
1083 วันที่แล้ว
555

1083 วันที่แล้ว
555

1083 วันที่แล้ว
555

1083 วันที่แล้ว
555

1083 วันที่แล้ว
555

1083 วันที่แล้ว
555

1083 วันที่แล้ว
555

1083 วันที่แล้ว
555

1083 วันที่แล้ว
555

1083 วันที่แล้ว
555
ตอนที่ 2 พูดทีทำให้ตื่นตกใจไปทั่ว
ไม่มีใครคาดคิดว่าจะมีฝนตกหนักในวันที่มีแดดจ้าเช่นนี้ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ทันได้เตรียมตัวมา
จากลานคัดเลือกขนาดใหญ่ได้มีสภาพน้ำนองเละเป็นหม้อโจ๊กในทันที บรรดาบัณฑิตที่เพิ่งจับกลุ่มพูดจาเยาะเย้ยถากถางเขา รวมถึงบรรดาพวกบุตรหลานตระกูลขุนนางต่างยกแขนเสื้อขึ้นคลุมหัวแล้ววิ่งไปหลบฝนอยู่ใต้ศาลาอย่างจ้าละหวั่นโดยไม่ห่วงภาพลักษณ์ของตนเองอีกต่อไป
พอฝนตกกะทันหันเช่นนี้ ประกอบกับที่พวกเขาไม่ได้เตรียมร่มมา เพียงพริบตาเดียวพวกเขาก็เปียกปอนเหมือนลูกนกตกน้ำ ทุกคนเบียดเสียดกันเต็มศาลา บ้างก็เช็ดหน้า บ้างก็บิดแขนเสื้อด้วยความอับอาย
ณ ลานโล่งกว้าง มีเพียงซูเจ๋อกับสาวใช้เพียงสองคนที่ยืนถือร่มอยู่นิ่งๆ โดยไม่ได้รับผลกระทบใดๆมากนัก
ซูเจ๋อที่อยู่ใต้ร่มยื่นมือออกไปสัมผัสหยาดฝน พลางพูดอย่างอารมณ์ดีว่า “น่าเสียดายที่บริเวณนี้ถูกล้อมไว้หมด ไม่เช่นนั้นคงจะเพลิดเพลินกับวิวทิวทัศน์ของแม่น้ำฮั่นสุ่ยท่ามกลางสายฝนมากกว่านี้เป็นแน่”
ซูเซี๋ยวเสี่ยวที่ยืนอยู่ข้างเขาเดิมทีนางดูตกใจอยู่ไม่น้อย ปากเล็กๆ จิ้มลิ้มของนางอ้ากว้างขึ้นด้วยความตกใจ แววตาของนางที่ในตอนแรกดูตะลึงขณะมองไปยังคุณชายของตนที่กำลังมีท่าทีสบายๆ ในไม่ช้าก็เปลี่ยนเป็นแววตาที่นับถือเขายิ่งกว่าสิ่งใด
หลังหยุดมองอยู่ครู่ใหญ่ ซูเซี๋ยวเสี่ยวก็ได้สติกลับมา นางจึงถามเขาด้วยความแปลกใจว่า “คุณชาย ท่านต้องเป็นเทพเซียนแน่ๆ ท่านรู้ได้เยี่ยงไรว่าฝนจะตกในยามนี้?”
“ถ้าข้าบอกเจ้าว่าข้าเดา เจ้าจะเชื่อหรือไม่?” ซูเจ๋อมองนางกลับ แววตาสดใสกับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์แวบเข้ามา
“เดารึ? ว่าแต่เหตุใดท่านจึงเดาได้แม่นยำยิ่งนัก มันช่าง...” ซูเซี๋ยวเสี่ยวประหลาดใจมากจนนางมิรู้จะบรรยายความตกตะลึงของตนเองออกมาได้อย่างไรถึงจะหมด
ซูเจ๋อเงยหน้าขึ้นไปมองท้องฟ้าเล็กน้อย ราวกับว่าเขาสามารถมองเห็นดาวเทียมซูเปอร์ควอนตัมที่กำลังโคจรรอบโลกได้อย่างชัดเจน
เดิมทีซูเจ๋อในชาติที่แล้วทำงานเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านอุตุนิยมวิทยา ได้รับคำสั่งให้ไปช่วยกองทัพออกปฏิบัติภารกิจลับโดยการขึ้นไปบนอวกาศเพื่อติดตั้งดาวเทียมอุตุนิยมวิทยาซูเปอร์ควอนตัมที่ทันสมัยที่สุดในโลก
ในความเป็นจริงดาวเทียมดวงนั้นเป็นอาวุธเพื่อดัดแปลงสภาพอากาศขั้นสูง ใช้สร้างภัยพิบัติทางอากาศในรูปแบบต่างๆ เช่น ลมพายุ ฝน ฟ้าร้อง ฟ้าผ่า ด้วยการปล่อยคลื่นควอนตัมเข้าไปปกคลุมบนพื้นที่เป้าหมาย
การพยากรณ์การเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ เป็นเพียงฟังก์ชั่นระดับต่ำสุดของดาวเทียมดวงนี้เท่านั้น
การติดตั้งดาวเทียมกำลังจะเสร็จสมบูรณ์ ทว่ากลับเกิดการระเบิดครั้งใหญ่ขึ้นมาอย่างไม่คาดฝัน เมื่อซูเจ๋อตื่นขึ้น เขาก็ต้องประหลาดใจเมื่อพบว่าวิญญาณของตนทะลุมิติย้อนเวลามาพันกว่าปี มาสู่ยุคสามก๊กในช่วงปลายราชวงศ์ฮั่น อีกทั้งยังมาติดแหง็กอยู่ในร่างของชายหนุ่มตกยากผู้นี้
แต่หลังจากนั้นไม่นาน ซูเจ๋อก็ค้นพบว่าตนสามารถเชื่อมต่อกับดาวเทียมซูเปอร์ควอนตัมดวงนั้นได้อย่างน่าอัศจรรย์ และเขาสามารถควบคุมมันได้ในระดับหนึ่งด้วยคลื่นสมองของเขาเอง
ด้วยเหตุผลบางอย่าง เขาเพิ่งจะปลดล็อกฟังก์ชั่นการทำงานระดับต่ำสุดของดาวเทียมไป ทำให้เขาสามารถรับข้อมูลพยากรณ์อากาศขั้นพื้นฐานและข้อมูลอื่นๆ ได้เพียงบางส่วนเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้จะเป็นเพียงการพยากรณ์อากาศระดับต่ำสุด แต่ก็มีอัตราความแม่นยำสูง อยู่ที่ 99 % ซึ่งเพียงพอที่ซูเจ๋อจะทำให้คนเหล่านี้รู้สึกตกตะลึงได้แล้ว
ในศาลาหวางเจียง เกิดเสียงโต้แย้งกันถึงเรื่องประหลาดที่ซูเจ๋อสามารถทำนายฝนได้ จากคำครหาเยาะเย้ยในตอนแรกได้เปลี่ยนไปอย่างไม่น่าเชื่อ
“ทันทีที่ซูเจ๋อกางร่มขึ้น ฝนก็เริ่มตกลงมาทันที เขาจะทำนายแม่นยำเกินไปแล้ว!”
“เป็นไปได้หรือไม่ที่เขาจะคำนวณมาแล้วว่าวันนี้ฝนจะตก?”
“น่าทึ่งมาก แม้ว่าเขาจะรู้เรื่องสภาพดินฟ้าอากาศ ก็มิมีทางที่เขาจะคำนวณได้แม่นยำเยี่ยงนี่มิใช่หรือ?”
“ใครจะไปรู้ เขาคือมังกรหลับที่สุ่ยจิ้งเซียนเชิงเคยยกย่องไว้ บางทีเขาอาจจะเก่งจริงๆ ก็ได้”
จู่ๆ เสียงสนทนาถกเถียงกันได้เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง
เมื่อได้ยินทุกคนชื่นชมซูเจ๋อ สีหน้าของหวงเซ่อก็เต็มไปด้วยความเกลียดชัง เขาเช็ดน้ำบนใบหน้าออกอย่างแรง แล้วกล่าวด้วยสีหน้าเย็นชา “ทำนายอะไรกัน ข้าคิดว่าเขาก็แค่โชคดี พวกเจ้าจะตกอกตกใจด้วยเหตุใด”
“จริงด้วย จริงด้วย ทำนงทำนายฟ้าฝนอะไรกัน มีแต่ผู้ที่เกิดมาพร้อมกับพรสวรรค์แห่งโชคชะตาเท่านั้นถึงจะทำได้ เขาจะทำได้อย่างไร” ซุยเป๋งรีบเสริมทันที
อีกด้านหนึ่งของศาลา หญิงสาวแสนงดงามทั้งสองคนต่างรู้สึกประหลาดใจเช่นกัน
“กลับกลายเป็นว่า...มีฝนตกลงมาจริงๆ ด้วย คนเขลาผู้นั้นเดาถูก เขาคงบังเอิญเดาถูกใช่หรือไม่ มิเช่นนั้นมันคงน่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว !”
ใบหน้าที่งดงามของหญิงสาวในชุดสีม่วงเต็มไปด้วยความประหลาดใจ สายตาที่เคยดูถูกเหยียดหยาดซูเจ๋อนั้นพลันมลายหายไปราวกับฝนที่ตกลงมาช่วยพัดพาไปให้
สีหน้าผิดหวังบนใบหน้าของหญิงสาวในชุดสีเหลืองก็ได้หายไปเช่นกัน ทั้งยังถูกแทนที่ด้วยความตกใจ นางบ่นพึมพำว่า “ที่แท้เมื่อครู่เป็นข้าที่เข้าใจเขาผิด เขายังคงเป็นบัณฑิตอัจฉริยะอันดับหนึ่งของจิงเซียงอย่างที่ท่านสุ่ยจิ้งเซียนเชิงกล่าวไว้เช่นเดิม มิฉะนั้น เขาจะรู้เรื่องดวงดาวและการทำนายลมฝนได้อย่างไร?”
ขณะที่สองฝั่งของศาลาเต็มไปด้วยเสียงสนทนาเซ็งแซ่ ตรงกลางศาลาได้มีขุนนางอาวุโสและกลุ่มชนชั้นสูงของเมืองจิงเซียงที่ต่างก็ชี้ไม้ชี้มือไปที่ซูเจ๋อเช่นกัน
“ชายหนุ่มผู้นั้นคือผู้ใดกัน เหตุใดตอนนี้ถึงอยู่เพียงผู้เดียว มิมีผู้ใดคบค้าสมาคมด้วย?” เล่าเปียวซึ่งนั่งอยู่บนแท่นสูงตรงกลางถามขึ้น ดวงตาฉายแววอยากรู้อยากเห็นเล็กน้อย พลางถามซือหม่าฮุยที่นั่งอยู่ข้างเขา
ดวงตาของซือหม่าฮุยเป็นประกาย เขายิ้มและกล่าวว่า “ใต้เท้าโจวมู่1 คงยังมิทราบ ชายหนุ่มผู้นี้ก็คือบัณฑิตอัจฉริยะอันดับหนึ่งของจิงเซียง ที่สุ่ยจิ้งเซียนเชิงเคยกล่าวถึง ซูเจ๋อ ซูจื่อหมิง”
ดวงตาของเล่าเปียวเป็นประกาย ขณะเดียวกันได้ปรากฏแววประหลาดใจที่ได้พบเจอกับบัณฑิตอัจฉริยะเยี่ยงนี้
เขายังมิทันจะได้พูดอะไร คนด้านข้างก็พูดขึ้นว่า “อัจฉริยะอันดับหนึ่งของจิงเซียง ชื่อเสียงโด่งดังเยี่ยงนี้ อาจารย์เต๋อเชา2 เหตุใดข้าจึงไม่เคยได้ยินว่าจิงโจวเรามีคนเก่งเยี่ยงนี้เลย?”
เมื่อได้ยินสิ่งที่ไช่เม่า3 พูด ความตื่นเต้นในดวงตาของเล่าเปียวก็พลันหายไป
ซือหม่าฮุยอธิบายต่ออย่างอดทน “เมื่อสองสามปีก่อนซูจื่อหมิงผู้นี้ศึกษาอยู่ที่สำนักลู่เหมินของข้า ถือได้ว่ามีชื่อเสียงมาก แต่น่าเสียดายครั้งนั้นเขาโชคร้ายพลาดท่าตกน้ำ เพิ่งฟื้นจากการหลับใหลมาอย่างยาวนาน หลายปีที่ผ่านมาเขาเงียบหายไร้ข่าวคราวไป ทำให้ผู้คนค่อยๆ ลืมเลือนชื่อของเขา นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ท่านแม่ทัพไช่จดจำมิได้”
“ที่แท้เป็นเยี่ยงนี้เอง” เล่าเปียวพยักหน้า แต่สายตาเขายังหันไปจ้องไช่เม่า “เต๋อกุย* มิทราบว่าคุณชายซูจื่อหมิง อัจฉริยะแห่งจิงเซียงผู้นี้ เป็นบุตรชายจากตระกูลใด” (เต๋อกุย คือชื่อรองของ ไช่เม่า)
ไช่เม่ายิ้มเยาะที่มุมปากและกล่าวว่า “เรียนใต้เท้าโจวมู่ ขออภัย ยกโทษให้ข้าที่โง่เขลา ข้าจำมิได้ว่ายังมีตระกูลซูอยู่ในจิงเซียง”
หลังจากฟังสิ่งที่ไช่เม่าพูดจบ ความอยากรู้อยากเห็นในแววตาของเล่าเปียวก็พลันหายไปอีกครั้ง
แม้ว่าตระกูลก่วย ตระกูลไช่ ตระกูลผังและตระกูลหวง ตระกูลใหญ่ทั้งสี่จะมีชื่อเสียงเจริญรุ่งเรือง เป็นอันดับหนึ่งของจิงเซียง รองลงมาคือ ตระกูลสี่ ตระกูลหม่า ตระกูลเฝิง ตระกูลหยาง ตระกูลเติ้ง และตระกูลที่ด้อยกว่าคือตระกูลเวิ่น ตระกูลพาน ตระกูลเซี่ยงและตระกูลอื่นๆ
แม้ไช่เม่าจะอ้างว่ามิได้สนใจ หากก็ยังรู้จักเสียเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นอัจฉริยะผู้นี้คงเป็นผู้ที่มาจากครอบครัวยากจนเป็นแน่แท้
ซือหม่าฮุยสังเกตเห็นเล่าเปียวมีสีหน้าเปลี่ยนไป จึงรีบพูดขึ้นว่า “แม้ซูเจ๋อจะมาจากครอบครัวยากจน แต่เขามีความสามารถ เป็นอัจฉริยะ ตอนนี้ใต้เท้าโจวมู่กำลังหาคนมาทำงาน หากได้คนมีความสามารถอย่างซูเจ๋อผู้นี้มาทำงานภายใต้การบังคับบัญชาของท่านได้ เขาจะสามารถแบ่งเบาภาระหนักของใต้เท้าโจวมู่ได้อย่างแน่แท้”
แม้ว่าซือหม่าฮุยจะแนะนำเขาอย่างสุภาพ แต่เล่าเปียวก็มิได้สนใจสิ่งใดมากนัก เจ้าตัวจึงพูดด้วยน้ำเสียงเฉยเมยว่า “การรับคนข้ามาเป็นขุนนางอย่างเป็นทางการนั้นต้องยึดหลักคุณธรรมเสมอมา หากซูเจ๋อผู้นี้มีความสามารถจริง เจ้าหน้าที่จะเป็นผู้พิจารณาคัดเลือกนำเขามาใช้งานเอง และไม่ว่าเขาจะมีความสามารถหรือไม่นั้น ก็ต้องให้พวกเราทุกคนเป็นผู้ตัดสิน เรื่องนี้ ตัดสินมิได้ยากอันใด”
เมื่อพูดมาถึงตอนนี้ ซือหม่าฮุยก็มิได้พูดถึงเรื่องใดอีก
ยามนี้ฝนด้านนอกนั้นตกลงมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย แต่ขณะเดียวกันก็หยุดอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยเช่นเดียวกัน เพียงชั่วพริบตา ท้องฟ้าได้กลับมาแจ่มใสอีกครั้ง เหล่าชายหนุ่มทั้งหลายล้วนกลับออกมานั่งที่เดิม
เล่าเปียวโบกมือและสั่งให้ทุกคนไปเริ่มการรับสมัครอย่างเป็นทางการ
การคัดเลือกในครั้งนี้ มีไว้สำหรับชายหนุ่มที่มีพรสวรรค์เหล่านี้ เพื่อให้แสดงความคิดเห็น ความสามารถ ต่างๆ หลังจากนั้นจะทำการคัดเลือก ภายในศาลา มีไช่เม่า ซือหม่าฮุย ทำหน้าที่ตัดสินคัดเลือกผู้ใต้บังคับบัญชา โดยมีเล่าเปียวเป็นผู้ตัดสินเลือกคนที่เหมาะสมที่สุดที่จะได้รับการแต่งตั้งเป็นนายอำเภอ เพื่อไปประจำการที่หนานหยาง ซึ่งเป็นสถานที่ที่พวกเขาเพิ่งยึดมาจากหยวนซู่4
ไม่นาน ด้านหน้าศาลาก็กลับมาคึกคักอีกครั้ง
บรรดาคุณชายจากตระกูลดังเหล่านั้นยืนขึ้นพูดทีละคนอย่างฉะฉาน เกี่ยวกับเรื่องชาติบ้านเมือง การทหาร การรบ ต่างแสดงออกอย่างภาคภูมิใจ
ซูเซี๋ยวเสี่ยวมองคุณชายและบรรดาสหายคุณชายที่พูดเก่งเหล่านั้น แล้วอดสงสัยไม่ได้ว่า “คุณชาย เหตุใดคนพวกนั้นช่างพูดนัก ยิ่งพวกตระกูลก่วย ตระกูลหวง ตระกูลผัง ตระกูลไช่ด้วยแล้ว พวกเขารู้ทุกเรื่องที่ห่างไปไกลนับพันลี้ได้อย่างไร พวกเขาเห็นมากับตาตนเองเยี่ยงนั้นหรือ?”
“นี่ยังต้องถามอีกหรือ”
ซูเจ๋อฮึดฮัดไม่ค่อยพอใจนัก “ตระกูลที่ร่ำรวยเหล่านี้ มีกิจการมากมาย มีทั้งสินค้านำเข้าและส่งออก มีการแลกเปลี่ยนเงินตราไปทั่วทุกแห่ง แน่นอนว่าสามารถเรียนรู้และรับส่งเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นในทั่วทุกพื้นที่ได้อย่างรวดเร็วที่สุดเท่าที่ทำได้ นอกจากนี้ ยังมีสัมพันธ์ใกล้ชิดกับขุนนางใหญ่อย่างใต้เท้าโจวมู่มาก จึงมักจะได้รับข่าวสารใหม่ๆ ก่อนผู้ใด ดังนั้นเหล่าบุตรหลานตระกูลเหล่านี้จึงมีเรื่องให้พูดคุยกันมากมายไม่รู้จักจบ”
ซูเซี๋ยวเสี่ยวตระหนักในทันใด พูดอย่างโกรธเคืองว่า “ช่างไม่ยุติธรรมเลย ทั้งทีหลิวจิงโจวสามารถเลือกบุตรหลานจากตระกูลใหญ่เหล่านั้นได้โดยตรง เหตุใดจึงต้องจัดการรับสมัครนี้เพื่อบังหน้าอีกเล่า”
“โลกนี้ มีแค่ความอ่อนแอและความแข็งแกร่ง เคยมีความยุติธรรมตั้งแต่เมื่อใด...” ซูเจ๋อถอนใจอย่างมีความหมาย
พอถอนใจ ก็ถึงคิวหวงเซ่อขึ้นพูด
หวงเซ่อเงยหน้าขึ้น ทุกคนมองเขาด้วยความชื่นชม เขายืนสงบนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง แล้วกระแอมและเริ่มพูดถึงสถานการณ์ที่เหอเป่ย
เขาเอ่ยอย่างไหลลื่น เรื่องเกี่ยวกับความแข็งแกร่งของกองซุนจ้าน5 มีทหารม้ากี่คน มีม้าขาวกี่ตัว และก็ยังสามารถบอกรายละเอียดทหารม้าชั้นยอดได้
ก่อนจบ หวงเซ่อสะบัดแขนเสื้อแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเด็ดขาดว่า ”กองซุนจ้านนั้นเชี่ยวชาญด้านพิชัยสงคราม หลังการต่อสู้อย่างยาวนาน การรวมกองกำลังที่หยวนเหยียน ทำให้ชาวหูตื่นตกใจ ตอนนี้ กองทัพของเขากำลังมุ่งหน้าไปทางใต้ หยวนเส้า (อ้วนเสี้ยว) ย่อมมิใช่คู่ต่อสู้ของเขา เขาจะต้องพ่ายแพ้ต่อกองซุนจ้านอย่างแน่นอน ข้าคิดว่าจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นที่จี้โจวในไม่ช้านี้”
หวงเซ่อจบการสนทนา เสียงปรบมือดังไปทั่วทันที นักปราชญ์และบัญฑิตทั้งหลายต่างก็แสดงความชื่นชมออกมา
เล่าเปียวที่อยู่ด้านในศาลาอดไม่ได้ที่จะพยักหน้าเล็กน้อย และปรบมือให้ “เป็นไปอย่างที่คาดไว้ บุตรชายของหวงจู่6 วางกลยุทธ์ได้ดี สมดังคำที่ว่าพ่อเสือย่อมมีลูกเป็นเสือ”
ไม่นานมานี้ หยวนซู่ได้ส่งซุนเกียน7 ไปโจมตีจิงโจว ทำให้เล่าเปียวพ่ายแพ้แล้ว พ่ายแพ้อีก แม้แต่เซียงหยางก็ถูกปิดล้อม ถ้าหวงจู่ไม่ดักลอบโจมตีซุนเกียนจนตาย เล่าเปียวเกรงว่าตนก็คงตายตกไปแล้วก็เป็นได้
หวงจู่มีบุญคุณใหญ่หลวง เป็นคนสำคัญของเล่าเปียว เล่าเปียวจึงรักหวงเซ่อดั่งบุตรชายของตน
ทันทีที่เล่าเปียวพูดออกมา ไช่เม่า เก๊งอวด8 ผังจี๋ที่อยู่ด้านซ้ายและด้านขวา และคนดังคนอื่นๆ ต่างชื่นชมยินดีกับหวงเซ่อ
มีเพียงซือหม่าฮุยเท่านั้น ที่เพียงหัวเราะ แต่มิได้กล่าวแสดงความคิดเห็นใดๆ
หวงเซ่อเอามือข้างหนึ่งไขว้ไว้ด้านหลังยืนอยู่ที่ด้านหน้าศาลา ดื่มด่ำกับเสียงชื่นชมจากทุกคนด้วยสีหน้าเย่อหยิ่ง เขามองไปรอบๆ แต่กลับต้องขมวดคิ้วขึ้น
ทั้งที่ทุกคนต่างโห่เสียงร้องชื่นชมเขา มีเพียงซูเจ๋อเท่านั้นที่มิได้แสดงท่าทางใดๆ ถึงขนาดที่ว่าบนใบหน้าของฝ่ายนั้นปรากฏรอยยิ้มที่เย้ยหยันออกมาให้เห็น
จู่ๆ หวงเซ่อก็รู้สึกไม่พอใจ หลังจากเดินไปไม่กี่ก้าว เขาก็เดินไปอยู่ด้านหน้าซูเจ๋อ แล้วถามเสียงเย็นชาว่า “ข้าคิดว่า น้องซูคงไม่เห็นด้วยกับการวิเคราะห์สถานการณ์ในเหอเป่ยของข้า หากน้องซูต้องการโต้แย้ง เหตุใดจึงมิกล่าวออกมา ข้าจะรอฟัง”
“......” ซูเจ๋อยังคงนิ่งเงียบ
สายตานับร้อยของผู้คนทั้งศาลา ตั้งแต่เล่าเปียวไปจนถึงซุยเป๋งล้วนมองไปที่ซูเจ๋อ
‘เจ้าจงใจหาเรื่องข้าสินะ...’
ซูเจ๋อแอบแช่งในใจ ใบหน้าของเขายังคงสงบนิ่ง และพูดอย่างเฉยเมยว่า “ขออภัยพี่หวง ข้าเป็นผู้ด้อยปัญญา”
ตอนนี้ตระกูลหวงกำลังอยู่ในช่วงเฟื่องฟู การฉีกหน้าหวงเซ่อในที่สาธารณะ มิใช่เรื่องดีที่ควรทำ เมื่อความเข้มแข็งมิเพียงพอ จงทำตัวให้ต่ำลง ซูเจ๋อเข้าใจความจริงข้อนี้ดี ดังนั้นเขาจึงไม่อยากจะผิดใจกับหวงเซ่อ
เมื่อหวงเซ่อเห็นว่าซูเจ๋อยอมอ่อนข้อล่าถอยไป ไม่โต้ตอบกลับ เขาก็รู้สึกหมดสนุก แต่กลับทำให้เขาแสดงสีหน้าที่เย่อหยิ่งมากกว่าเดิม ทั้งยังเยาะเย้ยว่า “ข้าจำได้ว่าข้ามิได้พูดสิ่งใดผิด ปีนั้น น้องซูประกาศตัวว่าเป็นบัณฑิตอัจฉริยะอันดับหนึ่งของจิงเซียง ให้คำแนะนำเรื่องชาติบ้านเมืองอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ข้ายังจำได้ดี มันเหมือนเพิ่งเกิดขึ้นไม่นานมานี่เอง เหตุใดวันนี้เจ้าจึงมิกล้าแสดงความเห็นเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในยามนี้ต่อหน้าทุกคนเล่า เป็นไปได้หรือไม่ว่าน้องซูสูญเสียความกล้าหาญไปเนื่องจากการหลับไหลไปนานสองสามปี”
คำพูดของหวงเซ่อนั่นเสียดสีซูเจ๋ออย่างเปิดเผยและเหยียดหยามคล้ายอยากให้เขาอับอายมากขึ้น
เกิดเสียงหัวเราะจากบรรดาบุตรหลานขุนนางดังไปทั่วบริเวณนั้น
ซือหม่าฮุยที่อยู่ในศาลาอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วพูดขึ้นอย่างไม่พอใจว่า “หวงเซ่อผู้นี้กล้าก้าวร้าวในที่ชุมชนเช่นนี้ได้อย่างไร ขาดการสำรวมนัก”
“สุ่ยจิ้งเซียนเชิงกล่าวผิดแล้ว ข้ากลับรู้สึกว่าเหล่าผู้เยาว์ควรมีความเฉียบคมพอๆ กับหลานชายหวงซ่อผู้นี้ นี่คือสิ่งที่คนรุ่นใหม่ควรมี” ไช่เม่าชื่มชมหวงเซ่อและท้วงกลับทันที
เล่าเปียวเองก็พยักหน้าเล็กน้อย เพราะเห็นด้วยกับคำพูดของไช่เม่า เขาอมยิ้มขณะเหลือบมองไปที่ซือหม่าฮุย “สุ่ยจิ้งเซียนเชิง หวงเซ่อได้เอ่ยท้าประลองแล้ว แต่ดูเหมือนซูเจ๋อผู้นี้กลัวจนมิกล้ารับคำท้า ข้าคิดว่าบัณฑิตอัจฉริยะอันดับหนึ่งแห่งจิงเซียงที่ท่านกล่าวไว้อาจเป็นการเรียกเกินจริงไปเล็กน้อย”
ซือหม่าฮุยพูดไม่ออก
ซูเจ๋อที่อยู่ด้านหน้าศาลา ขมวดคิ้วแล้วมองดูหวงเซ่อที่ก้าวร้าวต่อหน้าเขา อีกทั้งยังได้ยินเสียงหัวเราะเยาะเย้ยของพวกขุนนางที่อยู่รอบตัวเขา ในที่สุดเขาก็ทนไม่ไหว
มันทนไม่ไหวแล้ว เหลืออด !
ซูเจ๋อระงับความโกรธในใจ สูดหายใจเบาๆ ยืนขึ้นช้าๆ อาศัยความสูงของศีรษะช่วงหนึ่ง มองลงไปที่หวงเซ่อแล้วกล่าวอย่างเย็นชาว่า “ฉายาบัณฑิตอัจฉริยะอันดับหนึ่งแห่งจิงเซียงนั้น มิได้มีอะไรมากไปกว่าคำชมจากสุ่ยจิ้งเซียนเชิง ข้าซูเจ๋อไม่เคยตั้งชื่อหรือฉายาให้แก่ตนเอง เนื่องจากพี่หวงต้องการฟังความคิดเห็นของข้าเกี่ยวกับสถานการณ์ในเหอเป่ย อย่างนั้นข้าจะขอพูดถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นที่เหอเป่ยสักสองสามคำก็แล้วกัน
ดวงตาของหวงเซ่อปรากฏแววประหลาดใจเล็กน้อยที่ซูเจ๋อกล้ารับคำท้า เขายกมุมปากกล่าวอีกครั้งว่า “น้องซูมีความคิดเห็นที่โดดเด่น ข้าแซ่หวงขอน้อมรับฟังด้วยความเคารพ แต่ข้าเดาว่าสิ่งที่เรียกว่าทฤษฏีระดับสูงของน้องซูไม่อาจโต้แย้งเรื่องความจริงที่ข้ากล่าว และข้าจะยังคงคิดว่ากองซุนจ้านจะชนะในศึกนี้”
สถานการณ์ในเหอเป่ยนั้น กองซุนจ้านแข็งแกร่งกว่าหยวนเส้า นี่คือเรื่องจริงที่ทุกคนต่างรู้กันดี ประโยคนี้ของหวงเซ่อเท่ากับปิดตายข้อโต้แย้งของซูเจ๋อ หากเขาก็คิดว่ากองซุนจ้านจะชนะ นั่นก็เท่ากับว่าเขา “ลอกเลียนความคิด” ของหวงเซ่อ นั่นจะทำให้เขาถูกเย้ยหยันแทน
มีความพึงพอใจปรากฏขึ้นในดวงตาของหวงเซ่อ เขายิ้มเยาะเย้ยและมองไปที่ซูเจ๋อ รอดูว่าเขาจะลงจากเวทีนี้เยี่ยงไร
ซูเจ๋อยิ้มอย่างไม่ค่อยพอใจ พูดเบาๆ ว่า ”ข้าเกรงว่า ข้าจะทำให้พี่หวงผิดหวังเสียแล้ว ข้าคาดเดาตรงกันข้ามกับพี่หวง ข้าคิดว่าในการต่อสู้ศึกที่เหอเป่ย หยวนเส้าจะสามารถเอาชนะกองซุนจ้าน!”
ทันทีที่เขาพูดออกมา ก็เกิดเกิดความโกลาหลและความตื่นตระหนกขึ้นทั้งภายในและภายนอกศาลาหวางเจียง
1 ใต้เท้าโจวมู่* คือคำเรียกอีกอย่างของ ผู้ปกครองเมืองจิงโจว
2 เต๋อเชา คือชื่อรองของ ซือหม่าฮุย (สุมาเต็กโช)
3 ไช่เม่า หรือ ชัวม่อ คือน้องชายไช่ฮูหยิน (ไช่ฟูเหริน) ผู้กุมอำนาจทหารในจิงโจว หลังจากเล่าเปียวถึงแก่กรรม ตระกูลไช่จึงตั้งเล่าจ๋อง (หลิวฉง) ผู้เป็นหลาน ครองจิงโจวสืบต่อ
4 อ้วนสุด เป็นน้องชายของอ้วนเสี้ยว อ้วนสุดเป็นคนที่นิสัยเหมือนกับอ้วนเสี้ยวญาติผู้พี่ คือ โลเลเหลาะแหละ ชอบแต่คนประจบสอพลอ
5 กองซุนจ้าน มีชื่อในสำเนียงจีนกลางว่า กงซุนจ้าน เป็นเจ้าเมืองปักเป๋ง กองทัพส่วนใหญ่ของกองซุนจ้านขี่ม้าสีขาว
6 หวงจู่ หรือ หองจอ เป็นแม่ทัพของเล่าเปียว มีหน้าที่รักษาปากน้ำกังแฮ
7 ซุนเกียน หรือ ซุนเจียน 孙坚 พ่อผู้บุกเบิกให้ลูกได้วางรากฐานสร้างอาณาจักรง่อก๊ก
8 เก๊งอวด หรือ ไกว่เยว่ ที่ปรึกษาให้กับขุนศึกเล่าเปียวระหว่างปลายยุคราชวงศ์ฮั่นตะวันออกของจีน เป็นน้องชายของเก๊งเหลียง
555
555
555
555
555
555
555
555
555
555