px

เรื่อง : ข้ามีดาวเที่ยมในยุคสามก๊ก (นิยายแปล) ปลดล๊อคตอนฟรี 3 วัน 1 ตอน
ตอนที่ 4 สัญญาของสาวงาม


ตอนที่ 4 สัญญาของสาวงาม

 

 

ใบหน้าของเล่าเปียวเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาคาดไม่ถึงว่าเจ้าเด็กยากไร้ผู้นี้ไม่เพียงแต่กล้าที่จะยอมรับการแต่งตั้งเท่านั้น อีกทั้งยังกล้าเดิมพันขอตำแหน่งเจ้าเมืองหนานหยางอีกด้วย

 

 

“ซูเจ๋อ เจ้าช่างละโมบนัก กล้าดีเยี่ยงไร มาขอตำแหน่งจากใต้เท้า”

 

 

ไม่รอให้เล่าเปียวจัดการ ไช่เม่าก็ออกไปตำหนิซูเจ๋อที่กล้าขอตำแหน่งเจ้าเมืองหนานหยางอย่างเปิดเผย นั่นเพราะตัวเขาเองกำลังจะได้เป็นเจ้าเมืองหนานหยางนั่นเอง เขามีหรือจะทนอยู่เฉยได้

 

 

แต่ซูเจ๋อไม่ได้หวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย เขาพูดเสียงดังว่า  “ข้าน้อยมิได้ขอตำแหน่งขุนนางกับใต้เท้าโจวมู่ แต่ข้าน้อยแค่อยากให้ผู้คนทั่วหล้ารู้ว่าใต้เท้าโจวมู่ แบ่งแยกรางวัลและการลงโทษแตกต่างกันอย่างชัดเจน เพื่อเสาะหาผู้ที่มีพรสวรรค์ จึงใช้วิธีเปิดรับสมัครผู้มีความสามารถจากทั่วสารทิศ เพื่อเห็นแก่ใต้เท้าโจวมู่ ข้าจึงได้มาเข้าร่วมการคัดเลือกที่จิงโจวนี้”

 

 

 “เจ้า...” ไช่เม่าเบิกตากว้าง

 

 

 “เจ้าพูดถูก เดิมทีข้าต้องการคนที่มีความสามารถนั้นมาตลอด การให้รางวัลและบทลงโทษถูกแบ่งแยกอย่างชัดเจน มิเช่นนั้น การเปิดรับสมัครผู้มีความสามารถจะมิอาจจัดขึ้นได้ เพื่อให้ได้ผู้ที่เหมาะสมที่สุด ไม่ว่าจะมีชาติกำเนิดเป็นอย่างไร ย่อมมิใช่เรื่องที่ต้องคำนึงถึง”

 

 

เล่าเปียวยิ้มและพูดขัดจังหวะไช่เม่าขึ้นว่า  “ข้าตกลงตามคำที่เจ้าขอ หากเจ้าสามารถจัดการปราบโจรกบฏโพกผ้าเหลืองได้ภายในสามเดือน ข้าสัญญาว่าจะแต่งตั้งให้เจ้าเป็นเจ้าเมืองหนานหยางแน่นอน”

 

 “ขอบพระคุณใต้เท้า โปรดรอรับข่าวดีจากผู้น้อย” ซูเจ๋อโค้งคำนับอย่างมั่นใจ

 

 

ไช่เม่าขมวดคิ้ว ดวงตามีความไม่พอใจกับการตัดสินใจของเล่าเปียว แต่ยามนี้มิสะดวกที่จะคัดค้านต่อหน้าผู้คนได้ จึงได้แต่มองดูเล่าเปียวมอบสุราและพูดให้กำลังใจกับนายอำเภอคนใหม่ที่เพิ่งได้รับการแต่งตั้งอย่างจนใจ หลังจากสั่งการมอบหมายงานและส่งพวกเขาเสร็จเรียบร้อย

 

 

ยามนี้ ไช่เม่าโน้มตัวไปข้างหน้า พลางลดเสียงของเขาลง  “ใต้เท้า ซูเจ๋อผู้นี้หยิ่งยโสนัก กล้าร้องขอตำแหน่งกับท่านอย่างเปิดเผย เหตุใดใต้เท้าไม่ลงโทษเขา หากแต่ยอมทำตามที่เขาขอด้วยขอรับ”

 

 

 “ในการคัดเลือกวันนี้ เจ้าก็เห็นความสามารถของซูจื่อหมิงแล้วมิใช่หรือ ว่าเก่งกาจโดดเด่นกว่าใคร หากข้าตัดสินลงโทษเขา ข้าก็จะถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าทางการให้ความสำคัญกับผู้ที่มีชาติกำเนิดดี แทนที่จะเห็นแก่ความสามารถที่แท้จริงและจากการศึกษาเรียนรู้ของคนผู้นั้น” เล่าเปียวกล่าวถึงความลำบากใจของตนดังนี้

 

 

ไช่เม่าจึงมิอาจเอ่ยขัดออกมาแม้เพียงคำพูดเดียว

 

 

กระนั้น เล่าเปียวก็มีรอยยิ้มเป็นนัยบนใบหน้าของเขา เขาลูบเคราแล้วพูดว่า “มิใช่ว่าเจ้ากลัวว่าเขาจะสามารถปราบโจรกบฎโพกผ้าเหลืองได้ภายในสามเดือนจริงๆ อย่างนั้นหรือ?”

 

 

ไช่เม่าตะลึง จู่ๆ ก็นึกขึ้นได้ มุมปากจึงปรากฏรอยยิ้มเยาะเย้ยขึ้น

 

 

หลังจากคลายข้อสงสัยของไช่เม่าแล้ว เล่าเปียวจึงได้มองตามร่างที่หายไปของซูเจ๋อ และถอนใจอีกครั้ง ”ซูจื่อหมิงผู้นี้ ช่างมีความสามารถเฉพาะตัวจริงๆ น่าเสียที่มาจากครอบครัวที่ยากไร้ น่าเสียดาย น่าเสียดายจริงๆ...”

 

……

 

 

หลังจากออกจากสนามรับสมัครแล้ว ซูเจ๋อก็กระโดดขึ้นเกวียนลา กำลังจะออกเดินทาง

 

 

“จื่อหมิงโปรดรอสักครู่” เสียงของซือหม่าฮุยดังขึ้นด้านหลังเขา

 

 

ซูเจ๋อหันกลับไป เห็นว่าเป็นซือหม่าฮุยกำลังเดินมาหา เขาจึงรีบกระโดดลงจากเกวียนลาแล้วโค้งคำนับ
“เพื่อหลีกเลี่ยงคำครหา ศิษย์จึงมิได้เข้าพบท่านอาจารย์ ขอท่านอาจารย์ได้โปรดยกโทษให้ศิษย์ด้วยขอรับ”

 

 

“มิได้ ข้าเข้าใจความลำบากใจของเจ้า” ซือหม่าฮุยยิ้มกว้าง ช่วยพยุงตัวเขาขึ้นมา แต่ใบหน้ายังคงมีความกังวลขณะพูดว่า “จื่อหมิงเอ่ย การคัดเลือกวันนี้ เห็นได้ชัดว่าหลิวจิงโจวและไช่เม่าจงใจทำให้เจ้าอับอาย บังคับให้เจ้าถอนตัว เจ้ารู้หรือไม่ว่าการไปเป็นนายอำเภอที่ปี่หยางอันตรายอย่างยิ่ง ใยเจ้ายังจะเอาตัวเองไปเสี่ยงด้วยเล่า?”

 

 

ซูเจ๋อถอนหายใจเบาๆ และยิ้มเจื่อนขณะตอบกลับ  “หากศิษย์เป็นดั่งเช่นหวงเซ่อ ถือกำเนิดมาพร้อมกุญแจทองคำ เหตุใดจะกล้าเสี่ยงเช่นนี้ ศิษย์มิได้มีทางให้เลือกมากนัก หากไม่ฉวยโอกาสนี้ไว้ ด้วยภูมิหลังของศิษย์ มิรู้ว่าต้องรอถึงเมื่อใดที่จะมีโอกาสแสดงความสามารถออกมา”

 

 

ซือหม่าฮุยเงียบไปชั่วครู่ เขาถอนหายใจแล้วพูดว่า  “ในฐานะอาจารย์ ข้าเข้าใจความลำบากของเจ้าเป็นอย่างดี  ข้าพยายามอย่างดีที่สุดที่จะแนะนำเจ้าให้รู้จักกับหลิวจิงโจว แต่น่าเสียดายที่หลิวจิงโจวพึ่งพาสี่ตระกูลใหญ่นั้นมากเกินไป อย่าว่าแต่เจ้าเลย แม้แต่ตระกูลอื่นที่ด้อยกว่าก็ยังไม่ถูกเลือก”

 

 

“โจรเฒ่าเจ้าเล่ห์อย่างเล่าเปียว เขารู้เรื่องนี้ดี จึงมิได้แปลกใจอะไร”

 

 

เมื่ออยู่ต่อหน้าซือหม่าฮุย ในที่สุดซูเจ๋อก็แสดงความเย้ยหยันต่อเล่าเปียวออกมา แต่ตัวเขานั้นรู้ว่าเวลาไหนควรพูด เวลาไหนมิควรพูด จึงได้แอบสังเกตซ้ายและขวา เมื่อเห็นว่าไม่มีใคร เขาจึงลดเสียงพูดเบาลงที่สุดเท่าที่จะทำได้

 

 

 “จื่อหมิง เจ้ากล้าเกินไปจริงๆ” ใบหน้าของซือหม่าฮุยเปลี่ยนไป ดวงตาปรากฏแววประหลาดใจเล็กน้อย

 

 

“ขอท่านอาจารย์อย่าเอะอะไป” ซูเจ๋อเยาะเย้ยและถามว่า  “ท่านอาจารย์คิดว่าศิษย์เสี่ยงที่จะเป็นนายอำเภอ จากนั้นขอให้เล่าเปียวสัญญาว่าจะให้รางวัลด้วยการเลื่อนขั้นเป็นเจ้าเมือง คิดว่าศิษย์จะทำการณ์ไม่สำเร็จ ทำให้เล่าเปียสมหวังอย่างนั้นหรือ?”

 

 

ร่างของซือหม่าฮุยสั่นไหวในทันที ความประหลาดใจปรากฏขึ้นในดวงตาเขาอย่างคาดไม่ถึง เขามองศิษย์ที่เขาภาคภูมิใจที่สุดตรงหน้าใหม่อีกครั้งด้วยหัวใจพองโต ดื่มด่ำกับความหมายที่แอบแฝงของเขา

 

 

อาจารย์และลูกศิษย์มองหน้ากันครู่หนึ่ง ความตกใจบนใบหน้าของซือหม่าฮุยคลายลง พลันถูกแทนที่ด้วยรอยยิ้มโล่งใจ

 

 

เขาเข้าใจความนัยนั้นของซูเจ๋อ

 

 

สิ่งที่ลูกศิษย์ที่เขาภาคภูมิใจทำ ก็แค่ใช้ประโยชน์จากเล่าเปียว ใช้โอกาสนี้สร้างชื่อเสียงให้เลื่องลือระบือไกลไปทั่วหล้า เพื่อเตรียมปูทางไว้สำหรับตนเองในอนาคต

 

 

ตอนนี้ซือหม่าฮุยหัวเราะฮ่าฮ่าและพูดว่า  “ดี ดีมาก หากเจ้ามีความทะเยอทะยานเช่นนี้ ข้าดูคนมิผิด ในที่สุดเจ้าก็เป็นดั่งฉายามังกรหลับ สมกับที่ข้าเคยมอบฉายานี้ให้เจ้าไว้! เจ้าไปเถอะ ทำใจให้สบาย มิต้องกังวล จงไปหน้าที่ของตัวเองให้ดี เพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ อาจารย์อย่างข้าอยู่ที่นี่ จะพยายามช่วยเหลือเจ้าอย่างเต็มที่”

 

 

 “ศิษย์ขอบพระคุณท่านอาจารย์เป็นอย่างยิ่ง” ซูเจ๋อแสดงความขอบคุณและโค้งคำนับอย่างซาบซึ้ง

 

 

อาจารย์และศิษย์ทั้งสองเข้าใจจิตใจของกันและกันเป็นอย่างดี จากนั้นซูเจ๋อก็ไม่ปล่อยให้เวลาเสียเปล่า เขารีบออกเดินทางไปปี่หยางในทันที

 

 

ซูเซี๋ยวเสี่ยวลงแส้ของนางเล็กน้อย เกวียนลาก็แล่นดังเอี๊ยดอ๊าดกลับไปตามถนนสายเดิม ออกไปไม่ถึงสิบก้าว ก็มีเสียงกีบม้าวิ่งทะยานตามมาอยู่ข้างหลัง

 

 

หวงเซ่อที่ขี่ม้าไล่ตามมาลดความเร็วลง ก้มลงมองซูเจ๋อด้วยท่าทางที่เย้ยหยัน เขายิ้มเยาะและพูดว่า  “มิคาดคิดว่าน้องซูจะใฝ่สูงขนาดนี้ มิหวงชีวิตตนเอง ทำให้ข้าได้เปิดหูเปิดตานัก หวังว่าในมิกี่วันนี้ ข้าจะไม่ได้ยินข่าวร้ายของเจ้าว่าถูกพวกโจรกบฏโพกผ้าเหลืองตัดหัว มิอย่างนั้นข้าจะต้องเสียใจเป็นแน่แท้”

 

 

“ทำให้พี่หวงต้องเป็นห่วงแล้ว” ซูเจ๋อไม่โกรธ แต่ยิ้มและพูดเบาๆ ว่า “ข้าก็หวังว่าข้าจะได้เป็นเจ้าเมืองหนานหยางในภายภาคหน้าเช่นกัน หลังจากพี่หวงขึ้นสู่จุดสูงสุดแล้ว พี่หวงอย่าอายและอย่าโกรธ จนต้องลาออกเพื่อกลับบ้านเกิดเมืองนอนเสียล่ะ”

 

 

ในเวลานี้ ซูเจ๋อตั้งใจไว้แล้วว่าจะต้องฟาดให้หนัก คำพูดประชดประชันที่หวงเซ่อพูดมานั้น เขาจะขอตอบโต้กลับอย่างดุเดือด ไม่จำเป็นต้องทนเก็บความโกรธไว้อีกต่อไป

 

 

หวงเซ่อถูกตอกกลับจนเจ็บจุกอก เขาเจ็บใจจนกำแส้ที่อยู่ในมือแน่นโดยไม่รู้ตัว เขาแทบต้องการจะฟาดแส้ใส่ซูเจ๋อในตอนนั้นเลย แต่เนื่องด้วยมารยาท เขาจึงต้องกล้ำกลืนความรู้สึกนี้ลงไป

 

 

 “เจ้ามิเพียงต้องการเป็นเจ้าเมืองหนานหยาง ยังอยากเป็นหัวหน้าข้าด้วย ดี ยอดเยี่ยม ข้าจะนั่งดูการแสดงของเจ้าอยู่ที่จี๋หยาง ฮ่าฮ่าฮ่า...”

 

 

หวงเซ่อหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง เขาไม่กล้าปะทะฝีปากกับซูเจ๋ออีกแล้ว จึงได้ควบม้าของเขาจากไป

 

 

 “หึ ภูมิใจอะไรนักหนา เมื่อถึงเวลาที่คุณชายทำการสำเร็จ แล้วก้ามข้ามไปเหยียบอยู่บนหัวเจ้า ข้าอยากรู้นัก ว่าเจ้าจะหัวเราะออกอีกไหม”

 

 

ซูเซี๋ยวเสี่ยวชี้ไล่หลังหวงเซ่อไป พรางแลบลิ้นทำหน้าบูดบึ้งอีกครั้ง

 

 

ซูเจ๋อยิ้ม ขณะกำลังจะขอให้นางบังคับเกวียนออกไป

 

 

ตอนนั้นเอง หญิงสาวที่มีลักษณะเหมือนสาวใช้ก็เดินเข้ามาทักทายเขาอย่างมีมารยาท แล้วกล่าวว่า  “คุณชายซู คุณหนูของข้ามีคำพูดสองสามประโยคอยากจะสนทนากับคุณชาย ขอเชิญคุณชายไปพบที่ใต้ต้นไม้เจ้าค่ะ”

 

 

ซูเจ๋อตกใจ เมื่อมองตามสายตาของสาวใช้ไป ก็เห็นที่ใต้ต้นไม้ห่างออกไปสิบก้าว มีเงาร่างที่งดงามกำลังยืนรอเขาอยู่ที่ใต้ร่มไม้

 

 

เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่ซูเซี๋ยวเสี่ยวขมวดคิ้วพร้อมรอยยิ้ม  ”คุณชาย ท่านจะรออะไรอยู่ คุณหนูท่านนั้นดูเหมือนจะงดงามมิเบา ยังไม่รีบไปอีก”

 

“ปากเล็กๆ ของเจ้าพูดอะไรไร้สาระ ระวังเถอะ กลับไปข้าจะใช้เข็มเย็บปากเจ้า” ซูเจ๋อมองค้อนนางแล้วกระโดดลงจากเกวียนลา แล้วเดินตามสาวใช้ไปที่ใต้ต้นไม

 

 

เมื่อเขาเดินเข้าไปใกล้ ก็เห็นใบหน้าที่งดงามของหญิงสาวในชุดสีเหลือง หัวใจของซูเจ๋ออดไม่ได้ที่จะคิดในใจ  “ เป็นอย่างที่ยัยเด็กผีคนนี้พูดไว้ไม่ผิด สวยจริงๆ แต่สาวสวยคนนี้ มาหาข้าทำไม นางจะมาไม้ไหนหนอ?”

 

 

ความคิดแล่นเข้ามาในหัวของเขา แต่ซูเจ๋อยังคงสงบนิ่ง พร้อมโค้งประสานมือเล็กน้อย  “มิทราบว่าคุณหนูท่านนี้ ต้องการพบผู้น้อย เรารู้จักกันมาก่อนหรือไม่?”

 

 

เมื่อหญิงสาวในชุดเหลืองเห็นซูเจ๋อมาถึง ใบหน้างดงามปรากฏรอยยิ้มราวกับดวงอาทิตย์อันแสนอบอุ่น ดวงตามีประกายดุจสายน้ำ ใบหน้ามีอาการคล้ายวิงเวียนเล็กน้อย ดูจะเขินอายหน่อยๆ

 

 

เมื่อเขาเปิดปากพูด รอยยิ้มของหญิงสาวในชุดเหลืองก็หายไปในทันที คิ้วของนางขมวด ดวงตาเต็มไปด้วยความตกใจ ถามกลับไปว่า “คุณชายซู ท่านพูดอะไร แม้แต่ข้า ท่านก็ยังไม่รู้จักแล้วหรือ?”

 

 

ซูเจ๋อตกใจ เมื่อได้ยินสิ่งที่นางหมายถึง ดูเหมือนว่านางจะเคยพบกับเจ้าของร่างนี้มาก่อน เขาเพิ่งสูญเสียความทรงจำส่วนนี้ไป

 

 

ในขณะที่เขากำลังใช้สมองพยายามสุดความสามารถ เพื่อระลึกถึงความทรงจำเกี่ยวกับหญิงสาวชุดเหลืองคนนี้ ทันใดนั้นชื่อหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในหัวของเขา

 

 

หวง เยว่ อิง !

 

 

“อา...ที่แท้ นางผู้นี้ก็คือคือหวงเยว่อิง ภรรยาของจูกัดเหลียง ในประวัติศาสตร์...”

 

 

ซูเจ๋อรู้สึกตัว จึงยิ้มอย่างขอโทษ  ”ที่แท้คือคุณหนูหวงนี่เอง เนื่องจากผู้น้อยเพิ่งตื่นฟื้นสติ สมองมีความผิดปกติบางอย่าง มีบางเรื่องที่มิอาจจดจำได้ ต้องขออภัยคุณหนูหวงที่ข้าจำคุณหนูมิได้ ดังนั้น ขอคุณหนูหวงโปรดยกโทษให้ข้าด้วยขอรับ”

 

 

“ที่แท้ก็เป็นผลจากการที่ท่านมีอาการความจำเสื่อมนั่นเอง มิน่าเล่า ข้าจึงได้คิดว่าท่านเปลี่ยนไปมาก”

 

 

หวงเยว่อิงถอนหายใจเงียบๆ ใบหน้าของนางปรากฎความเศร้าเล็กน้อย นางกัดริมฝีปากสีแดงสดของตน พร้อมกับลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะถามเสียงแผ่วเบาว่า  ”ท่านจำสัญญาที่ให้ไว้กับข้า ในป่าไผ่ของสำนักศึกษาลู่เหมินได้หรือไม่?”

 

 

รีวิวผู้อ่าน