ตอนที่ 15 ต้องสู้ตายอย่างเดียว
เวลาล่วงเลยเข้าสู่วันที่เจ็ด ณ ทิศตะวันออกของเมืองปี่หยาง
ท้องฟ้าเต็มไปด้วยเมฆ บรรยากาศอึมครึ้มแลดูน่าอึดอัด
ทหารราบมากกว่าสองร้อยนายและทหารม้าห้าสิบนายเข้าแถวอยู่ในเมือง ทหารแต่ละคนต่างดูกังวลใจและประหม่าอยู่ไม่น้อย
พวกเขาทั้งหมดรู้ดีว่านี่คือสงครามแห่งชีวิตและความตาย มันคือสงครามเพื่อปกป้องเมือง และมันกำลังมาเยือนพวกเขาอย่างรวดเร็ว
ซูเจ๋อยืนอยู่บนกำแพงเมือง เขามองไกลออกไปยังถนนทางทิศตะวันออก ก็เห็นฝุ่นค่อยๆ ลอยฟุ้งขึ้น เพียงชั่วพริบตาเดียว เขาก็เห็นซูเฟยรีบขี่ม้ากลับมาพร้อมกับทหารกว่าหนึ่งร้อยนาย
เขาสั่งให้รีบเปิดประตูเมืองทันที เพื่อให้ซูเฟยเข้าเมือง
สะพานแขวนถูกปล่อยลงมา ประตูเมืองถูกเปิดออก ซูเฟยนำทหารที่เหนื่อยล้านับร้อยรีบเร่งเข้าเมืองไปอย่างรวดเร็ว
ซูเฟยก้าวขึ้นไปที่หอสังเกตการณ์บนกำแพงเมือง ยามนี้เขาไม่กล้าแม้แต่จะหายใจ ก่อนจะพูดด้วยความกังวลว่า "จื่อหมิง ลุงพยายามอย่างเต็มที่แล้ว แต่เราต้านไม่ไหวแล้วจริงๆ อีกไม่นานพวกโจรกบฎโพกผ้าเหลืองสามพันนายก็จะมาถึงแล้ว"
"ท่านลุง ท่านทำได้ดีมาก ข้ายังกลัวว่าท่านจะถ่วงเวลาจนเกินกว่าที่ข้าคำนวณไว้เสียด้วยซ้ำ" ซูเจ๋อตบบ่าเขาเพื่อกล่าวให้กำลังใจ
ซูเฟยสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนเป่าลมออกทางปาก พลางรีบถามไถ่ว่า "จริงสิ กำลังเสริมที่เมืองอ้วนเซียส่งมา ถึงแล้วหรือยัง?"
ซูเจ๋อตอบอย่างเนิบๆ ว่า "เจ้าเมืองอ้วนเซีย ใต้เท้าไช่ของพวกเราให้หวงเซ่อนำทัพมาช่วย หวงเซ่อผู้นี้จงใจเคลื่อนทัพล่าช้า ตอนนี้อยู่ห่างจากเมืองปี่หยางไปสามสิบลี้ กำลังเสริมพาพึ่งไม่ได้แล้ว พวกเราต้องยืนหยัดต่อสู้ด้วยตัวเอง"
"อะไรนะ!?"
ซูเฟยผงะ และพูดอย่างกังวลว่า "ไม่มีกำลังเสริม พวกเรามีเพียงทหารม้าสามร้อยนายจะไปต้านกองทัพพวกโจรกบฎโพกผ้าเหลืองที่มีกำลังเหนือกว่าเป็นสิบเท่าได้อย่างไรกัน? คนแซ่หวงผู้นี้ ตั้งใจยืมดาบฆ่าคน!"
"ดังนั้น ข้าเลยตัดสินใจใช้แผนรุกแทนการตั้งรับ เพื่อเอาชนะพวกโจรกบฏโพกผ้าเหลืองในคราวเดียว"
ซูเฟยสะดุ้ง เขางุนงงไปครู่ใหญ่เพราะสมองยังคิดตามไม่ทัน เขาไม่เข้าใจความหมายที่ซูเจ๋อพูด
ใบหน้าผอมบางของซูเจ๋อปรากฏเค้าความหยิ่งทะนง เขาโบกมือพลางตะโกนว่า "จงออกคำสั่ง ยกทัพทั้งหมดออกไปนอกเมือง หน้าคูเมือง เราจะสู้ตายกับโจรกบฏโพกผ้าเหลือง!"
ทันทีที่สิ้นเสียงคำสั่ง บนกำแพงเมืองต่างเกิดความโกลาหล เพราะพลทหารทั้งหมดต่างเปลี่ยนสีหน้าไปอย่างรวดเร็ว
ซูเฟยผงะจนหน้าซีดตัวเย็นทันที เขาพูดด้วยความตกใจว่า "จื่อหมิง ลุงได้ยินไม่ผิดใช่หรือไม่ นอกเมืองมีโจรกบฏสามพันนาย เจ้าจะพาพวกเราที่มีกำลังพลเพียงแค่สามร้อยนายออกจากเมืองไปสู้?"
"ท่านลุงรอง ท่านได้ยินถูกแล้ว นี่คือคำสั่งบัญชาการทหารของข้า" ซูเจ๋อกล่าวด้วยเสียงหนักแน่น
ซูเฟยพูดไม่ออก ยามนี้เขาตัวสั่น หายใจถี่ พูดเสียงสั่นว่า "จื่อหมิง เจ้าต้องคิดให้ดี อย่าใช้อารมณ์มุทะลุมาร่วมไตร่ตรอง ทหารสามร้อยสู้กับทหารสามพัน กำลังทหารมันต่างกันมากจนเกินจะต้านได้..."
"ท่านลุง พอได้แล้ว!"
ซูเจ๋อสะบัดมือ ขัดจังหวะการพูดของเขา แล้วพูดสวนเสียงแข็งขึ้นทันทีว่า "ท่านลุงรองก็เคยผ่านสนามรบมาก่อน ท่านควรจะเข้าใจคำสั่งทางการทหาร แค่ทำตามคำสั่งเท่านั้นก็พอ"
ร่างของซูเฟยผงะ ดวงตาของเขาปรากฏแววประหลาดใจ เพราะเขาคาดไม่ถึงว่าหลานชายของตนจะดึงดันบ้าระห่ำเช่นนี้ แม้จะรู้สึกไม่พอใจ แต่ก็รู้ว่าคำสั่งทางทหารนั้นไม่อาจละเมิดได้ ได้แต่ลอบถอนหายใจยาวๆ แล้วหันศีรษะเดินออกไป เพื่อไปทำตามคำสั่งของซูเจ๋อ
สะพานแขวนถูกปล่อยลงมาอีกครั้ง และประตูเมืองก็ถูกเปิดออกอีกครั้ง ซูเจ๋อสวมชุดเกราะ พกดาบขึ้นม้าควบนำหน้าพลทหารออกจากประตูเมืองไปเป็นคนแรก
ซูเฟยอยู่ด้านหลังไม่ห่าง ปากก็ตะโกนปลุกใจกำลังพลว่า ”พี่น้อง จงรวบรวมความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวของเจ้าออกมา และติดตามเจ้าเมืองออกไป สู้ตายไปด้วยกัน”
ทหารราบสามร้อยนายและทหารม้าห้าสิบนาย แต่ละคนดูไม่ค่อยสบายใจนัก ต่างคนต่างไม่มีกระจิตกระใจจะออกรบ แต่ไม่กล้าขัดคำสั่ง จึงทำได้เพียงเดินตามออกจากเมืองด้วยความหวาดหวั่น
หลังจากนั้นไม่นาน ทหารราบและทหารม้าสามร้อยห้าสิบนายก็ออกจากเมืองไปยังประตูทางทิศตะวันออก
ธงรบของพวกเขามีตัวอักษร “ซู” ตัวใหญ่ปักเอาไว้ ซูเจ๋อยืนอยู่ตรงนั้นด้วยความเชื่อมั่นดั่งต้นสน เขามองออกไปไกลสุดลูกหูลูกตา
ยามพระอาทิตย์ตรงตัว ฝุ่นตรงหน้าตลบหนากว่าตอนที่ซูเฟยกลับมามากถึงสิบเท่า
ไม่นานนัก พวกโจรกบฏโพกผ้าเหลืองกว่าสามพันนายได้ประชิดใกล้เข้ามาอย่างมืดฟ้ามัวดิน ดั่งกระแสคลื่นน้ำทะเลสีดำที่ไหลพรูเข้ามา
เมื่อมองดูแล้วกองทัพโจรกบฏโพกผ้าเหลืองน่าเกรงขามยิ่งนัก กองทัพซูพากันเหงื่อตก หวาดหวั่นจนหายใจไม่ทั่วท้อง
ห่างออกไปหนึ่งลี้
จิวฉองเห็นสถานการณ์นอกเมืองปี่หยาง จึงอดรู้สึกแปลกใจไม่ได้ เขายกดาบด้ามใหญ่ในมือขึ้นแล้วตะโกนว่า ”ถ่ายทอดคำสั่งออกไป ให้กองทัพทั้งหมดหยุดเคลื่อนทัพ แล้วเตรียมทำศึก
สิ้นเสียงสั่งการ ธงอักษรโบกสะบัด กองโจรกบฏโพกผ้าเหลืองสามพันนายหยุดเคลื่อนพลทันที จัดแถวเล็กบ้างใหญ่บ้างสิบกว่าแถว แบ่งเป็นกองอย่างมีระเบียบ แผ่ขยายตั้งแต่เหนือจรดใต้
"ซูเจ๋อผู้นี้ช่างกล้าหาญมาก กล้านำกองทัพออกจากเมืองมาสู้รบกับพวกเรา ดูเหมือนเขายังต้องการจะสู้กับข้าตรงคูเมืองนี่ให้ได้ใช่ไหม?" จิวฉองร้องตะโกน เลิกคิ้วขึ้นด้วยความรู้สึกชื่นชม
หุยง่วนเสี่ยวแทบทนรอไม่ไหว จึงได้ตะโกนออกไปว่า "ก็ดีแล้ว ถ้าไอ้สุนัขแซ่ซูจะมารับพวกเราเข้าเมืองของมันด้วยตัวเอง พี่จิว พวกเรารออะไรอยู่เล่า รีบเคลื่อนทัพใหญ่ของเราบุกเข้าโจมตีแล้วฆ่าคนพวกนี้ให้หมดในคราเดียว ข้าจะฆ่าไอ้แซ่ซูนั่นด้วยตัวข้าเอง!"
"น้องหุย คราวที่แล้วเจ้าต้องทรมานเพราะเด็กคนนี้ เจ้าลืมเร็วไปหรือเปล่า? ครั้งนี้ยังจะหุนหันพลันแล่นอีก ไม่กลัวโดนเด็กคนนั้นหลอกอีกหรือ?" จิวฉองถามกลับ น้ำเสียงแฝงแววประชดอยู่เล็กน้อย
ใบหน้าของหุยง่วนเสี่ยวคล้ำขึ้น เขากลืนน้ำลายแล้วพูดอย่างไม่พอใจว่า "อย่างนั้น ท่านจะทำอย่างไร?"
จิวฉองไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า "เด็กคนนี้มีไหวพริบดี เราไม่อาจประมาณศัตรูได้ สั่งการลงไป รีบส่งหน่วยสอดแนมไปตรวจสอบบริเวณใกล้เคียง ดูซิว่าเด็กคนนั้นมีทหารคอยดักซุ่มโจมตีพวกเราหรือไม่"
เมื่อสั่งการจบ หน่วยสอดแนมก็แยกย้ายกันไปเริ่มลาดตระเวน
จิวฉองยังไม่รีบเข้าโจมตี สั่งให้กองทัพทั้งหมดเตรียมพร้อม ไม่ชะล่าใจ และให้รอฟังคำสั่ง
ทั้งสองกองทัพอยู่ห่างกันหนึ่งลี้ ทว่าไม่มีฝ่ายใดกล้ากระทำการบุ่มบ่าม เข้าปะทะกันซึ่งๆ หน้า ต่างคนต่างรอดูเชิงกันอยู่
ทางฝั่งกองทัพซู
ซูเฟยเห็นสถานการณ์ของกองทัพโจรกบฏ จึงอดถามด้วยความสงสัยไม่ได้ว่า "จื่อหมิง เจ้าว่าจิวฉองผู้นี้คิดจะทำอะไร ทั้งที่มีทหารและทหารม้ามากกว่าเราสิบเท่า เห็นชัดกันอยู่ว่าพวกเขาสามารถบดขยี้เราได้ภายในพริบตา แต่เหตุใดจึงไม่มีการเคลื่อนไหว?"
"จิวฉองผู้นี้ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ" ดวงตาของซูเจ๋อปรากฏความยอมรับนับถือ "จิวฉองสุขุมกว่าหุยง่วนเสี่ยวมาก เขาเห็นว่ากองทัพของเรามีทหารน้อยกว่า แต่ริอาจเคลื่อนทัพออกจากเมือง เขาสงสัยว่านี่จะเป็นกลอุบายเพื่อล่อศัตรู เกรงว่าจะถูกซุ่มโจมตี ดังนั้นจึงไม่กล้าบุ่มบ่าม เลยต้องส่งหน่วยสอดแนมมาสืบความจริงก่อนจะลงมือโจมตี"
ซูเฟยกระจ่างในคำอธิบาย จึงไม่แปลกใจเลยว่า เหตุใดโจรกบฏโพกผ้าเหลืองแห่งเขาโงจิวสันนี้ยากจะรับมือนัก นั่นเป็นเพราะพวกเขามีจิวฉองเป็นหัวหน้าที่ยอดเยี่ยมนั่นเอง
หลังจากเข้าใจแล้ว ซูเฟยก็ยังคงกังวลจึงพูดว่า ”หากเป็นอย่างที่พูดมา จิวฉองจะต้องพบในไม่ช้าว่าเราไม่ได้มีทหารซุ่มโจมตีแม้แต่อย่างใด แล้วพวกเรายังมายืนทำอะไรตรงนี้ จะรอให้คนอื่นเขาสืบหาความจริงจนเจอ แล้วปล่อยให้กองทัพใหญ่มาถล่มอย่างนั้นใช่หรือไม่?”
ซูเจ๋อไม่ได้อธิบาย แต่เขาล้วงเอาถั่วปากอ้าหนึ่งกำออกจากกระเป๋า พลางขบเคี้ยวกินอย่างเอร็ดอร่อยต่อหน้าต่อตาของทุกคน
เหล่าทหารได้ยินเสียงเขาเคี้ยว “กุ๊บกั๊บ” ยิ่งทำให้พวกเขารู้สึกผิดหวังและหวาดหวั่นมากยิ่งขึ้น
ซูเฟยไม่อยากจะถามอีก เขามองหลานชายด้วยสีหน้าว่างเปล่า พลางคิดในใจว่า ”นี่มันเวลาหน้าสิ่วหน้าขวาน ทำไมเจ้าเด็กดื้อจื่อหมิงยังมีใจมากินถั่วปากอ้าอยู่อีก เขาไปเอาความมั่นใจมาจากไหนหนอ...”
เวลาผ่านไป ไม่นานเวลาก็ล่วงเลยไปกว่าครึ่งชั่วยามแล้ว
หน่วยสอดแนมที่จิวฉองส่งออกไปกลับมาถึงสนามรบทีละคน พร้อมรายงานผลจากการลาดตระเวนว่า ภายในบริเวณนี้ ไม่มีทหารซุ่มโจมตีใดๆเลย
หุยง่วนเสี่ยวที่ร้อนใจอยู่ก่อนแล้ว จึงร้องออกมาอย่างอดทนรอไม่ไหวว่า ”ได้ยินหรือไม่ว่าไม่มีการซุ่มโจมตีเลย เด็กนั่นมันรนหาที่ตายเอง จิวฉอง พวกเรายังจะรออะไรอีก !”
จิวฉองมองไปที่ธงที่ปักอักษรตัวใหญ่ว่า “ซู” ยังคงมีความสงสัยอยู่ในดวงตาของเขา แม้จะได้ยินว่าไม่มีการซุ่มโจมตีโดยรอบบริเวณนี้ แต่กลับยังรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ เหมือนมันมีลางทำให้ใจเขาไม่สงบ
แม้ว่าเขาจะสงสัย แต่เขาก็ทนการรบเร้าของหุยง่วนเสี่ยวไม่ได้ ดังนั้นเขาจึงต้องสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ชี้ดาบไปยังกองทัพซู แล้วตะโกนขึ้นว่า ”กองทัพทั้งหมด โจมตี ฆ่าทหารฝ่ายศัตรูให้สิ้นซาก แล้วถล่มเมืองปี่หยางให้ราบเป็นหน้ากลอง หากผู้ใดจับเป็นซูเซ๋อได้ ข้าจะให้รางวัล!”