข้าประตูเมืองหลวงชั้นนอกมา มองไปไกลๆ มันก็เห็นประตูเมืองหลวงชั้นในที่ดูเหมือนจะปิดอยู่อีกที

“ใช่แล้ว...ข้างหน้าเรียกว่าเมืองหลวงชั้นในของอาณาจักรนภาล่อง...ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาที่ประตูเมืองจะเปิด พวกเราไปหาอะไรกินกันที่เหลาอาหารก่อนเถอะ  เมื่อหาอะไรรองท้องเสร็จแล้วน่าจะได้เวลาที่ประตูเมืองเปิดพอดี  ตอนนั้นพวกเราค่อยเข้าไปเมืองหลวงชั้นใน” ต้วนหลิงเทียนนำโม่อี้ไปยังเหลาอาหาร ที่สามารถมองเห็นประตูเมืองชั้นในได้...

ต้วนหลิงเทียนเพียงสั่งอาหารไม่กี่รายการ และอาหารก็ใช้เวลาทำไม่นาน ก็ยกมาจัดวาง

ต้วนหลิงเทียนไม่รอช้าเรียกโม่อี้ให้ลงมือจัดการทันที  โม่อี้ก็หยิบชามกับตะเกียบขึ้นมาจัดการอาหารเบื้องหน้าอย่างไม่เกรงใจ พุ้ยข้าวพร้อมกับคำใหญ่เข้าปากเคี้ยวหงุบหงับ

"จี๊ด ~" เจ้าหนูขนทองก็ไม่มีเกรงใจผู้ใด มันพุ่งไปคว้าเนื้อชิ้นใหญ่มาก่อนใครเพื่อน ก่อนที่จะจัดการจนหมดในเวลาอันรวดเร็ว!

ในขณะที่กินข้าวต้วนหลิงเทียนก็เงี่ยหูฟังบทสนทนาของลุกค้ารอบๆข้าง เพื่อติดตามสถานการณ์เรื่องราวในเมืองเช่นกัน

“ข้าได้ยินมาว่า ที่คณะทูตของอาณาจักรตะวันฉายมาคราวนี้ พวกมันหาได้มีเจตนาดีไม่...แลผิวเผินแล้วมิต่างอันใดกับการเยี่ยมเยือน ประสาอาณาจักรพันธมิตร  ...แต่อันที่จริงแล้วพวกมันคิดข่มเหงอาณาจักรนภาล่องของเรา”

“ข้าเองก็ได้ยินมาเช่นนั้น ว่าคราวนี้คณะทูตของอาณาจักรตะวันฉาย มันนำพาอัจฉริยะรุ่นเยาว์อันโดดเด่นมาด้วยถึง 3 คน...หากข่าวมิผิด คนที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่พวกมันนั้น ตัดผ่านไปยังระดับวิญญาณแรกก่อตั้งขั้นที่ 1 ได้แล้ว!”

“ส่วนอาณาจักรนภาล่องเรา อัจฉริยะในรุ่นนี้เห็นทีจะเป็น ท่านเจ้าพระยาน้อย ของจวนเจ้าพระยาเรืองฤทธิ์นี่เฝิน...แต่จะอย่างไรระดับบ่มเพาะของเจ้าพระยาน้อยยังเป็นแค่ระดับกำเนิดแก่นแท้ขั้นที่ 9 เท่านั้น...ข้าเกรงว่าจักสู้อัจฉริยะอันโดดเด่นของทางอาณาจักรตะวันฉายนั่นมิได้...”

“ฮึ่ม! เห็นว่าอายุของคนอาณาจักรตะวันฉายนั่นมากกว่าเจ้าพระยาน้อยตั้งหลายปี...ถึงแม้มันจะเอาชนะเจ้าพระยาน้อยได้ ยังจะมีอันใดน่ายินดี? เพียงพึ่งพาระยะเวลาบ่มเพาะเท่านั้น หาได้วัดกันที่ความสามารถไม่!!”

“เฮ่อ...น่าเสียดายยิ่ง ที่นอกจากท่านเจ้าพระยาน้อยแล้ว รุ่นเยาว์ของอาณาจักรนภาล่องเรา มิมีผู้ใดสามารถเป็นตัวแทนอาณาจักรได้สักคน..”

“ผู้ใดว่ามิมี เจ้าอย่าได้ลืม เซี่ยวหยู กับเซี่ยวฉินแห่งตระกูลเซี่ยวของเมืองหลวงเรา นอกจากนี้คนของตระกูลซูเองก็มิใช่ชั่ว... แต่น่าเสียดายยิ่ง ที่ต่างอายุน้อยเกินกว่าอีกฝ่ายมากนัก ความแข็งแกร่งของพวกมันยังมิพอ เอาชัยเหนืออัจฉริยะของอาณาจักรตะวันฉาย...”

...

ลูกค้า 2-3 คนที่นั่งโต๊ะไม่ไกลจากต้วนหลิงเทียน กล่าวสนทนากันอย่างมีอารมณ์

อาณาจักรตะวันฉายหรือ?

คิ้วของต้วนหลิงเทียนโค้งขึ้นเล็กน้อยเมื่อได้ยินบทสนทนาของอีกโต๊ะ..

 

รีวิวผู้อ่าน