px

เรื่อง : ข้ามีดาวเที่ยมในยุคสามก๊ก (นิยายแปล) ปลดล๊อคตอนฟรี 3 วัน 1 ตอน
ตอนที่ 3 ทุบหม้อข้าว จมเรือ


ตอนที่ 3 ทุบหม้อข้าว จมเรือ

 

“เขาคิดว่ากองซุนจ้านจะแพ้ น่าขันยิ่งนัก!”

 

 

 “กองซุนจ้านแข็งแกร่งทั้งยังมีอาชาที่แข็งแกร่ง อยู่หยวนหยางมาหลายปี หยวนเส้าเป็นเพียงพวกขี้อวดในจี้โจว เขาจะเป็นคู่ต่อสู้ของกองซุนจ้านได้อย่างไร”

 

 

 “ถูกต้อง ข้าคิดว่าเขากลัวถูกพี่หวงเยาะเย้ยให้อับอาย ดังนั้นจึงจงใจพูดแค่เรื่องที่อัศจรรย์และน่าตกใจ”

 

 

“เอ๊ะ ข้าคิดว่าอย่างนั้น บัณฑิตอัจฉริยะอันดับหนึ่งของจิงเซียงอะไรกัน ขนาดฮองซูแห่งตระกูลผางยังไม่กล้าพูดว่าตนเองเป็นคนที่มีความสามารถอันดับหนึ่งของจิงเซียง เขาผู้เป็นคนยากไร้เช่นนี้จะคู่ควรได้เยี่ยงไร”

 

……

 

 

เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์เซ็งแซ่รอบบริเวณ ทั้งถ้อยคำเสียดสีและถ้อยคำดูถูกดูแคลนถูกส่งไปที่ซูเจ๋ออีกครั้ง

 

 

ภายในศาลาหวางเจียงก็เกิดความโกลาหลเช่นกัน

 

 

ไช่เม่าเหลือบมองซือหม่าฮุย แล้วพูดอย่างเย้ยหยันว่า  “ช่างเป็นผู้มีคุณธรรมที่สุดในใต้หล้า สายตาเฉียบแหลมที่สุด ดูเหมือนท่านอาจารย์ก็ยังมีโอกาสผิดพลาดได้เช่นกัน ฮ่าฮ่า”

 

 

 

บนหน้าผากของซือหม่าฮุยมีเหงื่อออกหยดหนึ่ง แต่เขาต้องอธิบายแทนซูเจ๋อ  “การคาดการณ์ของซูเจ๋อไม่จำเป็นต้องมีเหตุผล แม้ว่ากองซุนจ้านจะแข็งแกรง แต่ก็แข็งแกร่งมาตั้งนานแล้ว นอกจากนี้ยังมีตัวอย่างอีกมาก ที่ผู้อ่อนแอชนะผู้แข็งแกร่ง ข้าคิดว่าบางทีหยวนเส้าก็ใช่ว่าจะแพ้เสมอไป

 

 

ไช่เม่ายิ้มยกมุมปากแล้วพูดว่า  “สุ่ยจิ้งเซียนเชิง ท่านควรมีเหตุผลหน่อย ตลอดยุคสมัยมีตัวอย่างมากมายที่ผู้อ่อนแอเอาชนะผู้แข็งแกร่งได้ แต่นั่นก็ขึ้นอยู่กับว่าคือผู้ใดด้วยเช่นกัน  เมื่อครั้งกองซุนจ้านสู้ที่หยวนโจว ชาวหูเมื่อได้ยินชื่อถึงกับตกใจหวาดกลัว ในขณะที่หยวนเส้าถูกพูดถึงเพียงในพื้นที่บ้านเกิดของเขาที่ลู่หนาน คราวที่กองซุนจ้านลงใต้ เรียกได้ว่าเป็นที่ฮือฮายิ่งนัก หยวนเส้าผู้อ่อนแอจะเอาชนะผู้แข็งแกร่งได้อย่างไร”

 

 

 “นี่.....”

 

 

ซือหม่าฮุยพูดไม่ออกทันที สีหน้าของเขาบ่งบอกดีอยู่แล้วว่าที่จริงในใจของเขาก็เอนเอียงไปทางกองซุนจ้านด้วยเช่นกัน

 

 

ยามนี้เล่าเปียวที่นิ่งเงียบยิ้มอย่างแผ่วเบา  “ซูเจ๋อผู้นี้ช่างพูดจาเลอะเลือน ไม่ระวังปาก น่าเสียดายที่คนส่วนใหญ่ในใต้หล้าชอบแสร้งทำเป็นแตกต่าง มักมิได้มีพรสวรรค์ที่แท้จริง คนเขลาเยี่ยงนี้ ไม่เหมาะที่จะแต่งตั้งมาใช้งานได้อย่างวางใจ”

 

 

คำพูดของเล่าเปียวเท่ากับการประกาศ ปิดการพิจารณา ฉายาบัณฑิตอัจฉริยะอันดับหนึ่งของซูเจ๋อถูกมองว่าเป็น “ฉายาจอมปลอม” ถูกคัดออกจากรายชื่อที่ราชสำนักต้องการ

 

 

ซือหม่าฮุยถอนหายใจเบาๆ พลางส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ เขามองไปที่การซูเจ๋อด้วยแววตาเสียดายอยู่เล็กน้อย

 

 

ด้านหน้าศาลา

 

 

หวงเซ่อรู้สึกงงในตอนแรก จากนั้นก็ซ่อนสีหน้าประชดประชันและรอยยิ้มพลางพูดว่า “น้องซู เจ้าน่าทึ่งมาก เจ้าคิดว่าหยวนเส้าคือ ผู้ชนะ ช่างเปิดหูเปิดตาข้ายิ่งนัก ข้าขอบังอาจเรียนถามน้องซูทีว่าเจ้าไปเอาความมั่นใจและความกล้าเช่นนี้มาจากที่ใด?”

 

 

“ถึงอย่างไร หยวนเส้าย่อมเป็นผู้ชนะอย่างแน่นอน ข้ามิอยากอธิบาย” น้ำเสียงของซูเจ๋อยังคงหนักแน่นราวเหล็กกล้า ขณะเดียวกันเขาได้กล่าวต่อว่า “และข้ายังบอกได้อีกว่าการต่อสู้ระหว่างกองซุนจ้านและหยวนเส้าจะเกิดขึ้นที่สะพานจีเกี้ยว”

 

 

“สะพานจีเกี้ยว เหตุใดจึงเป็นสะพานจีเกี้ยว?”

 

 

 “ข้าก็พูดไปแล้วว่ามิอยากอธิบาย”

 

 

ซูเจ๋อแสดงสีหน้าราวกับบ่งบอกว่าตนขี้เกียจเกินกว่าจะคุยกับเขา จากนั้นเจ้าตัวก็สะบัดแขนเสื้อแล้วนั่งลงอีกครั้ง เมื่อไม่มีคนอื่นแล้ว เขาค่อยๆหยิบขวดสุรา ขึ้นมาจากในกล่อง

 

 

หวงเซ่อราวกับชกลม เขาดูงุ่มง่ามอยู่พักหนึ่ง และสะบัดแขนเสื้อของเขาอีกครั้ง แล้วแสดงท่าทีเหมือนว่าตนขี้เกียจจะเถียงกับซูเจ๋ออย่างไร้เหตุผลจึงหันกลับไปนั่งพิงที่นั่งของตน

 

 

ขณะที่เขากำลังจะนั่งคุกเข่า ทันใดนั้นก็มีเสียงควบม้าเข้ามาใกล้

 

 

“รายงาน...ข่าวด่วนจากเหอเป่ย”

 

 

หนังสือด่วนปิดผนึกตรงกลางด้วยสีผึ้งมาพร้อมกับม้าเร็วที่รีบควบม้าทะยานเข้าไปในสถานที่รับสมัคร

 

 

ดวงตาของเล่าเปียวเป็นประกาย ด้วยท่าทางกระยิ่มยิ้มย่องดั่งเทพเซียน เขายิ้มให้ทุกคนทั้งซ้ายและขวา แล้วพูดว่า  ”นี่คงเป็นจุดสิ้นสุดของสงครามเหอเป่ย มิรู้ว่าจะมีทหารและอาชาของหยวนเส้ากี่คนที่ถูกทำลายโดยกองซุนจ้าน”

 

 

เห็นได้ชัดว่า เขาคาดหวังให้หยวนเส้าพ่ายแพ้

 

 

 “หยวนเส้าไม่เพียงแต่ต้องเสียกองกำลังทหารเท่านั้น แต่การที่กองซุนจ้านทำศึกนี้ตัดสินชะตาในครั้งนี้ อาจทำให้ตัวหยวนเส้าเองต้องถูกฆ่าไปด้วยเช่นกัน” ไช่เม่าหัวเราะ เขาเห็นพ้องด้วยกับเล่าเปียว

 

 

ขุนนางระดับสูงของจิงโจวและคนดังของตระกูลใหญ่ต่างพากันพยักหน้าเห็นพ้องด้วยเช่นกัน

 

 

“น่าเสียดาย จื่อหมิง เหตุใดเจ้าต้องสรุปว่าหยวนเส้าจะชนะเล่า ทั้งยังกล้าพูดต่อหน้าผู้คนมากมายเช่นนี้อีก ครานี้ข้ากลัวว่าชื่อเสียงบัณฑิตอัจฉริยะอันดับหนึ่งของจิงเซียงจะถูกทำลายเสียงแน่แท้ก็ครานี้ อนิจจา น่าเสียดาย...”

 

 

ซือหม่าฮุยมองซูเจ๋อที่กำลังดื่มสุราอยู่หน้าศาลา เขาอดส่ายหัวและถอนใจไม่ได้ ความเสียดายทั้งหมดถูกเขียนอยู่บนใบหน้าของเขา

 

 

ทั้งนอกและในศาลา ทุกคนจับจ้องไปที่ซูเจ๋อ ดวงตาเหล่านั้นดูเหมือนกำลังรอคอยที่จะเห็นซูเจ๋อถูกทำร้ายจากความจริงอันโหดร้าย และต้องอับอายต่อหน้าผู้คนมากมายเช่นนี้

 

 

หวงเซ่อก้มตัวลงครึ่งหนึ่ง มุมปากยิ้มเยาะเย้ยประชดประชันล่วงหน้า เขาคิดหาวิธีดูหมิ่นและเสียดสีซูเจ๋อด้วยคำพูดออกแล้ว

 

 

แม้แต่ซูเซี๋ยวเสี่ยวก็แอบกระทืบเท้า กลัวว่าจะเห็นคุณชายของนางจะถูกทุกคนเย้ยหยันให้ต้องอับอาย

 

 

มีเพียงซูเจ๋อเท่านั้นที่ยังคงสงบ ใบหน้าของเขามีสีหน้าสบายใจ ไม่สนใจผลรายงานเร่งด่วน เขากระดกขวดสุราเข้าปากพลางชมว่า “สุราชั้นดี ร้านนี้หมักสุราได้รสชาติดีกว่าสุราร้านอื่น สุราดี สุราดี”

 

 

ภายใต้การจับจ้องของทุกคน ม้าเร็วส่งสาร์นได้ลงจากม้าแล้วคุกเข้าลงหน้าศาลา พร้อมกับบอกล่าวเสียงดังว่า  “เรียนใต้เท้าโจวมู่ ข้าได้เขียนรายงานการรบล่าสุดจากเหอเป่ย กองซุนจ้านกับหยวนเส้า เกิดการต่อสู้ศึกตัดสินที่สะพานจีเกี้ยว หยวนเส้าชนะศึกคราใหญ่ กองซุนจ้านพ่ายแพ้ สูญเสียไพร่พลเป็นจำนวนมาก อาชาขาวชั้นยอดล้วนถูกกวาดล้างหมดสิ้น !”

 

 

เงียบสนิท

 

 

ทั้งภายในและนอกศาลา ตั้งแต่เล่าเปียวไปจนถึงหวงเซ่อ ดวงตาทุกคู่เบิกกว้าง อ้าปากหวอ ท่าทางเหมือนถูกแช่แข็งเนื่องจากการตกใจ

 

 

ถัดจากนั้น ทั้งศาลาหวางจิงก็ตกอยู่ในความโกลาหล ราวกับหม้อต้มโจ๊กที่เดือดพล่าน

 

 

“หยวนเส้าเอาชนะกองซุนจ้านได้ นี่มันปาฏิหาริย์!”

 

 

 “ข้าคาดคิดว่าซูจื่อหมิงผู้นี้จะแค่คาดเดาส่งๆ แต่เขากลับเดาถูกจริงๆ”

 

 

“ใช่ ใครจะไปคิดว่าไม่เพียงแต่เขาจะทำนายว่ากองซุนจ้านจะแพ้เท่านั้น เขายังคาดการณ์ที่ตั้งของศึกชี้ขาดอยู่ที่สะพานจีเกี้ยว พรสวรรค์นี้ดั่งเทพเซียน”

 

 

“ดูเหมือนว่าที่สุ่ยจิ้งเซียนเชิงกล่าวว่าเขาเป็นบัณฑิตอัจฉริยะอันดับหนึ่งแห่งจิงเซียง และยังตั้งชื่อเขาว่ามังกรหลับนั้นมีความจริงอยู่บ้าง”

 

 

……

 

 

หัวข้อสนทนาของทุกคนมุ่งไปที่ซูเจ๋ออีกครั้ง แต่มันเปลี่ยนจากการเสียดสีและดูถูกกลับกลายเป็นความอัศจรรย์ใจและชื่นชมแทน

 

 

หวงเซ่อขาสั่น อยากจะนั่งคุกเข่า แต่กลับล้มลงก้นกระแทกพื้น ปากสั่นบ่นพึมพำกับตัวเอง  ”เป็นไปได้อย่างไร กองซุนจ้านจะแพ้หยวนเส้าได้อย่างไร อีกทั้งกองทัพอาชาขาวยังถูกกวาดล้างทั้งหมด ! เป็นไปได้อย่างไร?”

 

 

เขาเงยหน้าขึ้น สิ่งที่เขาเห็นคือซูเจ๋อยังคงดูสงบนิ่ง ทั้งที่เป็นเรื่องอัศจรรย์เช่นนี้ แต่เขากลับมิมีท่าทีใดๆ เลย เหมือนทุกสิ่งถูกเขาควบคุมไว้ทั้งหมดแล้ว

 

 

ท่าทางสงบนิ่งและไม่แยแสนั้นทำให้หวงเซ่อรู้สึกอึดอัด หงุดหงิดมากกว่าการเยาะเย้ยแบบตรงไปตรงมา

 

 

ทุกคนต่างประหลาดใจกับการมองการณ์ไกลอย่างน่าอัศจรรย์ของซูเจ๋อ สายตาคู่นั้นหันไปมองหวงเซ่อโดยพร้อมเพียงกัน ทุกคนเห็นเขาตัวสั่นเทา เหงื่อเม็ดโตผุดขึ้นที่หน้าผาก ตอนนี้เขาอยากจะมุดดินหนีเสียให้ได้

 

 

ในเวลานี้ ซูเจ๋อมองไปที่เขาแล้วยิ้มเล็กน้อย  “ต้องขออภัยพี่หวง ที่ข้าเดาถูกอีกแล้ว เราไม่สามารถมองดูปัญหาแค่ผิวเผิน มันจะตื้นเขินเกินไป พี่หวงคิดเช่นนี้ด้วยหรือไม่”

 

 

การเผชิญหน้ากับบุตรชายตระกูลใหญ่ผู้นี้ที่คอยท้าทายและหาเรื่องเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า แม้ว่าจะมีการประชดในคำพูดของซูเจ๋อ อย่างไรก็ตามหวงเซ่อยับยั้งความไม่พอใจนั้นไว้ แม้เขาจะรู้สึกรำคาญมากเมื่อได้ยินมัน แต่เขาทำได้เพียงกำหมัดแน่น หากมิเห็นแก่สถานะและมารยาทของเขา เกรงว่าอีกไม่นานเขาคงเสียสติกระโดดขึ้นไปชกกับซูเจ๋อแล้ว

 

 

ตอนนี้ เขาทำได้เพียงแค่กล่ำกลืนความโกรธลงไปเท่านั้น

 

 

ภายในศาลา

 

 

 “กองซุนจ้านแพ้หยวนเส้า! เหตุใด ซูเจ๋อผู้นี้จึงได้เดาถูก?” เล่าเปียวถอนหายใจอย่างเหลือเชื่อและงุนงง เขามิได้ฟังผิดใช่หรือไม่

 

 

รอบตัวเขาในยามนี้ ไม่ว่าจะเป็นไช่เม่า เก๊งอวด ผางจี๋ ขุนนางระดับสูงและคนอื่นต่างแสดงสีหน้าตื่นตกใจ

 

 

พวกเขาตกใจที่สงครามเหอเป่ยสิ้นสุดลง และประหลาดใจมากขึ้นกับความอัศจรรย์ของซูเจ๋อ ชายหนุ่มจากครอบครัวยากจนผู้นี้

 

 

“ข้าไม่คาดคิดเลยว่าจื่อหมิงจะเดาถูกแม้แต่สถานที่รบของหยวนเส้าและกองซุนจ้าน ข้าทำให้อาจารย์ต้องอับอายแล้วจริงๆ...”

 

 

ซือหม่าฮุยยังแปลกใจ ทว่าเขากลับมีรอยยิ้มพึงพอใจปรากฏบนใบหน้า เขายิ้มอย่างภาคภูมิใจกับเล่าเปียว  “ใต้เท้าโจวมู่ ข้ากล่าวไว้มิผิดว่าซูจื่อหมิงผู้นี้คือบัณฑิตอัจฉริยะอันดับหนึ่งของจิงเซียง เขาคู่ควรกับคำว่า มังกรหลับ”

 

 

 “อะแฮ่ม ซูเจ๋อผู้นี้ ทำให้ขุนนางท่านนี้ประหลาดใจจริงๆ ถือได้ว่าเป็นพรสวรรค์ส่วนบุคคล” ต้องบอกเลยว่าเล่าเปียวจะไม่กล่าวชมซูเจ๋อก็มิได้

 

 

ไช่เม่าหายจากอาการตกใจ แล้วกล่าวว่า  “ซูจื่อหมิงผู้นี้เห็นได้ชัดว่ามีบางอย่างที่ไม่ธรรมดา แต่ก็ยังเร็วเกินไปที่จะเรียกเขาว่าเป็นบัณฑิตอัจฉริยะอันดับหนึ่งแห่งจิงเซียง”

 

 

ซือหม่าฮุยยังคงต้องการจะพูดอะไรมากกว่านี้ แต่ไช่เม่ายื่นมือให้เล่าเปียวแล้วพูดว่า  "ใต้เท้า ผู้มีความสามารถเกือบทั้งหมดได้แสดงความสามารถของพวกเขาแล้ว ใต้เท้าโปรดตัดสินใจเลือกผู้ที่ใต้เท้าเห็นว่าเหมาะสมที่สุดด้วยเถิด "

 

 

ความสนใจของเล่าเปียวถูกดึงออกจากซูเจ๋อ เขากล่าวว่า "เต๋อกุย เจ้าสามารถร่างรายชื่อได้ ขุนนางผู้นี้จะตรวจสอบครั้งสุดท้าย ท้ายที่สุด ท่านต้องเป็นผู้เลือกนายอำเภอปกครองเขตหนานหยาง หาผู้ที่มีพรสวรรค์เหล่านี้ เพราะเขาจะเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของเจ้าในอนาคต”

 

 

ไช่เม่าขอให้ผู้คนนำพู่กันและหมึกมา หลังจากพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว รายชื่อก็ถูกร่างขึ้น

 

 

ด้านหน้าศาลา บัญฑิตทุกคนเงียบลง พวกเขามองเข้าไปในศาลาและรอผลอย่างใจจดใจจ่อ

 

 

ท่าทางของหวงเซ่อเริ่มมั่นใจอีกครั้ง เขาเหลือบมองซูเจ๋ออย่างดูถูก ดวงตาเขาดูเหมือนจะพูดว่า  “เกิดอะไรขึ้น ถ้าเจ้าเดาว่าจะชนะข้า ข้าก็ยังถูกเลือก และเจ้าจะต้องพ่ายแพ้”

 

 

ซูเซี๋ยวเสี่ยวมองดูดวงตาที่เย่อหยิ่งของเขา รู้สึกอารมณ์เสีย นางเบ้ปากพูดอย่างหงุดหงิดว่า  “คุณชาย ท่านดูหวงเซ่อนั่นสิ เขาดูภูมิใจมาก แม้จะแพ้ท่าน เขาจะตื่นเต้นอะไรขนาดนั้น”

 

 

ซูเจ๋อยิ้มเยาะ  “ตระกูลหวงเป็นหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ของจิงเซียง ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่หวงเซ่อแพ้ข้าในวันนี้ ต่อให้เขาผายลมส่งกลิ่นเหม็น หลิวจิงโจวของพวกเราก็ไม่มีวันปฏิบัติต่อเขาไม่ดี”

 

 

 “แล้วคุณชายเล่า? คุณชายจะได้รับเลือกหรือไม่?” ซูเซี๋ยวเสี่ยวกังวล

 

 

 “ข้ามิได้คาดหวังตั้งแต่แรกแล้ว” ซูเจ๋อจิบสุรา น้ำเสียงของเขาเปลี่ยนเป็นขี้เล่น “การคัดเลือกครั้งนี้ เป็นเพียงแค่ฉากบังหน้า อย่างไรก็ตาม ในที่สุด ข้าก็หวังเพียงว่า ใต้เท้าโจวมู่ของเราจะมีคุณธรรม เลือกข้าเพื่อปิดปากผู้คน”

 

 

ซูเซี๋ยวเสี่ยวสงสัยและมองเข้าไปในศาลาอย่างไม่สบายใจ

 

 

หลังจากนั้นไม่นาน ไช่เม่าร่างรายชื่อเสร็จแล้วส่งให้เล่าเปียวตรวจสอบ เล่าเปียวตรวจสอบเสร็จพยักหน้าแสดงความพึงพอใจ แล้วหยิบพู่กันเพิ่มเข้าไปอีกหนึ่งรายชื่อ แล้วส่งกลับคืนให้ไช่เม่า สั่งให้เขาประกาศรายชื่อ

 

 

ไช่เม่ายืนอยู่บนขั้นบันได เขากระแอมและพูดเสียงดังว่า  “ผู้ที่ถูกขานชื่อโปรดอยู่รอสักครู่ นอกจากนั้นเชิญกลับไปพักผ่อนก่อน คนแรกคือ...”

 

 

จากนั้น ไช่เม่าอ่านชื่อพวกเขาทีละชื่อ ได้แก่ หวงเซ่อ สี่ตระกูลหลักของจิงโจว รวมถึงบุตรหลานของตระกูลหม่า ตระกูลหยาง ตระกูลสี ตระกูลใหญ่ลำดับถัดมา ตระกูลเติ้ง ตระกูลเวิน และตระกูลเล็กตระกูลน้อยอื่นๆ ได้รับการจัดสรรตำแหน่งเช่นกัน

 

 

สำหรับผู้มีพรสวรรค์แต่มิมีผู้ใดคุ้นเคย จึงมิได้ถูกเลือก

 

 

ใบหน้าของซูเซี๋ยวเสี่ยวเริ่มวิตกกังวลมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเห็นว่ารายชื่อนั้นกำลังจะจบลง ไช่เม่าก็ชะงัก กล่าวต่อด้วยน้ำเสียงไม่เต็มใจ ในที่สุดเขาก็อ่านรายชื่อสุดท้าย

 

 

ซูเจ๋อ

 

 

มีเสียงซุบซิบที่หน้าศาลา สายตาของบรรดาคุณชายตระกูลใหญ่มุ่งมาที่ซูเจ๋ออีกครั้ง

 

 

หน้าตาแปลกๆ แบบนั้น ราวกับว่า พวกเขาได้เห็นของต่างชนิดกัน ของแปลกที่แตกต่างจากพวกเขา พวกเขาล้วนส่งสายตาคัดค้านออกมาอย่างเปิดเผย

 

 

หวงเซ่อก็ตกตะลึงด้วย เขาลอบจ้องมองไปที่ซูเจ๋ออย่างไม่พอใจนัก

 

 

 “คุณชาย ท่านเป็นดังเทพเซียนจริงๆ ท่านเดาถูกอีกแล้ว” ซูเซี๋ยวเสี่ยวประหลาดใจ คว้าแขนเสื้อซูเจ๋ออย่างตื่นเต้น

 

 

 “จะวุ่นวายอะไรนักหนา ช้าหน่อย ช้าหน่อย สุราข้าหกเลอะเทอะหมดแล้ว..” ซูเจ๋อไม่กระวนกระวายใจ สนใจแต่สุราในจอก

 

 

หลังจากรายชื่อถูกประกาศครบแล้ว บัณฑิตที่ไม่ได้รับการคัดเลือกทยอยกันออกไปด้วยความรู้สึกเสียใจ มีเพียงสิบกว่าคนที่ยังคงอยู่หน้าศาลา

 

 

เมื่อมองไปรอบ บรรดาคุณชายลูกหลานตระกูลดังแห่งจิงเซียง ล้วนแต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่หรูหราสง่างาม มีเพียงบัณฑิตอัจฉริยะซูเจ๋อผู้เดียวเท่านั้น ทั้งที่สวมเสื้อผ้าธรรมดาทั่วไปนั่งอยู่ในหมู่พวกเขา ดูค่อนข้างเด่นอยู่เล็กน้อย

 

 

จากนั้น ไช่เม่าก็เริ่มประกาศ คำสั่งแต่งตั้งนายอำเภอปกครองเขตหนานหยาง

 

 

การแต่งตั้งเป็นไปตามที่ซูเจ๋อคาดการณ์ไว้ เช่นเดียวกกับลูกหลานตระกูลผาง ตระกูลไช่ ตระกูลใหญ่ทั้งสี่ล้วนถูกแต่งตั้งให้เป็นขุนนางที่หว่านเฉิง และ ซินเย่ เป็นเมืองสำคัญไม่กี่เมืองที่มั่งคั่งร่ำรวย เมืองสำคัญและมีภูมิศาสตร์รองลงมา จะถูกมอบหมายกกับกับลูกหลานตระกูลที่ด้อยกว่าเหล่านั้นตามลำดับ

 

 

“ถูกกำหนดไว้อย่างชัดเจน เด็กพวกนี้ไม่ได้ถูกหลอก...” ซูเจ๋อยังสงบเยือกเย็น ยิ้มเยาะในใจ

 

 

ในที่สุด ไช่เม่าก็เหลือบมองหวงเซ่อและซูเจ๋อทีละคนแล้วพูดเสียงดังว่า”นายอำเภอปกครองจี๋หยาง หวงเซ่อ นายอำเภอปกครองปี่หยาง ซูเจ๋อ”

 

 

เมื่อสิ้นเสียงประกาศ หวงเซ่อเหลือบมองซูเจ๋อพลางยิ้มมุมปากอย่างผู้มีชัย

 

 

ซูเจ๋อรู้ดีว่าเขาภูมิใจเรื่องอะไร และได้ยินความไม่พอใจเกี่ยวกับคำสั่งแต่งตั้งของเล่าเปียว

 

 

แม้ว่านายอำเภอปี่หยางและจี๋หยางต่างก็เป็นตำแหน่งที่มีศักดิ์เท่ากัน แต่ก็ไม่เหมือนกัน

 

 

จี๋หยางอยู่ใกล้เมืองหว่านเฉิง ของหนานหยาง อยู่ติดถนนสายหลักของการสรรจรจากเหนือไปใต้ มีประชากรจำนวนมาก ที่ดินอุดมสมบูรณ์ การไปเป็นนายอำเภอปกครองจี๋หยางใครว่ามิดี

 

 

อย่างไรก็ตาม ปี๋หยางตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของหนานหยาง ห่างจากหว่านเฉิง ที่ดินค่อนข้างแห้ง มีประชากรน้อย เป็นอีกไม่กี่เมืองที่ยากจนที่สุดของหนานหยาง

 

 

สิ่งที่สำคัญที่สุดคือจี๋หยางมีพรมแดนติดกับหรู่หนาน ซึ่งมีโจรกบฏโพกผ้าเหลือง น้ำท่วม บางครั้งพวกเขาจะไปที่ปี๋หยางเพื่อทำการปล้น เข่นฆ่าผู้คนและปล้นสะดมทรัพย์สิน การไปปกครองปี๋หยาง ถือเป็นงานที่เสี่ยงมาก

 

 

 “เจ้าอยากให้ข้าลาออกเพราะปัญหาเหล่านี้ เพราะกลัวถูกครหาว่าไม่ยุติธรรม เล่าเปียว ช่างเป็นวิธีการที่ฉลาดจริงๆ...” ซูเจ๋อสาปแช่งในใจ

 

 

ซูเจ๋อมองเห็นเล่ห์เหลี่ยม แต่ซือหม่าฮุยกลับดูไม่ออก

 

 

สีหน้าของเขาสลบลงทันทีและพูดว่า  “ใต้เท้าโจวมู่ ความสามารถของซูเจ๋อผู้นี้เหนือกว่าหวงเซ่อ เหตุใดหวงเซ่อจึงได้เป็นเจ้าเมืองจี๋หยาง ซึ่งเป็นเมืองที่มั่งคั่งมั่นคง แต่กลับให้ซูเจ๋อไปเป็นเจ้าเมืองที่ยากจนและอันตรายอย่างปี๋หยางเล่า หากข้าจำมิผิด นายอำเภอปกครองปี๋หยางทั้งสองคนล้วนเสียชีวิตจากการโจมตีของโจรกบฏโพกผ้าเหลือง”

 

 

“สุ่ยจิ้งเซียนเชิง ข้าเข้าใจว่าท่านหมายถึงอะไร” เล่าเปียวยิ้มและกล่าวว่า  “นั่นเพราะความอัจฉริยะของซูจื่อหมิงผู้นี้ ข้าต้องการให้เขาไปเป็นนายอำเภอปกครองปี๋หยาง นอกจากเขาแล้ว ใครจะมีความสามารถทำภารกิจสำคัญนี้ได้ นี่จำเป็นต้องเป็นเขาเท่านั้น”

 

 

ซือหม่าฮุยถูกปิดปากด้วยคำพูดของเล่าเปียว จนมิอาจจะโต้แย้งอะไรได้อีก

 

 

ตอนนี้ เล่าเปียวลุกขึ้นแล้วเดินออกจากศาลา เขามองไปที่ซูเจ๋อแล้วกล่าวว่า  ”ซู๋เจ๋อ ข้าตั้งใจให้เจ้าไปเป็นนายอำเภอปกครองปี๋หยาง ปี๋หยางมีราษฎรที่ต้องทนทุกข์ทรมานเนื่องจากกล่มโจรกบฏโพกผ้าเหลือง ยังไม่มีผู้กล้าที่มีความสามารถไปทำงานที่ยากนำบากเช่นนี้ได้ หากเจ้ากลัวและไม่กล้ารับภารกิจสำคัญนี้ ข้าก็จะไม่รั้งให้เจ้าอยู่ต่อ เจ้าสามารถกลับไปบ้าน ไปเล่าเรียนต่อได้อย่างวางใจ”

 

 

เล่าเปียวกล่าวออกไปเพื่อบีบบังคับให้ซูเจ๋อต้องลำบากใจและถอนตัวเอง

 

 

ซูเจ๋อแอบกำหมัด ความคิดพลุ่งพล่านพร้อมกับความทะเยอทะยานที่ปะทุขึ้นมาจนเลือดสูบฉีดแรงไปทั่วร่าง

 

 

 ‘ถ้าข้าไม่ตกลง ข้าก็ไม่มีวันผ่านความกลัวนี้ไปได้ ข้าเคยผ่านมันมาแล้วครั้งหนึ่ง ข้าก็มีศักดิ์ศรี มีความสามารถพอตัว จะให้คนมาดูถูกเหยียดหยามไปตลอดชีวิตได้เยี่ยงไรกัน ! แม้ว่าการไปเป็นนายอำเภอปกครองปี๋หยางจะอันตราย แต่ก็เป็นโอกาสที่หายากที่จะปูทางไปสู่ความก้าวหน้า ข้าจะไม่ทำให้พวกท่านผิดหวัง !’

 

ในใจ เขาได้ตัดสินใจแน่วแน่แล้ว

 

 

เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ ค่อยๆ ยืนขึ้น โบกมือเล็กน้อย พูดเสียงดังว่า  “ขอบคุณใต้เท้าโจวมู่ ซูเจ๋อจะปฏิเสธความหวังดีจากใต้เท้าได้อย่างไร ข้ายินดีน้อมรับการแต่งตั้งไปเป็นนายอำเภอปกครองปี๋หยาง”

 

 

ทุกคนต่างตกตะลึงที่เห็นซูเจ๋อ “ไม่กลัวตาย” และยังกล้ารับการแต่งตั้งครั้งนี้

 

 

เล่าเปียวก็มีสีหน้าตกใจเช่นกัน มีความประหลาดใจปรากฏขึ้นในดวงตา จนปิดไว้ไม่มิด พูดว่า  “ดี ดี ดี ข้าดูคนไม่ผิดจริงๆ เจ้าเก่งและกล้าหาญจริงๆ”

 

 

เมื่อตกลงรับปากแล้ว ซูเจ๋อกล่าวเสียงดังว่า  “การเป็นนายอำเภอปกครองปี๋หยาง คือ ตายเก้าหนึ่งรอด ผู้น้อยทราบดีว่า ใต้เท้าโจวมู่มีความเที่ยงธรรมในการให้รางวัลและลงโทษอย่างชัดเจน ดังนั้น ตอนนี้ข้าจึงกล้าขอรางวัลจากท่านล่วงหน้า หากผู้น้อยสามารถปราบโจรกบฏโพกผ้าเหลืองที่ปี๋หยางได้ภายในสามเดือน ขอใต้เท้าได้โปรดส่งเสริม ให้รางวัลข้าด้วยการเลื่อนข้าเป็นเจ้าเมืองปกครองหนานหยางด้วยขอรับ!”

 

 

ทุกคนแตกตื่นทันทีที่ได้ยิน

 

 

รีวิวผู้อ่าน