ตอนที่ 9 ข่มขู่
หลังจากลังเลอยู่เป็นเวลานาน หวงเซ่อจึงตะโกนว่า "เฉินจิ่ว เก็บดาบ!”
เจตนาของเขาชัดเจน นี่คือการเสียสละเฉินจิ่ว เพื่อรักษาชื่อเสียงและหน้าตาของเขา
“คุณชาย!” เฉินจิ่วผงะ เขามองหวงเซ่อด้วยแววตาที่แทบไม่อยากจะเชื่อ
หวงเซ่อจ้องไปที่เขา ทั้งยังดุด่าอย่างดุดัน “ข้าสั่งให้เจ้าเก็บดาบ เจ้าจะขัดคำสั่งข้าหรือ?”
เฉินจิ่วไม่มีทางเลือก แม้จะไม่เต็มใจนัก แต่เขาไม่สามารถเปลี่ยนความจริงเรื่องที่เขาเป็นแม่ทัพของตระกูลหวงได้ จึงได้แต่เก็บดาบเข้าฝักอย่างไม่เต็มใจนัก
ทันทีที่เขาเก็บดาบ ทหารทั้งหนึ่งพันคนของตระกูลหวงก็ยอมเก็บดาบด้วยเช่นกัน
“พี่หวงช่างเป็นผู้ที่รักษาสัจจะยิ่งนัก ข้าซูเจ๋อขอนับถือ นับถือ” ซูเจ๋อยิ้ม แล้วตะโกนไปรอบๆ ว่า”พวกเจ้ารออะไรอยู่เล่า ยังไม่รีบเชิญท่านแม่ทัพเฉินออกมาอีก”
สิ้นเสียงสั่งการ ทหารหลายนายรีบกรูเข้าไปอีกครั้งเพื่อลากตัวเฉินจิ่วที่ยอมเลิกต่อต้านออกมา จากนั้นได้ช่วยกันถอดกางเกงของเขาออก แล้วกดลงไปที่พื้น
“ลุงรอง ข้าขอมอบหมายให้ท่านเป็นคนโบยเขาด้วยกระบองนี้สามสิบครั้ง” ซูเจ๋อยื่นไม้กระบองให้ซูเฟย
“ข้ารึ?” ซูเฟยสะดุ้ง มองไปที่กระบองไม้ทหารนั่น ในใจของเขาพลันเกิดความรู้สึกกระอักกระอ่วนและลังเล เพราะไม่กล้าหยิบขึ้นมา
คิ้วคมเข้มของซูเจ๋อขมวดแน่น ขณะตะโกนขึ้นว่า “นี่คือคำสั่ง”
ร่างของซูเฟยสั่นสะท้านด้วยความตกใจ ดังนั้นเขาจึงต้องกัดฟันข่มความกลัวไว้แล้วเดินไปรับกระบองไม้มา จากนั้นเขาค่อยๆ เดินไปหาเฉินจิ่ว ได้แต่คิดในใจว่า ตีสุนัขก็ยังต้องดูเจ้าของ ถ้าตีเฉินจิ่วจริง ถึงจะดูเหมือนว่าได้แก้แค้นแล้ว แต่ปัญหาใหญ่กำลังรออยู่ในวันข้างหน้า เช่นนี้เท่ากับเป็นการสร้างความขุ่นเคืองให้แก่ตระกูลหวงและทำร้ายหวงจู่
ด้วยอุปนิสัยของหวงจู่ เขาไม่มีทางยอมรามือ เขาต้องคิดหาทางแก้แค้นแน่นอน
ในขณะที่เขายังคงลังเลอยู่นั้น ทว่าเมื่อก้มศีรษะลงก็มองเห็นเฉินจิ่วที่ทำหน้าตาบูดบึ้ง ซึ่งดูเหมือนกำลังจ้องมองซูเฟยอยู่
ราวกับสายตานั้นกำลังท้าทายซูเฟยว่า ลองเจ้ากล้าตีข้าสิ ทำสิ่งใดไว้ จงอย่าลืมคำนึงถึงผลที่ตามมาด้วย
พริบตานั้น ซูเฟยพลันนึกถึงความอยุติธรรมที่เฉินจิ่วเคยกล่าวหาใส่ความเขาในวันนั้น รวมถึงความอัปยศที่ถูกอีกฝ่ายทุบตี!
สายตาของเฉินจิ่วที่จ้องมองเป็นเสมือนเชื้อเพลิงที่ช่วยพัดกระพือความโกรธที่อัดแน่นอยู่ในใจของซูเฟยให้โหมกระหน่ำมากยิ่งขึ้น
“มารดาเจ้าซิ ข้าไม่สนแล้ว เฉินจิ่ว ถ้าวันนี้ข้าไม่ตีเจ้าให้ตาย ข้าก็จะไม่ขอใช้แซ่ซูอีก!”
ความโกรธของซูเฟยพุ่งถึงขีดสุด ด้วยความที่เลือดขึ้นหน้า เขาจึงกัดฟันกรอดแล้วรูดปัดแขนเสื้อขึ้น จากนั้นฟาดกระบองลงไปเต็มแรง
พลั่ก!
ทันทีที่ไม้แรกถูกฟาดลงไป ความเจ็บปวดทำให้เฉินจิ่วสะท้านไปทั่วร่าง ถึงกับร้อง “โอ๊ย” ออกมา
เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดของเฉินจิ่วทำให้ซูเฟยฟังแล้วมีความสุขยิ่งนัก ดังนั้นเขาจึงฟาดไม้ลงไปซ้ายทีขวาทีอย่างบ้าคลั่งอีกครั้ง
เสียงไม้ที่ฟาดลงมาสลับกับเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดดังชัดราวกับสายฝนที่โปรยปลายลงมาอย่างต่อเนื่อง ชั่วประเดี๋ยวเดียวเฉินจิ่วถูกตีจนผิวเหวอะยับเยิน ก้นโชกไปด้วยเลือด ช่างเป็นสภาพที่น่าสยดสยองที่สุด
ไม้สุดท้ายที่ฟาดลงมา ซูเฟยถึงกับหอบหายใจอย่างหนักเพราะตีจนเหนื่อย จากนั้นเขากลับไปอยู่ข้างซูเจ๋อแล้วพยักหน้าให้หลานชายของตน ในดวงตาสื่อถึงการขอบคุณ
ซูเจ๋อพยักหน้าเล็กน้อย เขายกยิ้มเล็กน้อยและยกมือทั้งสองประสานกันในระดับหน้าอก เพื่อแสดงความขอบคุณ ”พี่หวงรักษาสัจจะ สมแล้วที่เป็นผู้สืบทอดตระกูลใหญ่อันโด่งดัง ข้าน้อยผู้แซ่ซูนับถือท่านยิ่งนัก ยามนี้ การเดิมพันได้สะสางเสร็จสิ้นแล้ว ข้าผู้แซ่ซูต้องรีบไปปี่หยางเพื่อรับตำแหน่ง จึงต้องขอล่วงหน้าไปก่อน ขอตัว”
พูดจบ ซูเจ๋อได้ดึงบังเหียนม้ากลับแล้วนำพากองกำลังทหารราบทั้งร้อยเจ็ดสิบนาย รวมถึงทหารม้าห้าสิบนายที่ได้จากการชนะเดิมพันจากไปพร้อมกัน
มองดูร่างของซูเจ๋อที่กำลังจะจากไป หวงเซ่อได้แต่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความเกลียดชัง ผ่านไปครู่ใหญ่ เขาถึงรู้สึกตัวได้เพราะได้ยินเสียงร้องโหยหวนของเฉินจิ่ว
เมื่อเห็นเฉินจิ่วถูกประคองขึ้นมา เนื่องจากไม่สามารถยืนนิ่งๆ ได้ด้วยตนเอง ใบหน้าหวงเซ่อนั้นมิได้บ่งบอกว่ามีการติดค้างแต่อย่างใด เขาสะบัดมือพลางตะโกนว่า “ทหาร หาหมอที่ดีที่สุดมารักษานายพลเฉิน มอบเงินยี่สิบเหรียญทองให้กับนายพลเฉินเพื่อไปซื้ออาหารและยามาบำรุงร่างกายด้วย”
ยี่สิบเหรียญทอง สำหรับขุนนางระดับเฉินจิ่ว นับว่าเป็น “เงินก้อนโต” เลยทีเดียว
เดิมที ภายในใจของเฉินจิ่วนั้นเต็มไปด้วยความโกรธ แต่ยามนี้ ใบหน้าของเขากลับปรากฏความซาบซึ้งขึ้นมาทันที เขายกมือที่สั่นเทาทั้งสองข้างขึ้นประสานกันแบ้วกล่าวว่า ” ขอบคุณคุณชายขอรับ”
หวงเซ่อพยักหน้าเล็กน้อย แต่เขาก็กล่าวขึ้นว่า ”วันนี้ ท่านเป็นที่พึ่งสุดท้ายของคุณชายอย่างข้า หากเดิมพันแล้วข้าไม่อาจรักษาสัจจะได้ เช่นนั้นข้าคงจะต้องเสียเกียรติและถูกตราหน้าว่าผู้ไม่รักษาสัจจะ หวังว่าท่านจะเข้าใจความลำบากใจของคุณชายอย่างข้าด้วย”
“ขอรับ ข้าน้อยเข้าใจขอรับ เข้าใจขอรับ” เฉินจิ่วพยักหน้า
หวงเซ่อแสดงความพึงพอใจ แต่ยังคงสงสัยอยู่ว่า “ว่าแต่ ท่านกับซูเจ๋อบาดหมางเรื่องใดกัน เหตุใดวันนี้ เขาจึงเจาะจงนำท่านมาวางเดิมพันด้วยเล่า?”
เฉินจิ่วไม่กล้าปิดบัง ดังนั้น เขาจึงเชิญหวงเซ่อไปที่ด้านข้าง เพื่อต้องการแก้แค้นแทนหวงจู่ที่ซูเจ๋อทำให้ตระกูลหวงต้องอับอายที่ศาลาหวางเจียง เขาจึงไประบายความโกรธกับซูเฟย หลังจากลงโทษซูเฟยด้วยการทุบตีแล้วจึงขับไล่เขาออกจากกองทัพ เรื่องทั้งหมดก็เป็นดังนี้
หลังจากหวงเซ่อฟังจบ ใบหน้าก็สลดลงและกล่าวว่า “ความอัปยศของข้าเกิดจากคนแซ่ซู ข้าจะต้องให้เขาชดใช้แน่ แต่ต้องเป็นวิธีที่สง่าผ่าเผย ไม่ใช่วิธีสกปรก เหตุใดท่านพ่อถึงใช้วิธีไร้ยางอายเช่นนี้ได้!?”
“แค่กแค่ก คุณชาย เบาหน่อยขอรับ” เฉินจิ่วรีบเตือนว่า ”ด้วยอุปนิสัยของนายท่าน คุณชายควรเข้าใจ ท่านทนไม่ได้กับคนที่ล่วงเกินตระกูลหวง ท่านจะใช้ทุกวิถีทางเพื่อลงโทษคนเหล่านั้น นายท่านจึงได้กำจัดซูเฟยด้วยวิธีนี้ ทั้งนี้ใครก็หาข้อโต้แย้งไม่ได้ เพราะนายท่านลงโทษซูเฟยโดยอาศัยกฏทหาร กล่าวอ้างว่าซูเฟยมาสาย ผิดวินัยทหาร จะลงโทษ หรือ ไล่ออก แม่ทัพมีสิทธิ์เด็ดขาด จะทำโทษอย่างไรก็ได้”
“เพียงแต่ว่า...”
หวงเซ่อยังคงรู้สึกไม่ค่อยพอใจ แต่เมื่อเขานึกถึงใบหน้าของผู้เป็นบิดาของตนแล้วนั้น เขาก็พลันรู้สึกหนาวสะท้าน ในใจให้รู้สึกหวาดกลัวจนต้องกลืนถ้อยคำที่จะพูดกลับลงไป
“คุณชายขอรับ วันนี้คนแซ่ซูชนะไม่ได้แค่ทุบตี้ข้าจนกระทั่งเนื้อตัวแตกยับเยิน โชกไปด้วยเลือด แต่เขายังทุบตีหน้าตาของตระกูลหวง ล่วงเกินคนตระกูลหวงทั้งตระกูล ข้าเกรงว่าหลังจากนายท่านรู้ข่าวนี้เข้า เขาจะต้องไม่ปล่อยเรื่องนี้ให้เลยตามเลยแน่นอน เขาต้องคิดหาทางแก้แค้นเอาคืนเป็นแน่” เฉินจิ่วเตือน
หลังจากหวงเซ่อเงียบไปครู่หนึ่ง ก็พูดอย่างเย็นชาว่า ”เรื่องนี้ ไม่จำเป็นต้องแจ้งให้ท่านพ่อทราบ ไม่ต้องให้ท่านพ่อต้องลงมือ และพวกเราก็ไม่จำเป็นต้องทำสิ่งใดทั้งนั้น พวกโจรกบฎโพกผ้าเหลืองที่ปี่หยางจะแก้แค้นแทนพวกเราเอง”
เฉินจิ่วนึกขึ้นมาได้ในทันที เขาหัวเราะแหะๆ และกล่าวว่า ”ข้าน้อยเข้าใจแล้วขอรับ หัวหน้าพวกโจรกบฏโพกผ้าเหลืองที่ปี่หยางสองคนนั้นเชี่ยวชาญกลยุทธ์ทางการทหาร ถึงแม้ลุงและหลานสกุลซูนั้นจะสามารถหลอกเอาทหารม้าห้าสิบนายของเราไปได้ แต่ก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ ของพวกโจรกบฏโพกผ้าเหลืองอยู่ดี คาดว่าพวกเขาคงจะมีชีวิตอยู่ที่ปี่หยางได้ไม่เกินสิบวัน ก็ต้องตายอย่างแน่นอน ฮ่าฮ่าฮ่าๆๆ“
ในที่สุด ใบหน้าบึ้งตึงของหวงเซ่อก็มีรอยยิ้มจางๆ ปรากฏขึ้น เขามองไปที่แผ่นหลังของซูเจ๋อที่ห่างจากพวกเขาไปไกลแล้วพึมพำว่า ”ซูเจ๋อ ข้าจะดูซิว่า บัณฑิตอัจฉริยะของจิงเซียง ผู้ได้รับสมญานามว่ามังกรหลับ จะตายได้น่าอนาถขนาดไหน”
ที่ด้านหน้า ซูเจ๋อได้จากไปไกลแล้ว
เมื่อเห็นว่าอารมณ์ของซูเฟยสงบลงแล้ว เขาจึงยิ้มและถามขึ้นว่า “ท่านลุง เป็นอย่างไรบ้าง ความรู้สึกของการได้แก้แค้นด้วยมือของท่านเอง คงจะฟินสุดๆ ไปเลยใช่ไหมขอรับ?”
“ฟิน? ฟินคือสิ่งใด?” ใบหน้าซูเฟยเต็มไปด้วยความสงสัย
ซูเซี๋ยวเสี่ยวรีบพูดอธิบายให้ฟังทันที ”ท่านลุงรองคงยังมิทราบ ตั้งแต่คุณชายฟื้นขึ้นมา ก็มักจะพูดวาจาแปลกๆ เป็นประจำ คำว่า ‘ฟิน’ คำนี้ก็เป็นคำแปลกๆ นั้นเช่นกันเจ้าค่ะ ข้าเดาว่า คุณชายคงอยากจะถามท่านว่า ท่านมีความสุขใช่หรือไม่”
“เซี๋ยวเสี่ยวฉลาดมาก ข้าหมายความเช่นนั้นจริง” ซูเจ๋อรีบพูดชมนาง
ซูเฟยเข้าใจในทันที เขาถอนหายใจแล้วตอบว่า ”จะว่าไปมันก็มีความสุขดีอยู่หรอก แต่ลุงกำลังคิดว่าการที่พวกเราทำเช่นนี้ เท่ากับทำให้ตระกูลหวงอับอายขายหน้าต่อสาธารณะชน ลุงกลัวก็แต่เพลิงโทสะของหวงจู่ผู้นั้น ไม่รู้ว่าจะเอาคืนพวกเราอย่างไร อดทนไว้ อีกไม่นานก็จะรู้เอง”
แต่ซูเจ๋อกลับกล่าวขึ้นว่า ”ชีวิตคนเรามันสั้นนัก ผู้ใดมีความแค้นแต่มิได้ชำระ ผู้นั้นไม่อาจถูกนับว่าเป็นวีรบุรุษได้ ถ้าหวงจู่ต้องการจะแก้แค้น นั่นก็เป็นเรื่องที่ต้องรอดูกันต่อไป ทหารมาใช้ขุนพลต้านรับ น้ำมาใช้ดินต้าน ไม่ว่าเขาจะมาไม้ไหนย่อมสามารถรับมือได้ทั้งนั้น ที่สำคัญสำหรับเราในตอนนี้ก็คือ จะทำอย่างไรให้ตัวเองมีความสุข”
ซูเฟยเถียงในใจ พลางพิจารณาหลายชายของตนอีกครั้ง ”หลานชายของข้าผู้นี้ ทั้งที่เมื่อก่อนฉลาดเฉลียว ลงมือทำสิ่งใดจะคำนึงถึงผลที่จะตามมาเสมอ เหตุใดเมื่อฟื้นขึ้นมาจากการหลับใหลไปหลายปี คำพูดที่ฉลาดหลักแหลมแบบนี้ เหมือนถอดร่างเปลี่ยนกระดูก เปลี่ยนแปลงไปได้ถึงเพียงนี้..”
……
หลายวันวันต่อมา ซูเจ๋อขี่ม้าของเขา อีกเพียงสองร้อยก้าวก็จะถึงอำเภอปี่หยางแล้ว
เป็นอย่างที่เขาคาดเอาไว้ เมืองปี่หยางถูกพวกโจรกบฎโพกผ้าเหลืองปล้นซ้ำๆ อยู่ตลอดเวลา ตัวอำเภอทรุดโทรมไปนานแล้ว ภายในตัวอำเภอมีประชากรน้อยกว่าหนึ่งพันครัวเรือน ความเป็นอยู่ของประชาชนขัดสน กิจการร้านค้าภายในตกต่ำถดถอยลงอย่างเห็นได้ชัด
หลังจากที่ซูเจ๋อเข้ารับตำแหน่งเป็นเจ้าเมือง สิ่งแรกที่เขาทำคือติดประกาศรับสมัครทหาร ด้วยการพูดเชิญชวนให้ยอมคล้อยตาม จนมีชาวบ้านจากชนบทมาสมัครทหารมากกว่าเจ็ดสิบนาย ตอนนี้พวกเขารวบรวมทหารม้ามาได้เกือบสามร้อยนายแล้ว
จากนั้น เขาขอให้ซูเซี๋ยวเสี่ยวตรวจสอบบัญชีของคลัง ด้านซูเฟยได้เรียกระดมพลทหารมาก่อสร้างแนวป้องกันบริเวณกำแพงเมืองที่พังทลายลงตลอดเวลา เพื่อสร้างเกราะกำบังไว้ปกป้องเมืองและผู้คนจากโจรกบฎโพกผ้าเหลือง
หลายวันต่อมา
ซูเจ่ออยู่บนกำแพงเมือง คอยปลุกใจทหารให้ช่วยกันสร้างป้อมปราการไว้สำหรับป้องกันเมือง
ซูเฟยรีบร้อนมาหา ส่งจดหมายให้ฉบับหนึ่ง แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียดว่า ”จื่อหมิง นี่คือจดหมายที่พวกโจรกบฎโพกผ้าเหลืองยิงธนูปักที่ประตูเมืองเมื่อครู่นี้ จดหมายนี้ระบุว่าส่งให้เจ้า”
ซูเจ๋อรับจดหมายอย่างไม่รีบร้อน เขาค่อยๆ เปิดออก แต่พอเห็นลายมือบนผ้าไหม ซึงมันถูกเขียนด้วยเลือด เห็นได้ชัดเลยว่านี่เป็นการข่มขู่ซึ่งๆ หน้า
มีตัวหนังสือเพียงย่อหน้าสั้นๆ ว่า
เจ้าเมืองคนใหม่จงฟังให้ดี ภายในเจ็ดวัน เจ้าจงเตรียมเสบียงอาหารห้าร้อยกระสอบ ข้าจะส่งคนไปรับตรงเวลา ห้ามขาดแม้แต่เมล็ดเดียว ไม่เช่นนั้นเลือดจะนองไปทั้งเมืองปี่หยาง จะฆ่าตัดหัวเจ้า พวกสุนัขรับใช้ของราชสำนัก