ตอนที่ 10 มอบเสบียงอาหาร
“โจรกบฏโพกผ้าเหลืองพวกนี้ บ้าและกล้ามาก” ซูเจ๋อยิ้มเยาะ พลางส่งจดหมายคืนให้ซูเฟย
ซูเฟยอ่านจดหมานแล้วอดถอนหายใจไม่ได้ ใบหน้าของเขาแลดูเคร่งขรึมยิ่งขึ้น เขารีบถามซูเจ๋อว่าเช่นนี้ควรจะทำอย่างไรดี
“ก่อนอื่น เรียกรองนายอำเภอมาสอบถามรายละเอียดของพวกโจรกบฏโพกผ้าเหลืองเหล่านี้เสียก่อน” ซูเจ๋อไม่ได้แสดงท่าทีตกใจเลยแม้แต่น้อย
ครู่ต่อมา รองนายอำเภอหยางลั่วก็ถูกส่งตัวไปยังบนกำแพงเมือง
ซูเจ๋อเอาจดหมายข่มขู่ให้เขาดูและถามว่า ”รองนายอำเภอหยาง ท่านเป็นผู้ช่วยนายอำเภอสองคนก่อนของปี่หยางมาก่อน ย่อมรู้จักพวกโจรกบฏโพกผ้าเหลืองเป็นอย่างดี ช่วยเล่าเรื่องที่ท่านทราบมาให้ข้าฟังอย่างละเอียดทีเถิด”
เมื่อกล่าวถึงพวกโจรกบฏโพกผ้าเหลือง หยางลั่วนั้นถึงกับตัวสั่นสะท้านราวกับว่ามีความกลัวฝังแน่นอยู่ในใจ หลังจากสูญลมหายใจเข้าลึกๆ อยู่ครู่หนึ่ง เขาจึงสงบจิตใจลงได้แล้ว
“นายอำเภอซูยังมิทราบเรื่อง พวกโจรกบฏโพกผ้าเหลืองที่อยู่ใกล้ปี่หยาง เป็นโจรกลุ่มแรกของพวกโจรกบฏโพกผ้าเหลืองในหนานหยาง มีจำนวนสามพันคน ผู้นำทั้งสองชื่อจิวฉอง และหุยง่วนเสียว พวกเขาเป็นลูกน้องของนายพลจางม่านเฉิง ผู้นำคนแรกของหนานหยาง เชียวชาญศิลปะการต่อสู้ ชำนาญการใช้ทหาร
“จิวฉอง? หุยง่วนเสียว?”
สีหน้าของซูเจ๋อเปลี่ยนไปเล็กน้อย เมื่อเขาได้ยินชื่อที่ไม่คุ้นเคยทั้งสองชื่อนี้
เขารู้ประวัติศาสตร์ดี จำได้ว่า จิวฉองผู้นี้เลื่อมใสจึงขอติดตามกวนอู บุกเดี่ยวพันลี้ ไม่ว่าจะไกลแค่ไหนก็ไปด้วยม้าตัวเดียว เขาติดตามกวนอูมาครึ่งชีวิต จงรักภักดีอย่างที่สุด หลังจากได้ยินว่ากวนอูถูกประหาร เขาจึงฆ่าตัวตายที่เมืองเป๊กเสีย
สำหรับหุยง่วนเสียว โชคร้ายยิ่งกว่า เพราะความไม่รู้จักประมาณตน คิดชิงม้าของจูล่ง สุดท้ายจึงถูกจูล่งฆ่าตาย
สำหรับแม่ทัพระดับจูล่งแล้ว สองคนนี้ไม่เก่งพอที่จะทำสงครามกับเขาได้ แต่สำหรับซูเจ๋อที่ยังขาดแคลนทหาร ถือเป็นคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งจนไม่อาจมองข้ามได้
“เป็นอะไรไปหรือ นายอำเภอซูเคยได้ยินเรื่องโจรสองคนนี้แล้วหรือขอรับ?”
“ได้ยินมาบ้างแล้ว เล่าต่อไปเถิด”
จากนั้นหยางลั่วจึงได้เล่าต่อไปว่า “โจรสองคนนี้ช่างดุร้ายนัก ได้ยินมาว่าหุยง่วนเสียวชอบกินหัวใจมนุษย์มากที่สุด ส่วนจิวฉองชอบดื่มเลือดคน ในปี่หยางของเราถูกพวกมันปล้นอยู่หลายครั้ง ได้ยินมาว่า นายอำเภอคนก่อนถูกหุยง่วนเสียวควักหัวใจ ถูกจิวฉองสูบเลือดออก เป็นการตายที่น่าสยดสยองยิ่งนัก เจ้าหน้าที่และประชาชนในรัศมีร้อยลี้จากปี่หยาง หากได้ยินชื่อของทั้งสองคนนี้ แม้แต่ลูกเด็กเล็กแดงก็ยังไม่กล้าร้องไห้เลย”
กินหัวใจคน ! ดื่มเลือดคน !
งานอดิเรกของสองคนนี้ช่างวิปลาสนัก
ซูเจ๋อครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วถามว่า “แล้วหนังสือขู่นี้ ในความเห็นของท่าน นายอำเภออย่างข้าควรจะตอบโต้เยี่ยงไร?”
หยางลั่วตอบกลับอย่างไม่ลังเลว่า ”ตามความเห็นของข้าน้อยคิดว่า ทางที่ดีที่สุด นายอำเภอซูควรเร่งรวบรวมเสบียงอาหารให้ได้ตามจำนวนที่พวกโจรกบฏโพกผ้าเหลืองเหล่านี้ต้องการให้เร็วที่สุด ดังที่ได้กล่าวแล้ว เงินที่พวกเราเสียให้กับพวกโจรกบฏโพกผ้าเหลือง ถือเสียว่าฟาดเคราะห์เถิด”
“ท่านหมายถึง หากข้าซูเจ๋อหากอยากเป็นนายอำเภอที่ดี น่านับถือ จะต้องส่งมอบเสบียงอาหารให้กับพวกโจรกบฏโพกผ้าเหลืองอย่างนั้นหรือ?” ดวงตาของซูเจ๋อเบิกกว้าง
“แค่กแค่ก” หยางลั่วพูดอย่างเขินอายว่า ”แม้ว่าการกระทำดังกล่าวจะทำลายชื่อเสียงของนายอำเภอซู ขออภัยที่ข้าน้อยต้องเรียนตามตรงว่า ระหว่างชื่อเสียงกับชีวิต อย่างหลังสำคัญกว่ามากนัก”
ซูเจ๋อขมวดคิ้วและถามว่า ”หมายความว่า ทหารม้าทั้งสามร้อยนายในปี่หยางของข้าไม่สามารถต้านทาน อำนาจของกบฎโพกผ้าเหลืองได้จริงๆ เยี่ยงนั้นหรือ?”
หยางลั่วส่ายหัวและถอนหายใจออกมา ”นายอำเภอสองคนก่อนหน้านี้ก็ใช่ว่าไม่มีการเฝ้าระวัง พวกเขามีทหารมากกว่านายอำเภอซูเสียอีก แต่โจรจิวหุยทั้งสองคนนั้นร้ายกาจยิ่งนัก พวกมันสามารถตีเมืองแตกได้ทั้งสองครั้ง ข้าน้อยแนะนำให้นายอำเภอซูอย่าเพิ่งมั่นใจเกินไป ทางที่ดี อย่าเสี่ยงดีกว่าขอรับ”
ซูเจ๋อเงียบไม่ได้พูดอะไร
ซูเฟยเห็นดังนั้น จึงให้หยางลั่วหลบไปอยู่ด้านข้างก่อน แล้วกระซิบว่า ”จื่อหมิง ปัญหาน้อยยิ่งดี เรามาปี่หยางครั้งแรก อย่าเพิ่งไปมีเรื่องกับโจรจิวหุยสองคนนั้นเลย อดทนไว้ดีกว่า ยอมจ่ายเพื่อหลีกเลี่ยงภัยพิบัติเถิด”
ซูเจ๋อเดินไปบนกำแพงเมือง มองไกลออกไปที่แม่น้ำและภูเขาที่อยู่นอกเมือง ชั่งน้ำหนักข้อดีและข้อเสียในใจ
หลังจากนั้นไม่นาน ก็หยุดเดิน เขาแอบยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ออกมา
หลังจากนั้น เขาจึงถอนหายใจแล้วพูดว่า ”คิดไม่ถึงเลยว่า พวกโจรกบฏโพกผ้าเหลืองในปี่หยางจะแข็งแกร่งกว่าที่ข้าคิด ดูเหมือนว่าข้าจะทำได้เพียงแค่ยอมให้พวกเขาปล้นเพื่อหลีกเลี่ยงภัยพิบัติได้เท่านั้น แต่ข้าเพิ่งจะตรวจสอบเสี่ยงในคลัง พบว่ามีอาหารน้อยกว่าห้าสิบกระสอบ ทั้งพวกเขาสั่งให้เราหามาให้ได้ภายในเจ็ดวันนี้ ข้าจะรวบรวมเสบียงอาหารห้าร้อยกระสอบได้จากที่ไหนกัน”
หยางลั่วถอนหายใจด้วยความโล่งอก แต่กลับยิ้มกริ่มและเอ่ยว่า ”นายอำเภอซูไม่ต้องเป็นห่วง เสบียงอาหารห้าร้อยกระสอบนี้แลกกับชีวิตของชาวเมืองปี่หยาง ก็เหมือนขนแพะที่ต้องถอนออกมาจากตัวแพะ ขอเพียงนายอำเภอซูออกคำสั่ง ภายในเจ็ดวัน ข้าน้อยสัญญาว่าจะหาเสบียงจำนวนห้าร้อยกระสอบจากพวกเขามาได้แน่”
“บังคับอย่างไร......” คิ้วของซูเจ๋อขมวดเล็กน้อย “ตอนนี้เหมันต์ฤดูมาเยือนแล้ว เหล่าธัญพืชและเสบียงพวกนี้น่าจะเป็นอาหารที่พวกเขากักตุนไว้กินในช่วงฤดูกาลนี้ แต่หากเจ้าไปบังคับเอามา ไม่เท่ากับฆ่าพวกเขาหรอกหรือ?”
หยางลั่วพูดด้วยใบหน้าที่ขมขื่นว่า ”อย่างนั้นก็ไม่มีวิธีอื่นแล้ว อาหารน้อยลง ถึงจะหิวก็อาจจะยังมีชีวิตรอดได้ แต่ถ้าพวกโจรกบฏโพกผ้าเหลืองเข้ามาได้ นั่นก็แปลว่าชีวิตจบสิ้นแล้ว แม้จะมีของกินมากเท่าไหร่ก็ไร้ประโยชน์”
ซูเจ๋อเงียบไปครู่หนึ่ง เขาโบกมือและพูดว่า ”งั้นก็ทำตามแผนของท่าน รีบไปจัดการให้เร็วที่สุด”
หยางลั่วรู้สึกปราบปลื้มเป็นอย่างมาก เขายกนิ้วให้กับความฉลาดของซูเจ๋อ พร้อมตบอกรับประกัน ดังนั้นเขาจึงรับคำสั่งของซูเจ๋อ นำทหารจากอำเภอออกไปตามตำบลเพื่อยึดเสบียงอาหาร
อย่างที่ซูเจ๋อพูด สิ่งที่หยางลั่วยึดคือเสบียงอาหารของประชาชนสำหรับช่วงฤดูหนาว ย่อมต้องแบกรับความคับแค้นใจของชาวเมือง ช่างน่าอนาถนัก
เพียงแต่คนเหล่านี้กลัวถูกพวกโจรกบฏโพกผ้าเหลืองฆ่าตาย จึงยินดีแบ่งเสบียงอาหารบางส่วนให้หยางลั่วยึดกลับมา
ไม่ถึงเจ็ดวัน หยางลั่วก็รวบรวมเสบียงอาหารได้ครบห้าร้อยกระสอบ
……
วันที่เจ็ด ช่วงบ่าย
หน่วยสอดแนมนอกเมืองรายงานว่า โจกโจรกบฏโพกผ้าเหลืองจำนวนสี่ร้อยคน สังกัดกองธง “เป่ย” กำลังเดินทางมุ่งหน้ามาที่ปี่หยาง
“เดินทางบนถนนใหญ่ ทั้งยังมาแบบเอิกเกริก หุยง่วนเสียว เจ้าช่างเหิมเกริมนัก”
บนกำแพงเมือง ซูเจ๋อได้ยินรายงาน ในดวงตาพลันปรากฏความรังเกียจแวบขึ้นมา
หยางลั่วที่อยู่ข้างๆ พูดว่า ”หุยง่วนเสียวผู้นี้ ล้อเล่นมิได้ ข้าน้อยคิดว่า พวกเราควรจัดเตรียมเสบียงอาหารไว้ล่วงหน้าและส่งออกไปนอกเมือง ถึงจะเป็นทำให้เขาพึงพอใจได้”
“รองนายอำเภอหยาง ข้าเคยสงสัยมาตลอด หลายครั้งที่พวกโจรกบฏโพกผ้าเหลืองบุกเข้าเมือง ตั้งแต่นายอำเภอจนไปถึงทหารของเมือง ล้วนแต่ถูกฆ่าจนสิ้นซาก แต่ท่านรอดตายมาแล้วถึงสองครั้งได้อย่างไร?”
จู่ๆ ซูเจ๋อก็ถามขึ้นมาเช่นนี้
หยางลั่วผงะไป ไม่ยอมรับสารภาพ
“ถ้าข้าเดาไม่ผิด คงเพราะท่านคอยลอบส่งอาหารให้พวกโจรกบฏโพกผ้าเหลืองนี่เอง จึงได้ทำให้รอดตายได้ถึงสองครา”
ร่างหยางลั่วนั้นสั่นสะท้าน เขายิ้มแหยออกมาทันทีแล้วพูดขึ้นว่า ”นายอำเภอซู สมแล้วที่เป็นถึงบัณฑิตอันดับหนึ่งของจิงเซียงเรา รอบรู้ทุกเรื่องจริงๆ แต่มันไม่ได้มีเพียงเหตุผลนี้เท่านั้นหรอก”
“เจ้านายและสหายร่วมงานของท่าน ล้วนต้องตายเพราะไม่ยอมจำนนต่อพวกโจรกบฏโพกผ้าเหลือง แต่ท่านกลับเป็นเพียงผู้เดียวที่ยังมีชีวิตอยู่ รองนายอำเภอหยาง ท่านไม่รู้สึกละอายใจบ้างเลยหรือ?” ในคำพูดของซูเจ๋อมีความประชดประชันแฝงรวมอยู่ด้วย
หยางลั่วนั้นไร้ยางอาย เขาพูดขึ้นว่า ”นั่นเป็นเพราะพวกเขาโง่เขลา ไม่ปราดเปรื่องเท่านายอำเภอซู ไม่คำนึงถึงชื่อเสียงเกียรติยศ ไม่เจียมตัว คิดต่อกรกับพวกโจรกบฏโพกผ้าเหลือง ก็สมควรแล้วที่จะถูกฆ่า”
“ปราดเปรื่อง” สองคำนี้ ซูเจ๋อฟังแล้วแสลงหูอยู่ไม่น้อย
ในยามนี้ ที่ถนนสายหลักด้านข้างหน้านั้น ทหารกลุ่มหนึ่งปรากฏตัวขึ้นอย่างเงียบเชียบ พร้อมกับธงผืนใหญ่ที่มีตัวอักษร “เป่ย”
ซูเจ๋อหันกลับมามองและพูดว่า “เอาล่ะ หยุดพูดเรื่องนี้กันก่อน รองนายอำเภอหยาง ทำตามที่ท่านบอก”
หยางลั่วรับคำสั่ง รีบลงจากกำแพงเมืองไป เขาสั่งให้ทหารขนเสบียงอาหารใส่เกวียนสิบกว่าคันรถ เข็นออกไปนอกเมือง ทหารที่เหลือให้กลับเข้าเมือง มีเพียงหยางลั่วเท่านั้นที่รั้งรออยู่นอกเมือง เพื่อรอส่งมอบเสบียงอาหารให้กับหุยง่วนเสียว
เมื่อหยางลั่วเดินจากไป ซูเซี๋ยวเสี่ยวที่เดินตามมาภายหลังก็มาถึงบนกำแพงเมือง แล้วกระซิบที่ข้างหูว่า ”รายงานคุณชาย ข้าไปสืบมาแล้ว หยางลั่วนั้นใช้กำลังบังคับเอาเสบียงอาหารมาได้ อันที่จริงมีจำนวนถึงหกร้อยกระสอบ แต่ส่งมอบเพียงห้าร้อยกระสอบ ที่เหลืออีกร้อยกระสอบเขาแอบเก็บไว้เอง”
“อย่างที่คาดไว้ ไม่น่าแปลกใจที่คนแซ่หยางผู้นี้กระตือรือร้นที่จะรวบรวมเสบียงอาหารให้ข้า” ซูเจ๋อทำเสียงฮึดฮัดพูดเสียงเย็นว่า ”ยังมีอะไรอีกไหม?”
ซูเซี๋ยวเสียวพูดอย่างโกรธเคืองว่า ”ยังมีอีก ข้าแอบถามข่าวมาได้ว่าสองคราที่พวกโจรกบฏโพกผ้าเหลืองสองคนนั้นบุกเข้าเมืองมาปล้นสะดม คนแซ่หยางผู้นี้จงใจปล่อยปะละเลยเพื่อเอาตัวรอด ทำให้พวกโจรกบฏโพกผ้าเหลืองสามารถเข้ามาทำลายเมืองได้อย่างง่ายดาย ดังนั้น พวกโจรกบฏโพกผ้าเหลืองจึงไว้ชีวิตเขา”
ดวงตาของซูเจ๋อสั่นไหว ฉับพลันในแววตาได้เผยความเย็นชาออกมาแล้วกล่าวว่า ”ดูเหมือนว่าจะไม่เกินจากที่ข้าคาดการณ์ไว้เท่าใดนัก โชคดีที่ข้าระวังตัวอยู่ก่อนแล้ว ไม่อย่างนั้น หากให้คนแซ่หยางผู้นี้อยู่ข้างกาย ข้าคงจะต้องถูกเขาฆ่าตายในไม่ช้าก็เร็ว”
เมื่อเสียงพูดเงียบลง ซูเฟยรีบเข้ามากระซิบว่า ”จื่อหมิง ลุงทำตามคำแนะนำของเจ้า รอจนหยางลั่วออกจากเมือง จึงได้ย้ายทหารม้าทั้งหมดไปที่ประตูตะวันออก ถ้าหุยง่วนเสียวคิดไม่ซื่อต้องการจะโจมตีเมือง ด้วยกองกำลังทหารที่เรามีอยู่ ลุงเชื่อว่าเราจะสามารถป้องกันได้แน่นอน”
“ใครบอกว่าข้าจะป้องกัน” มุมปากของซูเจ๋อยกยิ้มเจ้าเล่ห์ขึ้นเล็กน้อย
“เอ๊ะ?” ซูเฟยมีสีหน้าที่เปลี่ยนไป ในใจพลันเกิดรู้สึกถึงลางสังหรณ์ที่ไม่ดี