ตอนที่ 12 สงครามครั้งแรก!
“เจ้ารอดูเถิด” ซูเฟยม้วนแขนเสื้อขึ้น เขายกดาบเล่มใหญ่ขึ้นมาแล้วก้าวยาวๆ เดินลงกำแพงเมืองไป
วูดๆๆ
เสียงแตรสังหารดังขึ้น พลุไฟถูกยิงขึ้นไปเหนือเมือง
สะพานแขวนถูกปล่อยลง ประตูเมืองถูกเปิดออก ลูกระเบิดจำนวนหนึ่งถูกโยนออกไปที่ประตูเมือง
ทหารม้า!
เป็นทหารม้าห้าสิบนายที่ซูเจ๋อได้จากการชนะเดิมพันกับหวงเซ่อนั่นเอง ในตอนนี้พวกเขากลายเป็นมือสังหารของซูเจ๋อไปแล้ว
“ตามข้าไปสังหารโจรกบฏ....” ซูเฟยตะโกน แล้วขี่ม้ายกดาบขึ้น นำขบวนทหารม้าออกไป
เสียงกีบม้าดังสนั่น พื้นดินสะเทือน ทหารม้าทั้งห้าสิบนายตามซูเฟยออกไป รีบรุดออกไปที่ประตูเมือง ข้ามสะพานแขวน แล้วกระโจนใส่พวกโจรกบฏโพกผ้าเหลืองดั่งธารน้ำท่วมละลัก
“ทหาร...ทหารม้า !?”
หุยง่วนเสียวตกตะลึง ตกใจจนลิ้นพันกัน คาดไม่ถึงว่าจะมีทหารม้าปรากฏตัวขึ้นในสถานที่เล็กๆ อย่างปี่หยางนี้
เขาไม่รู้ว่า เพื่อฆ่าพวกเขาแบบไม่ทันตั้งตัว ซูเจ๋อไม่ได้นำทหารม้าเข้ามาในเมืองตั้งแต่แรก แต่กลับสั่งให้ทหารม้ารออยู่ในป่านอกเมืองแทน กระทั่งเมื่อคืนนี้ พวกเขาจึงได้แอบเคลื่อนกำลังพลเข้ามาในเมืองอย่างเงียบๆ
เมื่อเผชิญหน้ากับการโจมตีของทหารม้า หุยง่วนเสียวตกใจแทบสิ้นสติ เขาไม่รู้จะตอบโต้อย่างไร
พวกโจรกบฏโพกผ้าเหลืองหลายร้อยคนตกตะลึงยิ่งกว่าเดิม เมื่อต้องเผชิญหน้ากับทหารม้าที่บุกเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง พริบตาเดียววิญญาณก็หลุดลอยออกจากร่าง ท้องไส้ปั่นป่วนไปหมด ถึงกับค่อยๆ ล่าถอยไป
ทว่ามันสายเกินไปแล้ว
ไม่กี่วินาทีต่อมา ทหารม้าพุ่งเข้าใส่โจรกบฏโพกผ้าเหลืองอย่างดุดัน
ซูเฟยเป็นผู้นำ เหมือนเสือกระโจนเข้าหาฝูงแพะ เขาตวัดดาบในมือ ฟันศีรษะโจรคนหนึ่งจนหลุดลอยขึ้นไปในอากาศ
ทหารม้าห้าสิบนายติดตามไป พร้อมลงดาบฟาดฟันใส่กลุ่มโจรที่ตื่นกลัวอย่างไร้ความปราณี เกือกม้าเหยียบไปบนกองเลือดและเนื้อของพวกมัน ชั่วพริบตาเดียวพวกเขาก็เข่นฆ่าพวกโจรกบฏโพกผ้าเหลืองจนมีแต่เสียงร้องโหยหวนดังระงมไปทั่ว
หุยง่วนเสียวผงะและหวาดกลัว เขาตะโกนว่า ”อย่าตกใจ ช่วยข้าตีฝ่าวงล้อมออกไป”
เขายังกวัดแกว่งขวานขนาดใหญ่ฆ่าทหารเพื่อเปิดทางหลบหนี แต่ก็ยังไม่อาจจะยับยั้งความพ่ายแพ้ได้
“สุนัขขี้ขโมยแซ่หุย กล้าดูถูกจื่อหมิงหลานข้า ข้าจะเอาชีวิตเจ้า!”
เสียงตะโกนดังสนั่น ทำให้หุยง่วนเสียวตกใจจนร่างสั่นสะท้าน เขาเงยหน้าขึ้น เห็นซูเฟยถือดาบเปื้อนเลือดของโจรกบฏที่ถูกสังหารไปไม่รู้จักกี่คน
ซูเฟยตวัดดาบในมือฟันลงมาด้วยกระบวนท่า “ชักดาบตัดสายน้ำ” นี่คือเพลงดาบตระกูลซู
หุยง่วนเสียวไม่มัวคิดอะไรให้มากความแล้ว เขาอดทนต่ออาการบาดเจ็บที่ใบหูแล้วกวักแกว่งขวานเล่มใหญ่ของเขาเพื่อปัดป้อง
เคร๊ง
เสียงโลหะกังวาน ประกายไฟสาดส่องไปทั่ว แม่ทัพทั้งสองต่อสู้พัวพันกัน
เงาของขวานและเงาของดาบ พลิ้วไหวราวกับสายลม ฝุ่นตลบฟุ้งมืดมัวห่อหุ้มทั้งสองคนไว้ จนไม่อาจจะแยกแยะผู้ชนะผู้แพ้ได้
วรยุทธของหุยง่วนเสียวนั่นแข็งแกร่งพอกันกับซูเฟย แต่ทหารม้าภายใต้การนำทัพของตระกูลซูได้บดขยี้จิตใจของเขาจนขวัญหนีดีฝ่อ เหมือนมดถูกทำลายรังด้วยแรงลม
หุยง่วยเสียวทั้งโกรธและกังวล เนื่องจากคนของเขาเริ่มน้อยลงเรื่อยๆ มันช่างทำร้ายจิตใจเขายิ่งนัก ขวานในมือกวักแกว่งสะเปะสะปะไปมาเร็วขึ้น
หลังจากสามสิบกระบวนท่า ซูเฟยมองเห็นจุดอ่อนจึงฟันเข้าที่แขนของเขา
หุยง่วนเสียวกรีดร้อง “อ๊าก” มือเขาบาดเจ็บจนอาวุธหลุดมือไปแล้วล้มลง
“เจ้าแซ่ซู เจ้ารอข้าก่อน ข้าไม่ฆ่าเจ้า ข้าจะจดจำเจ้าไว้ แล้วค่อยกลับมาคิดบัญชีในภายหลัง!”
หุยง่วนเสียวที่กำลังเจ็บปวด ใช้มือกุมแขนที่บาดเจ็บ ทิ้งคำขู่อาฆาตหยาบคายไว้ เขาหันศีรษะแล้วควบม้าหลบหนีไป
ซูเฟยมั่นใจมาก เขาโบกดาบที่โชกเลือด แล้วร้องตะโกนอย่างตื่นเต้นว่า ”พี่น้องทุกคน อย่าใจอ่อน ตามข้าไปเข่นฆ่าพวกมัน !”
ทหารม้าตาแดงด้วยโทสะและความกระหายในสงคราม พวกเขาติดตามซูเฟยออกไล่ล่าโจรที่พ่ายแพ้ เหมือนไล่ล่าฝูงแกะที่กำลังหวาดกลัว
ที่บนกำแพงเมือง ทหารราบเหล่านั้นเห็นว่ากองโจรพ่ายแพ้ พวกเขาจึงส่งเสียงโห่ร้องด้วยความตื่นเต้น โบกธงร้องตะโกนเชียร์พี่น้องทหารม้า
“นี่เป็นชัยชนะครั้งแรก รู้สึกไม่เลวเลย...” ซูเจ๋อถอนหายใจด้วยความโล่งอก บนใบหน้าเรียวของเขาปรากฏรอยยิ้ม
ซูเซี๋ยวเสี่ยวยืนอยู่ข้างหลังเขาถามด้วยความกระตือรือร้นว่า ”คุณชาย พวกเราชนะแล้วหรือเจ้าคะ?”
“เจ้าดูเอาเอง” ซูเจ๋อถอยหลังออกไปครึ่งก้าว
ซูเซี๋ยวเสี่ยวเขย่งเท้า ยืดคอขาวระหงดั่งหยกสีขาวแล้วมองออกไปที่นอกเมือง
ที่ด้านนอกนั้นมีเลือดกระเซ็น ศพถูกตัดหัวขาดเกลื่อนกลาด เลือดท่วมนองพื้น นางเห็นภาพทั้งหมดด้วยตาของตัวเอง
“ย๊ากกก..”
ซูเซี๋ยวเสี่ยวเห็นภาพที่น่าสยดสยองเป็นครั้งแรก รู้หวาดกลัวจนตัวสั่นสะท้านไปทั้งร่าง แขนขาทั้งสองข้างไร้เรี่ยวแรง มือทาบอก ค่อยๆถอยหลังแล้วล้มลง
ซูเจ่อไม่ทันได้คิดอะไรมาก ยื่นมือออกไปตามสัญชาตญาณ เอื้อมมือไปคว้าเอวบางของนางไว้ แล้วปล่อยให้นางล้มลงในอ้อมแขนของเขา
หลังจากตื่นตกใจอยู่ครู่หนึ่ง ซูเซี๋ยวเสี่ยวก็สงบลงอย่างรวดเร็ว เมื่อลืมตาขึ้นก็พบว่าตนเองกำลังนอนอยู่ในอ้อมแขนของคุณชาย ดวงตาอ่อนโยนของเขามองนางด้วยความเป็นห่วงเป็นใย
ซูเซี๋ยวเสี่ยวจู่ๆ ก็เริ่มเวียนหัวเล็กน้อย นางพยายามดิ้นรนที่จะยืนให้ตรง หันศีรษะไปด้านข้าง ไม่กล้าให้ซูเจ๋อเห็นใบหน้าที่กำลังเขินอายของนาง
ซูเจ๋อขอโทษ “ข้าประมาทเอง เจ้าเป็นสตรีย่อมหวาดกลัวเป็นธรรมดา ข้าจะให้เจ้าเห็นฉากนองเลือดได้อย่างไร”
“ไม่ ไม่ ข้าไม่โทษคุณชาย ข้าอยากรู้อยากเห็นเอง” ซูเซี๋ยวเสี่ยวรีบหันกลับมา ส่ายหัวไปมา
“เอาล่ะ ที่นี้ไม่เหมาะกับเจ้า เจ้าควรกลับไปที่จวนเจ้าเมืองก่อน ไปเตรียมรักษาทหารกันเถอะ” ซูเจ๋อใช้ปลายนิ้วแตะจมูกของซูเซี๋ยวเสี่ยวเบาๆ และเดินลงกำแพงเมืองไป
ซูเซี๋ยวเสี่ยวแตะจมูกตัวเอง นางมองตามหลังซูเจ๋อไปแล้วอดยิ้มไม่ได้
ซูเจ๋อลงจากกำแพงเมือง ภายใต้การคุ้มกันจากทหารสามร้อยนาย ออกจากเมืองเพื่อไปเก็บกวาดสนามรบ
ในการต่อสู้ครั้งนี้ พวกโจรกบฏโพกผ้าเหลืองสามร้อยคนถูกสังหาร และยึดอาวุธได้หลายร้อยชิ้น ตัวเขาเองก็เสียทหารม้าและม้าไปเพียงไม่กี่คนเท่านั้น เรียกได้ว่าเป็นชัยชนะที่ยิ่งใหญ่
ในเวลานี้ ซูเฟยที่ไล่ตามก็กลับมาพูดอย่างตื่นเต้นว่า ”จื่อหมิง แผนของเจ้ายอดเยี่ยมจริงๆ นี่จะทำให้ชื่อเสียงของเจ้าเลืองลือ อาวุธนับร้อยที่ยึดได้ช่วยให้เราประหยัดเงินไปได้มาก เพียงพอที่จะติดอาวุธให้กับกองทัพของเราแล้ว”
ซูเจ๋อพูดเสียงเรียบว่า ”ท่านลุงรอง อย่าตื่นเต้นเกินไป นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้น ข้าไม่คิดว่าจิวฉองจะยอมวางมือเลิกลาเพียงเท่านี้ ในไม่ช้าพวกโจรกบฏโพกผ้าเหลืองก็จะนำกองทัพใหญ่กลับมาแก้แค้น สงครามที่โหดร้ายของจริงยังมาไม่ถึง”
ในเรื่องนี้เขายังไม่ได้พูดถึงมัน ซูเฟยรู้สึกเหมือนถูกสาดด้วยน้ำเย็นรดศีรษะ จู่ๆ เขาก็กังวลขึ้นมาอีกครั้ง เขาเกาหัวแล้วพูดขึ้นว่า “ข้ารู้แล้วว่าเราไม่ควรไล่ล่าพวกโจรกบฏโพกผ้าเหลืองเหล่านี้ ถึงตอนนั้นโจรเป็นพันๆ จะกลับมาโจมตี แม้ว่าเราจะมีทหารม้าห้าสิบนายก็ตามมันก็ยังไม่เพียงพอ จื่อหมิงเจ้าควรจะฟังข้าตั้งนานแล้ว ปัญหายิ่งน้อยยิ่งดี”
ซูเฟยบ่นเป็นหมีกินผึ้ง พึมพำถึงความผิดจนเกิดอาการ “ขี้ขลาดหวาดกลัว” ขึ้นมาอีกครั้ง
“ตอนนี้ขี่หลังเสือมันลงยาก สายเกินไปที่จะมาเสียใจ” ซูเจ๋อไม่เห็นด้วย “ท่านลุงรอง แทนที่ท่านจะกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้ จะดีกว่าไหมถ้าท่านเอาเวลาไปปรับปรุงทหารและเสริมความแข็งแกร่งให้กับคูเมืองและกำแพงเมือง”
“เอ๊ะ ก็คงต้องเป็นอย่างนั้น” ซูเฟยถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้
เมื่อสิ้นเสียง เขาเห็นทหารสองสามคนที่อยู่ข้างหน้า พาหยางลั่วเข้ามาพร้อมกับขาที่บาดเจ็บ
เมื่อหยางลั่วเห็นซูเจ๋อก็ตะโกนด่าด้วยความเดือดดาลว่า “คนแซ่ซู ท่านทำแบบนี้หมายความว่าอย่างไร ข้าบอกให้ท่านมอบเสบียงอาหารให้พวกโจรกบฏโพกผ้าเหลือง ทำไมจู่ๆ เกิดเปลี่ยนใจ ทำให้ท่านหุยโกรธข้า จนถึงกับตัดขาข้า ท่านทำให้ข้าต้องตกอยู่ในอันตราย”
ซูเจ๋อไม่มีทีท่าของความเห็นอกเห็นใจ แววตาของเขามีแต่ความต้องการที่จะสังหาร เขาโบกมือแล้วตะโกนว่า “ทหาร ลากสุนัขรับใช้แซ่หยางไปที่ว่าการ ตัดหัวแล้วเสียบประจานไว้ที่ประตูเมือง เสียบประจานให้ชาวเมืองได้เห็น”
ทันทีที่คำสั่งออกมา ทหารของตระกูลซูหลายคนก็ลากหยางลั่วเข้าเมือง
หยางลั่วนั้นตกใจและอุทานออกมากว่า “คนแซ่ซู เจ้าบ้าแล้วหรือไง ? ข้าทำอะไรผิด ทำไมเจ้าต้องฆ่าข้า?”
ซูเจ๋อมองดูด้วยความรังเกียจ แล้วพูดอย่างเย็นชาว่า ”ข้ารู้แล้วว่าพวกโจรกบฏโพกผ้าเหลืองทำลายปี่หยางถึงสองครั้งทั้งหมดเป็นเพราะเจ้าสมรู้ร่วมคิดแอบปล่อยสะพาน คราวนี้ยามที่เจ้าเก็บรวบรวมเสบียงอาหาร เจ้ายังถือโอกาสยักยอกไว้ร้อยกระสอบ เจ้าเป็นเจ้าหน้าที่ที่ทรยศและไร้ยางอายเช่นนี้ หากข้าไม่ฆ่าเจ้าแล้วจะให้ฆ่าใคร!”
เมื่อหยุดด่าแล้ว ซูเจ๋อโบกมืออย่างแรง ทหารทั้งซ้ายและขวาก็เดินมาลากหยางลั่วออกไปอย่างไร้ความปราณี
จากนั้น หยางลั่วก็ตื่นจากภวังค์ เขาคาดไม่ถึงว่าเจ้าเมืองคนใหม่จะฉลาดมากเช่นนี้ จะสงสัยเขาตั้งแต่แรก แถมยังแอบไปสืบเรื่องที่เขาทำไว้อย่างกระจ่าง
หยางลั่วตกใจจนขาอ่อนไร้เรี่ยวแรง ปากก็ร้องตะโกนว่า ”ข้าน้อยสำนึกผิดแล้ว เจ้าเมืองซูโปรดยกโทษให้ข้าน้อย และให้โอกาสข้าน้อยได้ทำคุณไถ่โทษด้วยเถิดขอรับ โปรดเมตตาด้วย เจ้าเมืองซูโปรดยกโทษให้ข้าด้วย...”
เมื่อซูเฟยเห็นหยางลั่วถูกลากออกไป เขาก็ขยับเข้ามาใกล้แล้วกระซิบว่า ”จื่อหมิง เจ้าคนแซ่หยางผู้นี้ช่างน่ารังเกียจนัก แต่เจ้าเพิ่งมาถึงครั้งแรก ก็ฆ่ารองเจ้าเมืองแล้ว มันจะไม่รีบร้อนไปหน่อยหรือ?”
“ถ้าไม่ฆ่าคนเช่นนี้ ท่านจะยับยั้งผู้คนที่คิดจะแอบเป็นสายให้กับพวกโจรกบฏโพกผ้าเหลืองได้อย่างไร? จะซื้อใจชาวเมืองได้อย่างไร ขืนปล่อยให้พวกเขาติดต่อกัน แล้วใครจะช่วยข้ากำจัดเหล่าโจรกบฏกันเล่า?”
ซูเจ๋อตอบคำถามซูเฟย ด้วยคำถามสองข้อ
ซูเฟยตกใจ ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จึงอดยกนิ้วโป้งให้ซูเจ๋อไม่ได้ เขาพูดด้วยความประหลาดใจว่า ”จื่อหมิง เจ้าช่างมองการณ์ไกลนัก ทำให้ลุงรองอย่างข้ารู้สึกละอายใจอย่างยิ่ง ต้องบอกเลยว่าตั้งแต่ฟื้นขึ้นมา เจ้าก็ต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง ลุงรองแทบจะไม่รู้จักเจ้าเลย”
“ท่านลุงรองพูดติดตลกอีกแล้ว หลานก็ยังเป็นหลานชายคนเดิม” ซูเจ๋อยิ้มและโอบไหล่ซูเฟย “กลับไปดื่มที่จวนเถอะ วันนี้ข้ากับท่านลุงไม่เมาไม่เลิก”
เมื่อซูเฟยได้ยินว่ามีการดื่ม ดวงตาของเขาก็เป็นประกายในทันที เขาคิดว่าหลานชายของตนพูดได้ดี แต่สุดท้ายเขาก็รีบส่ายหัวแล้วพูดว่า ”ดื่มได้ไม่เป็นไร แต่ถ้าไม่เมาแล้วกลับดึก ป้าของเจ้าที่เป็นแม่เสือดุจะไม่ยกโทษให้ข้านะสิ”
“กลัวอะไรเล่า ยังไงก็เถอะ ท่านลุงคุ้นชินกับการคุกแล้ว คุกเข่าอีกครั้งจะเป็นไรไปเล่า”
“ไอ้เด็กเวร เจ้ากล้าเปิดเผยความลับของลุงอย่างข้าหรือ ไม่รู้จักเด็กไม่รู้จักผู้ใหญ่ซะแล้ว”