px

เรื่อง : ข้ามีดาวเที่ยมในยุคสามก๊ก (นิยายแปล) ปลดล๊อคตอนฟรี 3 วัน 1 ตอน
ตอนที่ 5 ลูกผู้ชายฆ่าได้ หยามมิได้


ตอนที่ 5 ลูกผู้ชายฆ่าได้ หยามมิได้

 

นางหมายความว่าอย่างไร เขาเคยมีความสัมพันธ์กับนางหรือ?

 

เมื่อมองดูใบหน้าที่งดงามนั้น หัวใจของซูเจ๋อก็เต้นแรง แต่ถึงกระนั้นเขายังสะกดความตื่นเต้นไว้ได้

 

หญิงสาวที่อยู่ตรงหน้ามีใบหน้าที่งดงาม ล้วนมีลักษณะเด่นของผู้ที่เกิดในตระกูลหวง แม้ว่าหวงเซ่อคือคนในตระกูลหลัก ส่วนหวงเยว่อิงคือเครือญาติอีกสายของตระกูลหวง แต่ก็เป็นตระกูลเดียวกัน กล่าวได้ว่า หวงเยว่อิงเป็นลูกพี่ลูกน้องกับหวงเซ่อ

 

ตอนนี้ซูเจ๋อทำให้หวงเซ่อโกรธ แม้ว่าเขาจะเคยข้องเกี่ยวกับหวงเยว่อิงมาก่อน แต่ในยามนี้เขากลับจำไม่ได้ ก่อนจะรู้สถานะที่แท้จริงระหว่างเขากับหวงเยว่อิง เขาคงต้องรักษาระยะห่างกับนางเอาไว้ก่อน

 

ซูเจ๋อขอโทษและยิ้มคล้ายละอายใจ  “ข้ารู้สึกละอายใจยิ่งนัก ข้าจำมิได้จริงๆ คุณหนูหวงบอกข้าได้หรือไม่ ว่าสัญญาระหว่างท่านกับข้าคือเรื่องใดกัน?”

 

 “พวกเรา...”

 

หวงเยว่อิงกำลังจะหลุดปากบอกความจริงออกมา  พลันถ้อยคำกลับยังคงติดอยู่ที่ริมฝีปาก นางถอนหายใจเบาๆ แล้วกล่าวตัดบทว่า “ไม่มีอะไรมาก ในเมื่อท่านลืมไปแล้ว มันจึงไร้ความหมาย”

 

 “เมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าต้องรีบกลับบ้านเพื่อเตรียมตัวไปปี่หยางเพื่อรับตำแหน่ง ผู้น้อยของตัวลา” ซูเจ๋อกล่าวลาอย่างสุภาพแล้วหันหลังไป

 

 

 “คุณชายซู รอสักครู่” หวงเยว่อิงขอให้เขาอยู่ต่อ

 

ซูเจ๋อหันกลับมาและถามว่า “คุณหนูหวงมีสิ่งใดจะกล่าวอีกหรือ?”

 

หวงเยว่อิงลังเลอยู่ครู่หนึ่งและพูดว่า “เยว่อิงมีคำขอที่อาจมิสมควร ได้โปรดอย่าใจร้อน มิทราบว่าคุณชายพอจะรับฟังได้หรือไม่ ”

 

 “คำขอที่อาจมิสมควร ?” ดวงตาของซูเจ๋อหมิงปรากฏแววสงสัย แต่เขาก็พูดว่า “คำขอที่อาจมิสมควร หากไม่เกินกว่าสิ่งที่ข้าจักทำได้ ข้าก็ยินดีตกลง คุณหนูหวงเชิญกล่าวมาก่อนเถิด”

 

 “หวงเยว่อิงกัดริมฝีปากของนางเบาๆ พูดด้วยน้ำเสียงอ้อนอวน  “ท่าน...ท่านไม่ไปรับตำแหน่งนายอำเภอปี่หยางได้หรือไม่?”

 

 “เพราะเหตุใด?” ซูเจ๋อถามกลับ

 

หวงเยว่อิงกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม  “ทุกคนต่างก็รู้ว่าโจรกบฏโพกผ้าเหลืองกำลังกำแหงอย่างหนักในปี่หยาง  เยวี๋ยนซูส่งเจ้าเมืองไปสองคน พวกเขาทั้งคู่ถูกโจรกบฏโพกผ้าเหลืองฆ่า สถานที่อันตรายเช่นนั้น เหตุใดคุณชายซูจึงต้องเอาตนเองไปเสี่ยงอันตรายด้วยเล่า”

 

 

“นายอำเภอสองคนก่อนถูกฆ่าตาย แต่มิได้หมายความว่าข้าจะถูกฆ่าตายเหมือนกันนี่ บางทีสองท่านนั้นอาจจะไร้ความสามารถก็เป็นได้” ซูเจ๋ออย่างคงยิ้มอย่างสงบ ใบหน้าหล่อเหลาของเขาเต็มไปด้วยความมั่นใจ

 

 

หวงเยว่อิงขมวดคิ้วแน่นพลางพูดว่า  “ข้ารู้ว่าคุณชายซูมีความสามารถมากเพียงใด ท่านสามารถทำนายได้ว่ากงซุนจ้านจะแพ้หยวนเส้า เยว่อิงขอชื่นชมจากใจจริง แต่ท้ายที่สุดมันก็เป็นเพียงแค่จดหมายรายงานสถานการร์การรบ ทว่าการไปเป็นนายอำเภอที่ปี่หยางต้องใช้การสั่งการทหาร ใช้ดาบและอาวุธจริงในการต่อสู้กับโจรกฎโพกผ้าเหลือง เยว่อิงขอพูดตามตรง ข้าคิดว่าข้าเข้าใจคุณชายซูดี ข้ากลัวคุณชายจะลำบาก”

 

 

คำพูดของหวงเยว่อิง แม้จะเป็นการดูถูกความสามารถของซูเจ๋อ แต่เขาฟังแล้วก็รู้สึกสะกิดอยู่ในใจ เขารับรู้ได้ว่านางเป็นห่วงความปลอดภัยของเขา

 

 

มันเป็นแค่ความตั้งใจจริงของเขา แต่ในตอนนี้ เขาไม่สามารถบอกความจริงกับนางได้

 

เขายิ้ม แล้วตอบกลับแผ่วเบาว่า  ”สิ่งที่คุณหนูหวงรู้อาจเป็นเพียงซูเจ๋อในปีนั้น หากแต่ซูเจ๋อในวันนี้ คุณหนูหวงอาจมิได้เข้าใจ เหตุใดท่านจึงคิดว่าซูเจ๋อในวันนี้ไม่สามารถนำทหารไปสู้รบได้เล่า?”

 

หวงเยว่อิงตะลึง ความกังวลปรากฏขึ้นบนใบหน้าสวยของนาง ดูเหมือนจะสงสัยว่าเหตุใดซูเจ๋อถึงได้มั่นใจในตัวเองมากนัก

 

ซูเจ๋อกล่าวว่า  “ก่อนหน้านี้ข้ามีข้อตกลงกับหลิวจิงโจวว่าถ้าปราบโจรกบฏโพกผ้าเหลืองได้ภายในสามเดือน เขาจะเลื่อนตำแหน่งให้ข้าเป็นเจ้าเมืองหนานหยาง หากคุณหนูยังสงสัยในความสามารถของข้า เหตุใดเราไม่มาเดิมพันกันบ้างเล่า”

 

 

“เดิมพัน?” หวงเยว่อิงตกใจ

 

 “พวกเรามาเดิมพันกัน ว่าข้าจะกำจัดโจรกบฏโพกผ้าเหลืองได้ภายในสามเดือนได้หรือไม่ ถ้าข้าชนะ คุณหนูหวงต้องเล่าสัญญาที่ท่านกล่าวถึงก่อนหน้านี้ ที่ท่านและข้ามีต่อกัน ท่านคิดว่าอย่างไร?”

 

ซูเจ๋อเพียงแค่ต้องการเว้นระยะห่างจากนางเท่านั้น เขารู้ว่านางกังวลเรื่องความปลอดภัยของเขา มันยิ่งทำให้เขาอยากรู้ว่าเขากับนางมีอะไรเกี่ยวข้องกัน 

 

ทันทีที่กล่าวถึงคำว่า “สัญญา” ใบหน้าของหวงเยว่อิงก็มีอาการวิงเวียนศีรษะเล็กน้อย แต่แล้วนางก็ถามว่า  “หากท่านแพ้เล่า?”

 

 

 “ถ้าข้าแพ้ แสดงว่าข้าตายตกภายใต้คมดาบของโจรกบฏโพกผ้าเหลือง ชีวิตข้าพ่ายแพ้ให้กับคุณหนูหวง การเดิมพันนี้ก็ถือว่าคุ้มค่ามากยิ่งนัก”

 

ระหว่างการพูดคุยและเสียงหัวเราะของซูเจ๋อ มักจะเจือไปด้วยความสุขุม ราวกับว่าเขาได้ขจัดความกังวลทั้งปวงจนหมด จนไม่เหลือความกลัวใด

 

หวงเยว่อิงสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด ในใจของนางรู้สึกตกใจมาก แววตาสดใสดั่งสายน้ำทอดมองชายหนุ่มหัวจรดเท้า นางไม่อยากจะเชื่อว่าซูเจ๋อที่อยู่ตรงหน้านี้ จะเป็นซูเจ๋อคนที่นางเคยรู้จัก

 

หลังจากหายใจเข้าลึกๆ นางพยายามสงบสติอารมณ์ หวงเยว่อิงจึงพยักหน้าอย่างเคร่งขรึมแล้วกล่าว  “ตกลง ข้าจะเดิมพันกับคุณชายซู”

 

 “ดี ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็ตกลงตามนี้ ซูเจ๋อขอลา”

 

คราวนี้ ซูเจ๋อก้าวเดินออกไปแล้วไม่หันหลังกลับ เขากระโดดกลับขึ้นไปบนเกวียนลา เสียงระฆังทองแดงดังขึ้น เกวียนลาก็เคลื่อนออกไป

 

หวงเยว่อิงยืนอยู่ข้างถนน มองดูร่างชายหนุ่มที่นอนเอนกายอยู่บนเกวียนลาฮัมเพลงเบาๆ ในปาก ดวงตาที่สดใสส่องประกายหากแต่ดูซับซ้อน

 

……

 

 

ในตอนเย็น ซูเจ๋อกลับมาที่จวนตระกูลซู ที่อยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของเซียงหยาง

 

แม้จะบอกว่ามันคือจวน แต่อันที่จริงมีเพียงเรือนห้าหรือหกหลังตั้งอยู่ภายใน จวนของเขาเป็นเพียงจวนหลังเล็กๆ ที่มีลานกลางบ้านเดินได้แค่เจ็ดแปดเก้าเท่านั้น

 

สิ่งแรกที่ซูเจ๋อทำเมื่อกลับถึงจวน ก็คือให้ซูเจ๋อนับเงินทั้งหมดที่มีอยู่ในจวน

 

เขากำลังไปปี่หยางเพื่อแก้ปัญหาโจรกบฏโพกผ้าเหลือง ถ้าไม่มีทหารอยู่ในมือ แม้จะสามารถเกณฑ์ทหารท้องถิ่นได้ อย่างไรก็ต้องมีทหารส่วนตัวที่ภักดี มิฉะนั้นการที่เขาไปปี่หยางคนเดียวเพียงลำพัง เกรงว่าคงยังไม่ทันขึ้นนั่งบริหารเมืองก็อาจโดนโจรปล้นกลางทางเสียก่อนแล้ว

 

 “คุณชาย นับแล้ว ในบ้านมีเหรียญทองคำ เหรียญเงิน และของมีค่าที่สามารถขายได้ เช่น ผ้าไหม รวมแล้วน่าจะได้หนึ่งหมื่นตำลึง” ซูเซี๋ยวเสี่ยวหยิบลูกคิดแล้วรายงานซูเจ๋อ

 

 “แค่หนึ่งหมื่นตำลึงเองรึ ครอบครัวเรายากจนเช่นนี้เชียวหรือนี่?” ซูเจ๋อขมวดคิ้ว

 

ปากเล็กๆ ของซูเซี๋ยวเสี่ยวเม้นอย่างเศร้าใจ  “ตอนที่คุณชายป่วยหนักอยู่สองสามปีนั้น อาศัยค่าเช่าน่าที่ไม่สมบูรณ์หลายสิบหมู่และบ่อเลี้ยงปลาสองบ่อ ถ้าไม่ใช่เพราะข้าวางแผนไว้อย่างรอบคอบ กินอยู่อย่างประหยัด และยังมีเงินช่วยเหลือจากสุ่ยจิ้งเซียนเชิงและลุงรองมาจุนเจือช่วยเหลือ ตระกูลของเราคงมิอาจอยู่มาจนถึงทุกวันนี้ได้”

 

 “ใช่ ต้องขอบคุณเจ้า ซูเซี๋ยวเสี่ยวน้อยช่างมีคุณธรรมที่สุด ไว้คุณชายอย่างข้าก้าวหน้าเมื่อใด ข้าจะรับเจ้าไว้ให้ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายแน่นอน” ซูเจ๋อพูดพลางหัวเราะ

 

 “คุณชาย ท่านกำลังพูดถึงอะไร..” ใบหน้าของซูเซี๋ยวเสี่ยวเหมือนจะเวียนหัว นางบ่นเบาๆ แต่ดวงตาแอบแฝงไว้ด้วยความสุข

 

จากนั้นซูเจ๋อจึงถามว่า  “ถ้าอย่างนั้น เงินหนึ่งหมื่นตำลึงจะติดอาวุธให้ทหารเพื่อแต่งตั้งเป็นทหารส่วนตัวข้าได้กี่คน?”

 

ซูเซี๋ยวเสี่ยวนับนิ้วของนาง

 

ซูเจ๋อต้องยอมรับว่า ซูเซี๋ยวเสี่ยวเปรียบเหมือนสมบัติที่เจ้าของร่างเดิมทิ้งไว้ให้เขา บางที เขาอาจจะชอบศึกษาด้านพิชัยสงครามก่อนที่เขาจะเสียชีวิต ซูเซี๋ยวเสี่ยวรู้ดีกว่าเกราะชิ้นหนึ่งมีราคาเท่าไหร่ เงินที่ทหารหนึ่งคนจะใช้ในแต่ละเดือน แม้แต่ราคาของม้าศึกที่มีรายละเอียดนางก็เข้าใจเป็นอย่างดี ซึ่งช่วยให้เขาประหยัดเวลาใช้สมองไปได้มาก

 

นางคำนวณอยู่ครู่หนึ่ง แล้วชูสองนิ้วเรียวขึ้น

 

“สองร้อย?” ดวงตาของซูเจ๋อเป็นประกาย ถ้าเขาสามารถจ้างทหารส่วนตัวจำนวนมากขนาดนี้ เขาก็สามารถไปรับตำแหน่งที่ปี่หยางได้อย่างมั่นใจ

 

 “วาดฝันซะสวยหรูเลยนะคุณชาย!” ซูเซี๋ยวเสี่ยวพ่นลมหายใจออก ”แค่ยี่สิบคนเจ้าค่ะ”

 

แค่ยี่สิบคน !

 

หัวใจของซูเจ๋อชาวูบทันที

 

ยี่สิบคนนี้ช่างน้อยนิด ช่างน่าสงสารนัก เอาไปสู้กับพวกโจรกบฏโพกผ้าเหลืองที่ปี่หยาง กบฏพวกนั้นคงไม่แม้แต่จะเข็ดฟันเสียด้วยซ้ำ

 

ซูเจ๋อยืนขึ้น เคี้ยวถั่ว แล้วเดินวนไปวนมาที่หน้าห้องโถง ใช้สมาธิเงียบๆ

 

หลังจากนั้นไม่นาน ซูเจ๋อก็ถามว่า  “เซี๋ยวเสี่ยว เจ้าคำนวณให้ข้าทีว่าที่ดินของครอบครัวเราสิบกว่าหมู่บวกกับจวนหลังนี้ มีราคาเท่าใด?”

 

 

ซูเซี๋ยวเสี่ยวคำนวณอยู่ครู่หนึ่ง แล้วตอบว่า  "เมื่อรวมกันแล้ว จะมีอย่างน้อยหนึ่งแสนห้าหมื่นตำลึงเจ้าค่ะ”

 

 

“หนึ่งแสนห้าหมื่นตำลึง เช่นนั้นกล่าวคือข้าจะมีทหารส่วนตัวติดอาวุธอย่างน้อยหนึ่งร้อยห้าสิบนายสินะ” ดวงตาของซูเจ๋อเริ่มตื่นเต้นอีกครั้ง

 

ซูเซี๋ยวเสี่ยวตอบจบ ก็สะดุ้งพลางอุทานว่า  “คุณชาย ท่านคงไม่ได้วางแผนขายที่ดินและจวนหลังนี้นะเจ้าค่ะ นี่เป็นสมบัติที่บรรพบุรุษของตระกูลซูเหลือให้ท่านนะคุณชาย!”

 

ซูเจ๋อถอนหายใจ  “ในช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้ ตระกูลซูของเราเป็นเพียงครอบครัวเล็กๆ แม้ทรัพย์สมบัติเล็กๆ น้อยๆ ที่บรรพบุรุษทิ้งไว้ให้นี้ จะไม่ถูกทำลายจากสงคราม แต่ก็จะถูกกลืนกินโดยตระกูลใหญ่อย่างตระกูลหวง แทนที่จะให้เป็นเช่นนั้น มันจะดีกว่าถ้าเปลี่ยนมันเป็นเงิน แทนที่จะปล่อยให้ไปหลุดมือไปโดยเปล่าประโยชน์เช่นนั้น”

 

ซูเซี๋ยวเสี่ยวสงบสติอารมณ์ลง แล้วถอนหายใจ  “คุณชายก็มีเหตุผลเช่นกัน แต่ที่ดินสามารถขายได้ ส่วนจวนของบรรพบุรุษหลังนี้ ลองปรึกษาลุงรองก่อนดีไหมเจ้าคะ”

 

 

ลุงรองที่นางหมายถึง ชื่อว่าซูเฟย เป็นลุงของซูเจ๋อ

 

ในปีนั้น พ่อของซูเจ๋อได้รับมรดกของตระกูลซูและได้เป็นหัวหน้าตระกูลซู หลังจากที่ครอบครัวซูเฟย ลุงของเขาย้ายออกไปจากจวนของบรรพบุรุษในช่วงปีแรก  เช่นนั้นการขายจวนของบรรพบุรุษเป็นเรื่องใหญ่ ที่ต้องผ่านความเห็นชอบจากซูเฟยเป็นคนแรก

 

เมื่อพูดถึงซูเฟย ดวงตาของซูเจ๋อก็เป็นประกาย เขาพูดอย่างมีความสุขว่า  “เจ้าพูดถูก เรื่องนี้ต้องปรึกษากับลุงรองก่อนจริงๆ ยิ่งกว่านั้นตอนนี้เขาอยู่ในกองทัพ ภายใต้สังกัดของหวงจู่ ถือได้ว่าเป็นผู้นำทหารคนหนึ่ง ถ้าสามารถเกลี้ยมกล่อมให้เขามาติดตามข้าได้  ข้ามั่นใจมากว่าจะสามารถปราบโจรกบฏโพกผ้าเหลืองได้อย่างแน่นอน”

 

ซูเจ๋อไม่ลังเล และขอให้ซูเซี๋ยวเสี่ยวเตรียมเกวียนลาและตรงไปที่บ้านของซูเฟย ซึ่งอยู่ห่างออกไปห้าลี้

 

ในตอนกลางคืน ซูเจ๋อรีบไปที่บ้านของซูเฟย แต่มันเป็นเพียงเรือนเล็กๆ ในจวนที่มีเรือนไม่กี่หลัง

 

เขาเคาะประตูแล้วแจ้งชื่อ ประตูลานบ้านเปิดออก ป้าเฉินภรรยาของลุงรองเป็นคนออกมาทักทาย

 

 

“จื่อหมิงอา...เจ้ามาพอดีเลย รีบมาดูลุงรองของเจ้าเร็วเถิด ฮึก ฮือ” เขาได้มาพบป้าเฉินที่กำลังร้องไห้ ดูเหมือนจะมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นเข้าแล้ว

 

 

ซูเจ๋อประหลาดใจ แล้วรีบก้าวเข้าไปในห้องด้านใน เขาก็พบซูเฟยนอนอยู่บนเก้าอี้ยาวร้องโอดครวญอยู่ตลอดเวลา หลังเปล่าเปลือยเต็มไปด้วยผ้าพันแผลหลายชั้นที่เปื้อนไปด้วยเลือด

 

 

“ลุงรอง เกิดอะไรขึ้นกับท่าน? เหตุใดจึงบาดเจ็บขนาดนี้?” ซูเจ๋อก้าวไปข้างหน้า ถามด้วยความเป็นห่วง

 

ซูเฟยตัวสั่นพยายามหันตัวมา เมื่อมองเห็นซูเจ๋อ ทำได้แค่สายหัวแล้วถอนหายใจ ไม่รู้จะพูดอย่างไร

 

ป้าเฉินร้องไห้อยู่ข้างๆ เขา เล่าว่าซูเฟยไปที่ค่ายทหารในตอนเช้าเพื่อทำธุระ คาดไม่ถึงว่าจะถูกหวงจู่อ้างเรื่องมาสาย สั่งทำโทษเขาด้วยการโบยยี่สิบที แล้วขับไล่เขาออกจากค่ายทหาร

 

ซูเจ๋อขมวดคิ้วทันที เขากำหมัดและสาปแช่ง  “บ้าจริง ข้าไม่คิดว่าตระกูลหวงจะแก้แค้นส่วนตัวรวดเร็วอย่างนี้ ทั้งยังดึงลุงรองเข้ามาเกี่ยวข้องอีก !”

 

“จื่อหมิง เจ้าหมายความอย่างไร เหตุใดตระกูลหวงต้องแก้แค้นส่วนตัว?” ซูเฟยที่นอนอยู่บนเก้าอี้ยาวมองดูเขาอย่างงุนงง

 

 

“ลุงรอง ครั้งนี้ที่ท่านได้รับความทุกข์ ได้รับบาดเจ็บ ต้องเดือดร้อนนั่นเพราะมีสาเหตุใหญ่มาจากข้า”

 

ซูเจ๋อถอนใจเล็กน้อย จากนั้นเขาก็อธิบายว่า ครั้งนี้เขาไปสมัครคัดเลือกถูกหวงเซ่อยั่วยุและรังแก เขาคิดหาวิธีโต้กลับอย่างไรให้หวงเซ่อเสียหน้าต่อหน้าทุกคน คิดไม่ถึงว่าตระกูลหวงจะกลับมาคิดบัญชีกับซูเฟยแทน

 

หลังจากฟังเรื่องนี้จบ ซูเฟยก็ตระหนักได้ เขาอดกัดฟันและสาปแช่งไม่ได้ว่า  “ดี หวงจู่เป็นถึงหัวหน้าของสี่ตระกูลหลัก กลับมีจิตใจคับแคบยิ่งนัก ลูกชายของตัวเองเก่งสู้หลานชายข้าไม่ได้ กลับมาระบายความโกรธที่ข้าเพื่อแก้แค้นส่วนตัว เสียแรงที่ข้าซูเฟยเคยร่วมรบที่เซียนซานพร้อมกับเจ้า ช่วยเจ้าเข่นฆ่าข้าศึก เจ้ายังกล้าทำแบบนี้กับข้าอีก...”

 

ซูเฟยโกรธมาก จนไม่รู้จะพูดระบายความโกรธออกมาอย่างไรดี ได้แต่หอบด้วยความโกรธ ป้าเฉินตกใจรีบส่งน้ำเพื่อหเขาสงบลง

 

หลังจากพี่อารมณ์ของซูเฟยสงบลงเล็กน้อย ซูเจ๋อก็สูดหายใจเข้าลึกๆ และพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า  ”ลุงรอง ตระกูหวงเป็นใหญ่ในจิงเซียง นั่งบนหัวของพวกเรามานานเกินไปแล้ว วันนี้พวกเขาจงใจกลั่นแกล้งท่านแบบนี้ ทำให้ตระกูลซูของเราอับอาย ความแค้นนี้จะไม่ไร้ค่า! ขอเพียงท่านลุงติดตามข้าไป ข้าซูเจ๋อขอสัญญาว่าการกดขี่และความอัปยศอดสูที่ตระกูลหวงทำกับพวกเรา ไม่ช้าก็เร็ว ข้าจะให้พวกเขาต้องชดใช้คืนนับสิบเท่า!”

 

 

รีวิวผู้อ่าน