ตอนที่ 8 ทุกคนตะลึง
“ไม่ทราบว่าสิ่งใดกันที่ทำให้พี่หวงมีความสุขได้มากเยี่ยงนี้” ซูเจ๋อรู้ดีว่าเขากำลังหัวเราะอะไร แต่ก็ยังแสร้งทำเป็นไม่รู้
หวงเซ่อหยุดหัวเราะแล้วกล่าวเชิงประชดกลับว่า “ถ้าเจ้าบอกว่าเป็นลมตะวันตกเฉียงใต้พัดมา ข้าก็อาจจะคิดว่าที่เจ้าคาดเดานั้นพอมีเหตุผลอยู่บ้าง แต่เจ้าดันเดาตรงกันข้ามว่าเป็นลมตะวันออกเฉียงใต้ ยามนี้เป็นช่วงเหมันต์ฤดูแล้ว มันจะเป็นลมตะวันออกเฉียงใต้ได้อย่างไรเล่า ข้าว่าน้องซู เจ้าก็นับว่าเป็นผู้ที่เกิดและเติบโตในจิงโจว เป็นไปได้หรือที่เจ้าจะไม่ทราบเรื่องง่ายดายเช่นนี้”
ทันทีที่หวงเซ่อพูดจบ เฉินจิ่วที่อยู่ด้านหลังถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความโล่งอก ตามมาด้วยรอยยิ้มเหยียดเย้ยหยัน
ซูเฟยและซูเซี๋ยวเสี่ยวขมวดคิ้วมองหน้ากัน ในใจพลันรู้สึกกระวนกระวายขึ้นมา ทั้งในมือยังเต็มไปด้วยหยาดเหงื่อ แต่เขาและนางทำได้เพียงแค่มองด้วยความกังวลใจเท่านั้น
หวงเยว่อิงอยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก นางได้ยินบทสนทนาของทั้งสองอย่างชัดเจน ใบหน้าที่งดงามใต้เงานั้นแอบกัดริมฝีปากจนแดงก่ำ พร้อมพึมพำขึ้นว่า “เหตุใดเขาจึงจำเรื่องธรรมดาเช่นนี้ไม่ได้ เป็นเพราะความจำเสื่อมหรือ? ไม่ดีแน่ ถ้าเขาต้องแพ้หวงเซ่อ หากไม่มีทหารและอาชา หากต้องไปรับตำแหน่งที่ปี่หยางเพียงลำพัง มิเท่ากับไปหาที่ตายหรือ โอ้...”
ภายใต้สายตาที่วิตกกังวลของทุกคน ซูเจ๋อยังคงมีท่าทีสงบเช่นเคย
เขาใช้ปลายนิ้วดีดถั่วเข้าปาก พลางพูดอย่างไม่จริงจังนักว่า ”สภาพอากาศคาดเดามิได้ แม้ตอนนี้จะเป็นเหมันต์ฤดู แต่ก็ใช่จะไม่มีลมตะวันออกเฉียงใต้ หวงเซ่อ ท่านอย่ายึดติดนักเลย
หวงเซ่อโดนประชดอีกครั้ง เขาตีหน้าบึ้ง ทำเสียงฮึดฮัดแล้วตอบกลับอย่างเย็นชาว่า “ยอดเยี่ยม เช่นนั้นข้าก็อยากจะดูเร็วๆ แล้วว่าจะมีลมพัดมาจากทิศตะวันออกเฉียงใต้อย่างที่เจ้าว่าข้าหรือไม่”
ท้ายที่สุด หวงเซ่อก็คร้านที่จะโต้เถียงกับซูเจ๋ออีก เขากระโดดลงจากหลังม้าแล้วขยิบตาให้กับเฉินจิ่วอย่างรู้กัน
เฉินจิ่วเข้าใจสายตานั้นในบัดดล จึงรีบสั่งให้ผู้ติดตามปูเสื่อบนพื้น แล้วขนของลงจากรถม้า ขึงผ้าขึ้นทำเป็นที่ร่มคล้ายกระโจมชั่วคราว
หวงเซ่อนั่งลง ยังไม่ทันเอื้อมมือออกมา เฉินจิ่วก็รินสุราใส่จอกส่งให้ทันที
หวงเซ่อดื่มด่ำกับสุราชั้นดี แล้วเหลือบมองซูเจ๋อเป็นครั้งคราว ด้วยสีหน้าและแววตา ราวกับนั่งรอดูซูเจ๋อทำเรื่องโง่งม
ปากเล็กๆ ของซูเซี๋ยวเสี่ยวเบะออกอย่างรังเกียจ นางแอบลอบด่าหวงเซ่อในใจ ”ฮึ ออกจากบ้านยังเอาเสื่อมาด้วย นึกว่ามาท่องเที่ยวหรืออย่างไร ”
ซูเฟยถอนหายใจ ปาดเหงื่อเย็นๆ บนหน้าผากของเขา ใบหน้าของเขานั้นเต็มไปด้วยความทุกข์ระทม
ซูเจ๋อยังคงสงบและดูผ่อนคลาย เขาดื่มสุราชั้นดีซึ่งเป็นสินค้าของเขาเอง บนใบหน้ายังแสดงออกถึงความมั่นใจในตัวเอง ว่าไม่มีทางขายหน้าแน่นอน
เวลาผ่านไปแต่ละวินาที พริบตาเดียวก็ผ่ายเลยไป หนึ่ง เค่อแล้ว
ใบหน้าของหวงเซ่อแสดงออกอย่างชัดเจนว่าเขาจะต้องเป็นผู้ชนะการเดิมพันในครั้งนี้อย่างแน่นอน
จากนั้น เฉินจิ่วท้าทายซูเฟยอย่างดูหมิ่นเหยียดหยาม ซึ่งเห็นได้ชัดเจนผ่านดวงตาของเขา ราวกับเขาจะพูดว่า ข้าโบยเจ้าแล้วอย่างไรล่ะ เจ้ายังคิดที่จะพึ่งพาหลานชายผู้โอ้อวดเกินจริงผู้นี้ได้หรือ? ฝันไปเถอะ
ซูเฟยเหงื่อออกเต็มหน้า ไม่กล้าเผชิญหน้ากับสายตาถากถางของเฉินจิ่ว ไม่กล้าแม้แต่จะจินตนาการว่าหลังจากต้องสูญเสียกองกำลังทหารส่วนตัวอันล้ำค่าทั้งหนึ่งร้อยเจ็ดสิบนายนี้ไปแล้วจะเป็นอย่างไร พวกเขาจะรับมือกับอันตรายที่ปี่หยางอย่างไร
“เฮ้อ...”
ยิ่งคิดก็ยิ่งกังวล ซูเฟยจึงอดแอบถอนหายใจไม่ได้
พรึ่บ พรึ่บ พรึ่บ !
แต่ทันใดนั้น ธงผืนใหญ่ที่ปักอักษร “ซู” ซึ่งเดิมทีปักอยู่บนพื้นดินก็สะบัดพริ้วขึ้นมา
มีลมพัดมาแล้ว
ทุกคนเงยหน้าขึ้น ทุกสายตา ต่างพุ่งตรงไปที่ธงผืนใหญ่นั้นอย่างมิได้ตั้งใจ
มีเพียงซูเจ๋อเท่านั้น ที่ยังคงเคี้ยวถั่วปากอ้าโดยไม่ได้สนใจเลยว่าธงผืนใหญ่นั้นจะพัดไปทางใด
จากลมเอื่อยๆ เริ่มทวีความแรงขึ้นในชั่วพริบตา จากนั้นธงรบก็โบกสะบัดไปมาอย่างแรงส่งเสียงดังพรึ่บพรั่บ
ธงม้วนไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ
ลมจากตะวันออกเฉียงใต้ !
ตุ้บ! จอกสุราในมือหวงเซ่อหล่นลงพื้น ใบหน้าของเขาแลดูตกตะลึง เขาอ้าปากกว้างราวกับเห็นผี
“ลม...ตะวันออก ตะวันออกเฉียงใต้? เป็นไปได้...ได้อย่างไร?”
หวงเซ่อตกใจมากเสียจนตัวสั่น เสียงแหบแห้ง เฉินจิ่วนั้นกลับตกใจยิ่งกว่า เขาตกใจจนหน้ากลายเป็นสีม่วงคล้ำ พลางสัมผัสก้นตัวเองที่กำลังจะถูกโบยด้วยไม้โดยไม่รู้ตัว พลันเขาก็รู้สึกตื่นตระหนก ตัวสั่นระริก
ซูเซี๋ยวเสี่ยวตื่นเต้นมาก นางกระโดดโลดเต้นอย่างดีใจ พลางคว้าแขนซูเจ๋อแล้วตะโกนว่า ”คุณชาย ลมตะวันออกเฉียงใต้ ลมตะวันออกเฉียงใต้จริงๆ ท่านเป็นเทพเซียนโดยแท้!”
ซูเฟยถอนหายใจยาวอย่างโล่งอก สายตาที่เขาใช้มองดูซูเจ๋อจากความกังวลและสับสนได้แปรเปลี่ยนไปสู่ความตกใจและเหลือเชื่อ
จู่ๆ เขาก็รู้สึกคล้ายกับว่าเขานั้นไม่รู้จักหลานชายผู้ที่อยู่ตรงหน้าเขาผู้นี้เลย
หวงเยว่อิงที่ซ่อนตัวอยู่ในความมืดห่างออกไปไม่ไกลนัก กำลังจับเส้นผมดำขลับที่พลิ้วไหวตามแรงลม นางมองไปที่ซูเจ๋อด้วยดวงตาสดใส ไร้ความกังวล ในแววตาของนางยามนี้แลดูตกใจ และแฝงไปด้วยความหมายอื่น
หลังจากที่ถั่วเมล็ดสุดท้ายเข้าปากไป ซูเจ๋อพุ่งไปที่หวงเซ่อ กล่าวเชิงประชดประชัดว่า ”พี่หวง ผลแพ้ชนะได้ออกมาแล้ว ถึงเวลาที่ท่านต้องทำตามสัญญาเดิมพัน พี่หวงเป็นถึงคุณชายจากตระกูลใหญ่มั่งคั่ง ข้าเชื่อว่าท่านคงไม่กลับคำพูดที่ได้รับปากไว้”
หวงเซ่อตัวสั่นหน้าดำคร่ำเครียดด้วยความโมโห เขาแอบกัดฟัน ในแววตาเต็มไปด้วยความโกรธที่เกิดจากความอับอายอย่างที่สุด
หลังจากกล้ำกลืนความโกรธลงไปแล้ว เขาได้โบกแส้ของเขาแล้วตะโกนขึ้นว่า ”เฉินจิ่ว มอบทหารม้าห้าสิบนายให้เขา”
เฉินจิ่วผงะและกังวลจึงกล่าวอย่างร้อนใจว่า ”คุณชาย นั่นมันทหารม้าห้าสิบนายนะขอรับ หากใช้อย่างมีประโยชน์ มันจะช่วยเราได้มากโข มันคุ้มหรือที่จะเอาของดีไปแลกกันเจ้าเด็กอวดดีนั่น”
หวงเซ่อกล่าวอย่างเย็นชาว่า ”ก็แค่ทหารม้าห้าสิบนาย ในสายตาตระกูลหวงของข้าแล้ว ช่างน้อยนิด เปรียบไปก็เหมือนขนเส้นเดียวบนวัวเก้าตัว เจ้ารีบส่งคนไปแจ้งท่านพ่อ แล้วขอเพิ่มอีกห้าสิบนายเพื่อชดเชยที่เสียไป”
“แต่..คุณชาย...”
“แล้วเรื่องไร้สาระทั้งหมดนี้มันมาจากใคร เจ้าอยากให้คุณชายของเจ้าเป็นผู้ไร้สัจจะใช่หรือไม่!” หวงเซ่อรำคาญ จึงกล่าวขัดจังหวะการเกลี้ยกล่อมของเฉินจิ่ว
เฉินจิ่วผงะและไม่กล้ากล่าวอันใดอีก ดังนั้นเขาจึงส่งมอบทหารม้าห้าสิบนายให้กับซูเจ๋ออย่างไม่เต็มใจนัก
“พี่หวงช่างมีคุณธรรม ข้าขอขอบคุณพี่หวง” ซูเจ๋อยิ้มอย่างจริงใจแล้วกล่าวต่อ ”เพียงแต่ว่า ไม่ทราบว่าพี่หวงลืมไปแล้วหรือว่านอกจากทหารม้าห้าสิบนายแล้ว พี่หวงยังเหลือสิ่งเดิมพันอีกสิ่งหนึ่งอย่างด้วย”
ใบหน้าของหวงเซ่อเคร่งขรึมขึ้นมาอีกครั้ง เขาเงียบไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ
การเดิมพันที่ซูเจ๋อหมายถึงก็คือ ถ้าเขาแพ้จะต้องส่งตัวเฉินจิ่วให้ซูเจ๋อใช้ไม้โบยจำนวนสามสิบไม้
เฉินจิ่วเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของเขา หากปล่อยให้ซูเจ๋อทุบตีเขาได้ เขาจะเอาหน้าไปไว้ที่ใด เช่นนั้นความเลื่อมใสศรัทธาที่ทหารมีต่อเขาจะลดลงอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้
ขณะนั้น หวงเซ่อไม่รู้จะทำอย่างไรดี
ซูเจ๋อจึงพูดขึ้นว่า ”พี่หวงไม่พูด อย่างนั้นข้าจะเป็นคนทำแทนพี่หวงเอง ไม่รบกวนให้พี่หวงต้องลงมือ ข้าจะขอรับเดิมพันนี้เลยแล้วกัน”
พูดจบ ดวงตาของเขาก็ปรากฏแววเย็นเยียบขึ้นมา พลางตะโกนว่า ”ทหาร ลากเฉินจิ่วออกมาให้ข้า ดึงกางเกงเขาลง กดเขาลงกับพื้น แล้วก็รอคำสั่ง!”
คำสั่งออกไปแล้ว ทหารของตระกูลซูหลายคนพับแขนเสื้อขึ้นและรีบวิ่งขึ้นไปจับเฉินจิ่วมาจัดท่าทางตามที่ซูเจ๋อสั่งการ
เฉินจิ่วมีสีหน้าตกใจ เขาถึงกับชักดาบออกโดยไม่คิด แล้วตะโกนขู่ว่า ”ข้าอยากจะดูนักว่าใครกล้าแตะต้องข้า พวกเจ้าไม่อยากมีชีวิตรอดกันแล้วใช่หรือไม่!”
การชักดาบของเขาออกมาแบบนี้ ทำให้ทหารของตระกูลหวงนับพันที่อยู่รอบๆ ต่างหยิบอาวุธขึ้นมาทีละชิ้นตามสัญชาตญาณ
ฝ่ายกองทัพตระกูลซู เห็นการตั้งท่าพร้อมรบอย่างนั้นแล้ว พวกเขาก็ยกอาวุธขึ้นทีละคน
ทั้งสองฝ่ายอยู่ในท่าพร้อมต่อสู้กัน ราวกับว่าการสู้รบจะเกิดขึ้นในไม่ช้านี้
ซูเฟยตกใจจนหน้าซีด เขารีบเข้าไปด้านหลังซูเจ๋อแล้วกระซิบว่า ”จื่อหมิง ช่างมันเถอะ เราก็ได้ทหารม้าห้าสิบนายแล้ว ปัญหายิ่งน้อยยิ่งดี หากต้องสู้รบกันขึ้นมาจริงๆ เราจะเสียเปรียบกว่าเขาอยู่มาก”
“การที่ลุงรองถูกตีก็เหมือนการฉีกหน้าข้าซูเจ๋อด้วย ข้าทนปล่อยมันไปไม่ได้”
ซูเจ๋อปฏิเสธการเกลี้ยกล่อมของซูเฟย เขาไม่สนใจกลุ่มคนนับพันที่อยู่ตรงหน้า จากนั้นเขาได้ปรายตามองไปทางหวงเซ่ออย่างเย็นชา แล้วกล่าวเสียงเรียบว่า ”พี่หวงต้องอาศัยทหารมากขนาดนี้มาบังคับให้ยกเลิกสัญญา ข้าผู้น้อยแซ่ซูก็มิอาจบังคับได้จริงๆ ในเมื่อพี่หวงไม่ถือสาที่จะถูกครหาว่าเป็นผู้ไม่มีสัจจะ ข้าคงบอกได้คำเดียวว่าช่างน่าเสียดายยิ่งนัก”
หวงเซ่อเหมือนถูกเข็มทิ่มแทงอย่างกลางใจ เขาตัวสั่น กัดฟันแน่น ตัดสินใจไม่ถูก