ตอนที่ 13 กองทัพใหญ่บุกประชิด
ทางตะวันออกของเมืองปี่หยาง ณ เขาโงจิวสัน
โจรกบฏโพกผ้าเหลืองกว่าสามพันคน ประจำการอยู่ที่นี่ตลอดทางขึ้นเขา พวกเขามีการป้องกันที่แน่นหนา มีเวรยามดูแลอย่างใกล้ชิด คอยระแวดระวังภัยตลอดเวลา
ที่ห้องรับรองในค่ายทหารบนยอดเขา
ชายผู้มีใบหน้าดำคล้ำ เคราสั้น โพกผ้าสีเหลืองบนศีรษะ ท่าทางแข็งแรง นั่งหน้าบูดบึ้งอยู่ที่นั้นโดยไม่พูดไม่จา เขากำลังจิบของเหลวสีแดงสดในถ้วยไปด้วย
โจรกบฏโพกผ้าเหลืองที่อยู่ด้านซ้ายและขวาต่างยืนอยู่ด้วยอาการหวาดผวา ตัวเกร็ง หายใจไม่ออก บนใบหน้าของพวกเขาแสดงความหวาดกลัวออกมาอย่างชัดเจน
เพราะว่า สิ่งที่เจ้านายหน้าดำกำลังดื่มอยู่นั้นคือ ‘เลือดสดๆของมนุษย์’
เลือดมนุษย์หนึ่งแก้วไหลลงคอของชายหน้าดำคนนั้นแล้ว เขาก็เช็ดเลือดที่มุมปากของเขา ใช้มีดจิ้มเนื้อแกะที่ปรุงสุกกำลังจะเอาเข้าปาก พลันได้ยินเสียงฝีเท้าที่เร่งรีบดังเข้ามาในหู
คนส่งสารวิ่งตาลีตาเหลือกบุกเข้าไปที่ห้องรับรอง เขาประสานมือคำนับแล้วพูดว่า "ท่านหัวหน้าจิว ท่านรองหัวหน้ากลับมาแล้วขอรับ"
"เหตุใดจึงกลับมาเร็วเช่นนี้" จิวฉองเอาเนื้อที่มีดแหลมเสียบอยู่ใส่ปาก พลางถามอย่างไม่พอใจขณะเคี้ยว"เจ้าเมืองปี่หยางคนใหม่มอบเสบียงอาหารให้แต่โดยดีหรือไม่?"
คนส่งสารพูดเสียงแผ่วว่า "ข้าน้อยไม่กล้าถามมาก รองหัวหน้ากลับมาพร้อมอาการบาดเจ็บ และมีพี่น้องเพียงห้าสิบกว่าคนเท่านั้นที่กลับมา ทุกคนล้วนมีบาดแผลตามตัวทั้งนั้นขอรับ"
จิวฉองขมวดคิ้วด้วยสีหน้างุนงง แววประหลาดใจปรากฏอยู่ทั่วใบหน้าสีดำ
วินาทีต่อมา เขาก็สงบสติอารมณ์ได้อีกครั้ง แล้วโบกมือให้สัญญาณเพื่อให้คนส่งสารถอยไป
“เจ้าเมืองคนใหม่แซ่ซูผู้นี้กล้าเล่นตุกติกรึ......" จิวฉองเดาในใจ มีดในมือของเขาปักลงถาดอย่างแรง
หลังจากนั้นไม่นาน หุยง่วนเสียวที่ทั้งตัวชุ่มโชกไปด้วยเลือด ถูกช่วยพยุงพาเดินเข้ามาในห้องรับรองทั้งที่ยังโกรธอยู่
จิวฉองเหลือบมองเขา เห็นว่าเขาไม่เพียงแต่บาดเจ็บที่แขน แต่ยังบาดเจ็บที่ใบหูด้วย ช่างเป็นเรื่องที่น่าเศร้าอย่างยิ่ง ใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นตกใจ พลางถามว่า "ง่วนเสียว เกิดอะไรขึ้นกับเจ้า?"
"มารดามันซิ นี่เป็นฝีมือของเจ้าขุนนางสุนัขแซ่ซู!"
หุยง่วนเสียวทรุดตัวลงนั่งด้วยความโกรธจัดที่ถูกซูเจ๋อซุ่มโจมตี ถูกทหารม้าฝ่ายตรงข้ามโจมตี หลังจากพ่ายแพ้เขาก็หาทางหลบหนีกลับมาจนได้
หลังจากฟังจบ จิวฉองก็มีสีหน้าประหลาดใจมากขึ้น เขาดูเหลือเชื่อในขณะที่เอ่ยถามว่า "ซูเจ๋อผู้นี้มีความกล้าหาญเช่นนี้เลยหรือ? เขาไม่รู้หรอกหรือว่าพวกเราพี่น้องร้ายกาจขนาดไหน? ไม่รู้หรือว่าเจ้าเมืองทั้งสองตายยังไง?"
"ใครจะไปรู้ว่าเขากินยาอะไรผิด ถึงได้ไม่กลัวตายเยี่ยงนี้!" หุยง่วนเสียวสาปแช่งอย่างเกรี้ยวกราด
คิ้วหนาของจิวฉองย่นเข้าหากัน ตาโปนของเขามีความอยากรู้เพิ่มขึ้น เขาถามคนส่งสารว่า "เจ้ามีหน้าที่สอดแนมหาข่าว เจ้าบอกข้าสิว่า ซูเจ๋อผู้นี้มีที่มาที่ไปอย่างไร เหตุใดจึงได้ใจกล้ามากเช่นนี้?"
คนส่งสารนั้นรีบเล่าว่า "ข้าน้อยได้ยินว่า ซูเจ๋อเกิดในครอบครัวที่ยากจนในจิงโจว ครอบครัวไม่ได้มีอำนาจมาก แต่เขาถูกซือหม่าฮุยผู้มีชื่อเสียงยกย่องว่าเขาเป็นบัณฑิตอัจฉริยะของจิงเซียง สมญานามว่ามังกรหลับ ข้าน้อยไม่ทราบว่าคนๆ นี้ใช้วิธีการอะไร ถึงได้รับการแต่งตั้งจากเล่าเปียวให้มาเป็นเจ้าเมืองปี่หยาง เขามีความกล้าหาญมากที่ต่อสู้กับพวกเรา"
"บัณฑิตอัจฉริยะของจิงเซียง มังกรหลับ..." มีประกายตาแปลกๆ ในดวงตาของจิวฉองที่ค่อยๆ แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ราวกับว่าเขาแทบรอที่จะเห็นซูเจ๋อคนนี้ไม่ไหว
หุยง่วนเสียวร้อนใจ เขาตบโต๊ะแล้วด่าว่า "ไม่ว่าเขาจะเป็นมังกรหลับหรือหนอนหลับ เขากล้าต่อต้านพวกเราที่เขาโงจิวสัน และทำหูข้าบาดเจ็บ ถ้าไม่ได้ล้างแค้นศัตรูในครั้งนี้ ต่อไปยังจะมีใครกลัวพวกเราเขาโงจิวสันอีกเล่า!”
จิวฉองโกรธจนตัวสั่น เขาใช้ความคิดอยู่ครู่หนึ่ง ใบหน้าดำๆ นั้นก็บ่งบอกถึงเจตนาจะฆ่าอีกฝ่ายให้สิ้นซาก
พลั่ก!
จิวฉองตบโต๊ะแล้วลุกขึ้นยืนทันที พูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า "เพราะเจ้าแซ่ซูไม่รู้จักไว้ไมตรี ข้าจิวฉองผู้นี้ จะทำให้เขาได้เห็นถึงความร้ายกาจแห่งเขาโงจิวสันของข้า สั่งการลงไป พวกเราพี่น้องทั้งค่าย ข้าต้องการจะถล่มเมืองปี่หยางให้ราบคาบ!”
หุยง่วนเสียวถอนหายใจด้วยความโล่งอก พลางร้องทักขึ้น "ไปควักหัวใจพวกสมาชิกทุกคนที่เหลืออยู่ในครอบครัวของอดีตเจ้าเมืองมาให้ข้า ข้าอยากกินหัวใจพวกมันเพื่อระบายโทสะ”
ลิ่วล้อที่อยู่รอบๆ ตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว ไม่กล้าขัดคำสั่ง จึงรีบไปทำตามคำสั่งทันที
“เหล่าจิว ข้าจะบอกให้ ข้าเตรียมทหารไว้ให้เจ้าแล้ว ข้าขอกลับไปพักผ่อนก่อน หลังจากข้าพักฟื้นหายดีแล้ว ข้าจะลงเขาไปฆ่าไอ้คนแซ่ซูพร้อมกับเจ้า”
หุยง่วนเสียวพูดไปด่าไป แล้วให้คนช่วยพยุงเขาพาเขาลงไป
จิวฉองเฝ้าดูหุยง่วนเสียวจากไป ด้วยสายตาหยอกล้อ
ในตอนนี้ คนส่งสารไม่เห็นใครอยู่รอบๆ จึงเอนตัวไปข้างหน้า พลางพูดกระซิบว่า "ท่านหัวหน้าใหญ่ ท่านรองหัวหน้า ผู้นี้เอาแต่ใจ อยากเอาชนะเกินไปแล้ว เขาไม่นับถือท่านเป็นหัวหน้าใหญ่ ที่ลงเขาไปหาเสบียงอาหารคราวนี้ เห็นได้ชัดๆ ว่าท่านต้องการจะส่งผู้อื่นไป แต่เขาก็ไม่ฟัง ยืนกรานจะไปเอง เดี๋ยวก็พ่ายแพ้กลับมาอีก เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาเองที่เป็นคนผิด และ...”
จิวฉองยกมือขึ้น ขัดจังหวะของคนส่งสาร
คนส่งสารรู้ความหมาย เขาไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากหุบปาก
“คนแซ่ซูกล้าไม่เห็นข้าแห่งเขาโงจิวสันอยู่ในสายตา ตอนนี้สิ่งสำคัญอันดับแรกของเราคือ การทำลายคนแซ่ซูก่อน เพื่อเรียกศักดิ์ศรีของเขาโงจิวสันกลับมาอีกครั้ง ส่วนคนอื่นๆ หลังจากที่ฆ่าคนแซ่ซูแล้ว ข้าจะฆ่าทิ้งอย่างแน่นอน....”
เสียงของจิวฉองแหบและต่ำ เผยความต้องการฆ่าออกมา
คนส่งสารนึกขึ้นได้ จึงรีบกล่าว “ข้าน้อยเข้าใจแล้วขอรับ ท่านหัวหน้าใหญ่ช่างหลักแหลมนัก ข้าน้อยจะไปรวบรวมพี่น้อง ให้เตรียมตัวส่งทหารไปเดี๋ยวนี้
คนส่งสารออกไป จิวฉองเดินไปที่ประตูห้องโถงพร้อมกับแก้วเลือด มองไปทางปี่หยางที่อยู่ห่างไกลออกไป แล้วพูดอย่างเย็นชาว่า “ซูเจ๋อ ข้าอยากเจอเจ้านัก ว่าเจ้ามีความสามารถอะไรบ้าง ถึงกล้ามาต่อกรกับข้าจิวฉองผู้นี้”
แล้วจึงดื่มเลือดในถ้วย รวดเดียวหมด
……
ณ เมืองปี่หยาง
ที่ห้องรับรองในที่ว่าการเมือง ซูเจ๋อกำลังเคี้ยวถั่วปากอ้า ฟังซูเซี๋ยวเสี่ยวรายงานการสำรวจสำมะโนครัวของชาวเมือง
ในขณะนี้ ซูเฟยรีบเข้ามา แล้วพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า "จื่อหมิง ข้าพูดไว้ไม่ผิดเลย จิวฉองผู้นั้นจะพาพวกโจรกบฎโพกผ้าเหลืองจำนวนสามพันคนลงจากเขาโงจิวสัน พวกมันมุ่งหน้ามาปี่หยางฆ่าพวกเรา เพื่อแก้แค้น”
ทุกคนที่อยู่ในห้องรับรองของที่ว่าการเมืองมีสีหน้าเปลี่ยนไป
“จิวฉอง ในที่สุดเจ้าก็มาจริงๆ...” ซูเจ๋อดูสุขุม ราวกับว่าเขาได้คาดการณ์ไว้ล่วงหน้าแล้ว
ซูเซี๋ยวเสี่ยวตกใจมากจนไม่สามารถถือหนังสือในมือให้แน่นได้ จึงรีบถามขึ้นว่า”ท่านลุงรอง ครั้งนี้พวกโจรกบฎโพกผ้าเหลืองมีคนมากกว่าพวกเราสิบเท่า ศัตรูมากขนาดนี้ พวกเราจะต้านไหวไหม?”
"ยากมาก ยากจริงๆ” ซูเฟยส่ายศีรษะ และถอนหายใจ
“แล้วเราควรทำอย่างไร?” ซูเซี๋ยวเสี่ยวถามอย่างเป็นกังวล
ซูเฟยครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง พลางถอนใจแล้วพูดว่า "ตอนนี้ ทำได้แค่รีบส่งคนไปที่เมืองอ้วนเซียเพื่อขอความช่วยเหลือจากเจ้าเมืองไช่ ขอให้เขาส่งกองกำลังทหารมาปกป้องเราที่ปี่หยาง”
“เจ้าเมืองไช่?” คิ้วของซูเซี๋ยวเสี่ยวขมวด แล้วนางก็ส่ายศีรษะ พูดว่า”เจ้าเมืองไช่ผู้นั้น เมื่อตอนอยู่ในสนามคัดเลือก เขาไม่พอใจคุณชายเหมือนกับพวกสี่ตระกูลใหญ่นั้น ยิ่งคุณชายไปทำให้ตระกูลหวงโกรธด้วย ข้าเกรงว่าเขาจะแก้แค้นเป็นการส่วนตัว ไม่มาช่วยแถมยังจะปล่อยให้เราตายแทนน่ะสิ”
ซูเฟยตกใจ แต่ยังพูดว่า "ยังไงเสีย เมืองปี่หยางก็เป็นเขตปกครองของเจ้าเมืองไช่ เจ้าเมืองไช่ผู้นั้นก็ถือว่าเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงของจิงเซียงคนหนึ่ง ข้าคิดว่าเขาคงไม่ใจแคบ เห็นแก่ส่วนรวมมากกว่า”
ซูเซี๋ยวเสี่ยวไม่รู้จะพูดอะไรอีก นางจึงมองไปที่ซูเจ๋อ
ซูเจ๋อครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วหันมาพูดว่า "ยังไงก็เถอะ พวกเราเตรียมแผนรบไว้สองแผนก่อน แผนแรกให้ยึดตามที่ท่านลุงรองบอก รีบส่งคนไปที่เมืองอ้วนเซีย เพื่อขอความช่วยเหลือ หวังว่าไช่ม่อจะไม่ทำเพื่อประโยชน์ส่วนตัว”
“แล้วแผนที่สองล่ะ?” ซูเฟยถาม
ซูเจ๋อถอนหายใจเบาๆ "จิตใจมนุษย์นั้นชั่วร้าย เราต้องเตรียมใจไว้ให้พร้อม หากไช่ม่อคิดยืมดาบฆ่าคน ถ้าเขาปฏิเสธที่จะให้ความช่วยเหลือ เราต้องพึ่งพาตนเองให้ได้เท่านั้น"
ซูเฟยตกใจจนตัวสั่น เขาพูดด้วยความขมขื่นว่า "อย่างไรก็ตาม ด้วยกองทัพคนและม้าที่รวบรวมใหม่ทั้งสามร้อยนายของเรา พวกเราจะสู้กับพวกโจรกบฎโพกผ้าเหลืองสามพันคนได้อย่างไร"
ซูเจ๋อไม่พูดอะไรอีก จู่ๆ ก็หลับตา เอามือก่ายหน้าผาก เริ่มใช้ความคิดไตร่ตรอง
ซูเซี๋ยวเสี่ยวและซูเฟยสบตากัน ทั้งสองคนงุนงงกับพฤติกรรมแปลกๆ ของซูเจ๋อที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันนั้น จะมาไม้ไหนอีกหนอ?
หลังจากครุ่นคิดอยู่นาน ทันใดนั้น ร่างของซูเจ๋อก็เริ่มสั่น คิ้วขมวดขึ้นมา ราวกับมีความเจ็บปวดปรากฏขึ้นในร่างกายของเขา
หลังจากนั้นไม่นาน ซูเจ๋อก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก สีหน้าเปลี่ยนเป็นดูดีขึ้นมาก
พอเขาลืมตาขึ้น ใบหน้าเรียวเล็กของเขาก็ปรับเป็นปกติอีกครั้ง เขาโบกมือแล้วออกคำสั่ง "ท่านลุงรอง รีบพาทหารม้ากลุ่มหนึ่งออกจากเมืองแล้วตัดต้นไม้เพื่อขวางทาง ขุดหลุมที่ถนนด้วยก็ดี ยิ่งก่อกวนทหารม้าได้มากเท่าไหร่ยิ่งดี ยังไงก็ตามเราต้องชะลอความเร็วในการเดินทัพของพวกโจรกบฏโพกผ้าเหลือง เพื่อถ่วงเวลาให้ข้าเจ็ดวัน ห้ามเกินห้ามขาดแม้แต่วันเดียว”