ตอนที่ 6 ความกลัวกำเริบ
ซูเฟยหอบหายใจถี่ขึ้น เขามองหลานชายของตนอย่างแปลกใจ ด้วยการแสดงออกที่แลดูเหลือเชื่อกับคำพูดของหลานชาย ดูเหมือนเขาไม่อยากเชื่อเลยว่าคำพูดที่ “กล้าหาญ” เช่นนี้จะออกจากปากของซูเจ๋อ
จากนั้นไม่นาน ซูเฟยก็กลับมามีสติดังเดิม เขากล่าวถามอย่างตะกุกตะกักว่า “จื่อหมิง เจ้าวางแผนจะทำอะไร...?”
ซูเจ๋ออธิบายแผนการและแผนสำรองของเขา ซูเฟยเป็นญาติทางสายเลือดเพียงคนเดียวที่เขาสามาถพึ่งพาได้ในโลกนี้ เขาจึงไม่จำเป็นต้องปิดบัง
เมื่อซูเฟยฟังแล้วมีสีหน้าตกใจมากขึ้นเรื่อยๆ และอ้าปากค้างครั้งแล้วครั้งเล่า
ใบหน้าป้าเฉินยิ่งตกใจกว่าใคร ก่อนที่ซูเฟยจะพูดจบ นางก็ตะโกนห้ามว่า “จื่อหมิง เจ้ากล้าเกินไปแล้ว ตระกูลหวงและตระกูลไช่ไม่ใช่ตระกูลที่เจ้าจะไปแตะต้องได้ ถ้าเจ้าจะไปปี่หยางเพื่อตายคนเดียวก็ไปเถอะ นี่ยังคิดจะพาลุงรองของเจ้าไปด้วย เจ้าจะฆ่าเขาด้วยหรืออย่างไร!”
ซูเจ๋อขมวดคิ้ว คำพูดของป้าเฉินฟังแล้วบีบคั้นความรู้สึกเขาจริงๆ ทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจและอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก
ซูเฟยแอบถลึงตาโตใส่ภรรยาของตน แต่นางกลับเมินเฉย แถมยังขยิบตาให้เขาเป็นเชิงบอกว่าไม่ให้เขาตอบรับ
“แค่ก แค่ก” ซูเฟยไอสองสามครั้ง เพื่อปิดบังความอับอายไว้ แล้วพูดด้วยใบหน้าขมขื่น ”จื่อหมิงเอ๋ย ป้าของเจ้าพูดแรงไปหน่อย แต่ที่นางพูดมาก็มีเหตุผล ถึงลุงจะเกลียดตระกูลหวง แต่ตระกูลหวงนั้นแข็งแกร่งเกินไป ลำพังเจ้ากับข้าจะทำอะไรได้ ยิ่งเทียบไม่ได้กับที่ปี่หย่าง นายอำเภอประจำเมืองนั้นถูกฆ่าตายติดกันไปถึงสองคน เจ้าคือความหวังเดียวของตระกูลซู เหตุใดถึงได้กล้าไปเสี่ยงเช่นนั้น ดูข้าตอนนี้ซิ ยังต้อง...ยังต้อง...”
เขาลังเลอยู่พักหนึ่ง จึงพูดออกไปสามคำอย่างไม่เต็มใจนักว่า “กล้ำกลืนไว้”
“หลานเข้าใจแล้ว”
ซูเจ๋อถอนหายใจอย่างผิดหวัง แล้วพูดเสียงแผ่วว่า ”ทุกคนล้วนมีปณิธานของตนเอง เมื่อลุงอยากใช้ชีวิตต่อไป หลานอย่างข้าก็ไม่อยากฝืนใจท่าน ข้าอยู่ปี่หยางเหมือนอยู่ในดงของเสือสิงห์กระทิงแรด ข้าซูเจ๋อจะไปคนเดียว ให้ถือเสียว่าเมื่อครู่ท่านไม่ได้ยินเรื่องที่ข้าพูด ข้ามาที่นี่แค่เพียงต้องการขายทรัพย์สินของบรรพบุรุษของข้ากับลุงเท่านั้น ขอให้ท่านลุงมีสุขภาพแข็งแรง หลานขออำลา”
พูดจบ ซูเจ๋อก็ลุกขึ้น
ซูเฟยกังวล เขาจึงลุกขึ้นทั้งที่ยังเจ็บอยู่ แล้วตะโกนเรียก “จื่อหมิง เจ้าคิดจะเป็นมดแดงเขย่าต้นไม้ คิดทำงานใหญ่ด้วยตนเองจริงหรือ?”
“ใต้หล้าวุ่นวาย ทุกอย่างไม่สามารถคาดเดาด้วยสามัญสำนึกได้อีกต่อไป ใช่ว่ามดแดงจะมิอาจเขย่าต้นไม้ได้ ขอให้ลุงรอดู” ซูเจ๋อมองกลับมาและยิ้ม อยากมีความหมายล้ำลึกแฝงอยู่ในคำพูด
ซูเฟยสะท้าน เหมือนคำพูดของซูเจ๋อแทงเข้าใจเขาโดยตรง ทำให้เขาได้สติในทันที
เขากัดฟันซ้ำๆ ชั่งน้ำหนักเรื่องนี้อีกครั้ง ครั้นซูเจ๋อก้าวพ้นธรณีประตู เขาก็ใจสลายกะทันหันจึงตะโกนว่า ”ช้าก่อน!”
ซูเจ๋อหันกลับมา มองลุงของเขาด้วยท่าทางเด็ดขาด
ซูเฟยไม่สนใจภรรยาของตนที่ยืนขวางอยู่ เขาฝืนตัวกระโดดลงจากเตียง ซูเฟยเดินกะเผลกมาด้านหน้าทีละก้าวแล้วตบบ่าหลานชาย พร้อมพูดเสียงที่เด็ดขาดว่า ”ลุงไม่มีลูก เจ้าคือทายาทเพียงคนเดียวในตระกูลซูของเรา ถ้าลุงต้องดูเจ้าตายเพียงลำพัง โดยไม่ทำอะไรเลย ลุงจะคู่ควรกับการเป็นลูกหลานตระกูลซูได้เยี่ยงไร ถ้ำเสือหลงถานในปี่หยางแห่งนี้ ให้ลุงของเจ้าร่วมสู้ไปกับเจ้าด้วยเถิด”
ตาของซูเจ๋เป็นประกาย เขาไม่คาดคิดเลยว่าผลจะเป็นเช่นนี้ ในขณะที่เขากำลังคิดว่าจะเข้าไปคุย ป้าเฉินก็พุ่งเข้าไปข้างหน้าอย่างบ้าคลั่งแล้วดึงตัวลุงของเขากลับมา
“เจ้าบ้าไปแล้วหรือไง? เจ้าโตแล้วนะ ไม่ใช่เด็กๆ หลานชายเจ้าเสียสติไปแล้ว เหตุใดเจ้าก็เสียสติตามเขาด้วย เจ้าไม่รู้หรืออย่างไร ว่าตระกูลหวงแข็งแกร่งเพียงไร? รู้หรือไม่ว่าปี่หยางอันตรายมากเพียงใด เจ้ารู้หรือไม่...”
ป้าเฉินดึงทึ้งซูเฟยต่อหน้าหลานชายของเขา แล้วดุด่าสามีของตนโดยไม่เห็นแก่หน้าซูเฟยเลยแม้แต่น้อย
ซูเจ๋อรู้ว่าป้าเฉินของเขาภายนอกดูเป็นคนอ่อนโยน แต่แท้จริงแล้วเป็นคนดุโมโหร้าย ลุงของเขากลัวภรรยาสมคำร่ำลือ มันจึงยากที่จะพูดอะไรในสถานการณ์นี้
หน้าผากของซูเฟยมีเหงื่อออกเพราะความอับอาย เขารีบอธิบายให้ภรรยาของตนฟังว่า ”เมียจ๋า อย่าเพิ่งโมโห ฟังข้าอธิบายก่อน...”
“ข้าไม่ฟัง ข้าไม่ฟัง !”
ป้าเฉินโบกมือขัดจังหวะเขา แล้วแผดเสียงว่า ”ถ้ากล้าไป ข้าจะกลับบ้านเกิดของข้าทันที ข้าจะไม่ไปตายกับเจ้า เจ้า...”
เพียะ !
ซูเฟยยกมือขึ้นแล้วตบหน้านางอย่างแรง เขาตบนางซ้ำๆ จนล้มลงข้างเตียง
ภายในห้องเงียบ ไร้เสียงใดๆ
ซูเจ๋ออ้าปากค้างด้วยความประหลาดใจ เขาไม่อยากจะเชื่อสายตาของตน ลุงของเขาที่มีชื่อเสียงเรื่องการกลัวภรรยาจนล่ำลือไปทั่ว แต่วันนี้เขาถึงกับตบหน้าภรรยาของตนเลยหรือ!
มือของซูเฟยสั่นระริก แววตาและสีหน้าดูเศร้าหมอง เขากัดฟัน แสร้งทำเป็นใจแข็ง ชี้ไปที่ป้าเฉิน แล้วตวาดเสียงเหี้ยม ”เจ้ามันผู้หญิงเลว ที่ผ่านมาข้าทำให้เจ้าเสียนิสัย เจ้ามันไร้ระเบียบจริงๆ ข้าจะบอกเจ้า จื่อหมิงเป็นทายาทเพียงผู้เดียวในตระกูลซูของข้า ข้าจะต้องต่อสู้เพื่อปกป้องเขา ถ้าเจ้าอยากกลับไปบ้านพ่อแม่เจ้าก็ออกไป ข้ากลัวแต่เจ้าไม่กล้า อย่ามาทำให้ข้ารำคาญ ข้าจะเซ็นหนังสือหย่าให้เจ้าก็ยังได้!”
ป้าเฉินหน้าแดงก่ำ มองสามีอย่างตกตะลึง นางไม่อยากเชื่อตาของตนเอง เพราะปกติไม่ว่านางจะพูดสิ่งใด เขาก็มักจะเชื่อฟังนาง เป็นสามีที่ไม่เคยพูดคำหยาบ ไม่แม้แต่จะตบตีภรรยาตยเอง แต่วันนี้เขากลับทำตรงกันข้ามและยังกล้าตะโกนขู่จะเลิกลากับนางอีก
นางตะลึงอยู่กับที่ น้ำตารินไหลจากดวงตาของนาง หัวใจของนางหวาดกลัวจนไม่กล้าพูดอะไร
ดูเหมือนฉากนี้มันก็จะอ้ำอึ้งไปหน่อย
ซูเจ๋อกระแอมไอออกมาแล้วกระซิบว่า “ท่านลุง ท่านป้าเพียงแค่กลัวจะสูญเสียท่านไป ซึ่งเข้าใจได้ ไปปี่หยางครั้งนี้เสี่ยงอัตรายยิ่งนัก ท่านลุงโปรดพิจารณาให้ถี่ถ้วนก่อนตัดสินใจ ท่านมิต้องฝืนใจ”
“จื่อหมิง เจ้าไม่จำเป็นต้องพูดอะไรอีกแล้ว” ซูเฟยตบบ่าเขาอีกครั้งด้วยใบหน้าที่มุ่งมั่น ลุงเพิ่งบอกว่า เจ้าเป็นทายาทเพียงคนเดียวของตระกูลซู แม้จะเป็นทะเลแห่งดาบและเปลวเพลิง ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยภัยอันตรายแค่ไหน ลุงก็ต้องปกป้องเจ้า นี่เป็นหน้าที่และความรับผิดชอบของลุง!”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ซูเจ๋อรู้ว่าเขาได้ตัดสินใจแล้ว เจ้าตัวจึงแอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก เขาโบกมือแล้วพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า ”ท่านลุงสบายใจได้ ซูเจ๋อสาบานกับท่านที่นี่ว่าจะไม่ทำให้ท่านผิดหวัง วันหนึ่งข้าจะทำให้ยักษ์ใหญ่อย่างตระกูลหวงต้องคุกเข่าลงต่อหน้าตระกูลซูของข้า”
ซูเฟยยังไม่ถึงขั้นบ้าเลือด เขาเพียงแค่ยิ้มเจื่อนแล้วพูดว่า ”ไม่เป็นไร อย่าเพิ่งรีบพูดคำพวกนี้ กลับไปเตรียมตัวก่อนดีกว่า ลุงจะไปรวบรวมเงินให้เจ้าสักหน่อย ดูว่าจะสามารถเกณฑ์ทหารได้มากเท่าที่เป็นไปได้หรือไม่ เพราะลุงเองก็ยังไม่อยากตาย”
ซูเจ๋อยิ้มอย่างช่วยไม่ได้
จากนั้น ทั้งสองลุงหลานก็บรรลุข้อตกลงร่วมกัน ก่อนที่ซูเจ๋อจะจากไป
ทันทีที่เขาเดินออกไปถึงด้านหน้า ซูเฟยก็ถอนหายใจยาว รีบวิ่งไปด้านข้างนางเฉิน ถามด้วยสีหน้าสำนึกผิด ”เจ้า... เจ้าเจ็บหน้าหรือไม่ เมื่อกี้ข้าลงมือหนักไปหน่อย ขอโทษด้วยนะ”
นางเฉินจึงเพิ่งรู้สึกตัวอีกครั้ง น้ำตาของนางร่วงดั่งเขื่อนแตก นางทรุดตัวลงกับพื้น ร้องไห้ฟูมฟาย ปากก็โวยวายว่า ”เจ้ากล้าดียังไงมาตบตีข้า! ข้าไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้ว! ข้าอยากตาย! เอาเชือกมาให้ข้า ข้าจะแขวนคอตัวเอง...”
“ไอ้หยา อย่าทำแบบนี้เลย เจ้าอย่าคิดมาก ข้าผิดไปแล้ว จะให้ข้าทำยังไง ให้ข้าคุกเข่าเพื่อเจ้าก็ย่อมได้...”
ที่ด้านนอกประตู
ซูเจ๋อฟังคำอ้วนวอนขอความเมตตาในห้อง ก็ทำได้แค่ส่ายหัวและหัวเราะให้กับความกลัวภรรยาของลุง
“คุณชาย ลุงรองเห็นด้วยไหมเจ้าคะ?” ซูเซี๋ยวเสี่ยวที่รออยู่ข้างนอกก้าวออกมา นางอดใจรอที่จะถามไม่ได้
ซูเจ๋อพยักหน้ายิ้มแล้วพูดว่า “ลุงรองไม่เพียงแต่ตกลงให้ข้าขายทรัพย์สมบัติของบรรพบุรุษเท่านั้น ทั้งยังสัญญาว่าจะตามข้าไปปี่หยางเพื่อช่วยข้าเป็นการส่วนตัวด้วย”
“จริงหรือเจ้าคะ!?”
ซูเซี๋ยวเสี่ยวกระโดดขึ้นอย่างตื่นเต้น พลางถอนหายใจ ”ข้าคิดว่าตอนแรกลุงรองจะขี้ขลาดและหวาดกลัว แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะกล้าหาญขนาดนี้”
“ลุงรองก็ไม่มีทางเลือกนักหรอก” ซูเจ๋อถอนหายใจคล้ายจะตำหนิตัวเอง “ใครใช้ให้คุณชายอย่างข้าเป็นทายาทเพียงคนเดียวของตระกูลซูเล่า? ถึงลุงรองจะขี้ขลาดแค่ไหน ก็ทนนั่งมองข้าไปเสี่ยงตายเพียงลำพังไม่ได้หรอก”
ซูเซี๋ยวเสี่ยวตระหนักในทันที ทั้งยังถอนหายใจ แต่เมื่อได้ยินซูเฟยขอความเมตตาจากในห้อง นางจึงอดสงสัยไม่ได้ว่า “คุณชาย เกิดอะไรขึ้นด้านใน? เหตุใดเสียงเหมือนลุงรองกำลังจะคุกเข่าให้ป้าเฉินเล่า?”
“จะเกิดอะไรขึ้นได้อีก ปกติแล้วลุงรองของข้ามักจะมีอาการโรคกลัวภรรยากำเริบ” ซูเจ๋อถอนหายใจ
“อาการโรคกลัวภรรยา?”
ซูเซี๋ยวเสี่ยวกระพริบตาและถามอย่างไม่เข้าใจว่า “คุณชาย อาการโรคกลัวภรรยาคืออะไรเจ้าคะ?”
“อ้อ..ข้าลืมเอาถั่วออกมาด้วย คุณชายอย่างข้าเป็นคนตะกละ ต้องรีบกลับจวนเสียแล้วสิ” ซูเจ๋อหัวเราะฮ่าฮ่ากลบเกลื่อนเพื่อเปลี่ยนเรื่อง แล้วเดินจ้ำก้าวใหญ่ๆ ออกไป
“ให้มันได้อย่างนี้สิ คุณชายเริ่มพูดแปลกๆ อีกแล้ว...” ซูเซี๋ยวเสี่ยวพึมพำ แล้ววิ่งไล่ตามจนกระโปรงพริ้วไปตามแรงลม