ตอนที่ 16 ปราบโจร!
“จับเป็นซูเจ๋อ..”
“จับเป็นซูเจ๋อ..”
โจรกบฏโพกผ้าเหลืองสามพันคนเหมือนฉีดเลือดไก่มา พวกเขาถืออาวุธกวัดแกว่งพลางร้องตะโกนอย่างฮึกเหิม จนรู้สึกถึงความสั่นสะเทือนจากพื้นดินใต้เท้า
หวูดดดดด~~
เสียงแตรสังหารดังสนั่น เสียงฝีเท้าสะเทือนแผ่นฟ้าสะท้านแผ่นดิน ทหารหลายสิบขบวนทั้งใหญ่และเล็ก ราวกับฝูงยักษ์ดูเอิกเกริก เริ่มเคลื่อนเข้าไปใกล้ทิศทางกองทัพซูอยู่
เพียงชั่วครู่ กองโจรก็ก้าวไปไกลราวสามร้อยก้าว การต่อสู้ครั้งใหญ่กำลังใกล้เข้ามาทุกที
ทหารกองทัพซูหายใจถี่ขึ้น เส้นประสาทตึงจนขาสั่น มือที่ถือดาบเปียกชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อเย็นยะเยือก
การต่อสู้ครั้งก่อน เป็นเพียงการซุ่มโจมตีเท่านั้น นับเป็นชัยชนะโดยบังเอิญเท่านั้น
คราวนี้เป็นการเผชิญหน้ากันแบบตัวต่อตัวของจริง เป็นศึกที่ต้องสูญเสียทั้งเนื้อและเลือดของจริง ทหารเกณฑ์เหล่านี้ใจเต้นเร็วเพราะความหวาดกลัว แต่ก็ไม่กล้าประหม่า
เมื่อเห็นกองทัพศัตรูใกล้เข้ามา ซูเฟยจึงสูดหายใจเข้าไปเฮือกใหญ่ ชักม้าไปหยุดอยู่หน้าซูเจ๋อ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า ”จื่อหมิง เจ้าเป็นผู้สืบทอดเพียงคนเดียวของตระกูลซูเรา เจ้าต้องไม่ตายที่นี่ เจ้ารีบกลับเข้าเมืองไปเร็ว ศึกนี้ลุงจะสู้เพื่อเจ้า ถ้าลุงแพ้ เจ้าต้องสัญญากับลุงว่าจะหนีไปจากเมืองปี่หยางทันที”
ในเวลาความเป็นความตาย ซูเฟยที่ขี้ขลาด กลับยอมเสียสละชีวิตของเขาเพื่อซูเจ๋อ
เมื่อเห็นท่านลุงรองยอมตายเพื่อตน ซูเจ๋อรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นใจ เขาพูดอย่างเฉียบขาดว่า “สิ่งที่ท่านลุงรองพูดนั้น ข้าผู้เป็นเจ้าเมืองและเป็นแม่ทัพจะรักตัวกลัวตายได้อย่างไร หากข้าหนีไปจากเมืองแล้วเรื่องนี้แพร่ออกไปล่ะก็ ภายภาคหน้าข้าซูเจ๋อจะต้องพบเจอความยุ่งยากไม่จบไม่สิ้น!”
“แต่...” ซูเฟยยังคงมีความกังวล
“ท่านลุงรองไม่ต้องพูดอะไรแล้ว!” ซูเจ๋อพูดต่ออีกว่า “ข้าตัดสินใจแล้ว วันนี้ ข้าจะอยู่และตายพร้อมกับทหาร สู้ตาย ไม่มีถอย!”
ซูเฟยตะลึงตัวสั่น ตกใจกับความตั้งใจแน่วแน่ของซูเจ๋อ ต่อให้เขาจะโน้มน้าวอย่างไรก็ไร้ประโยชน์
ในความสิ้นหวังนี้ ซูเฟยถึงกับถอนหายใจพลางกัดฟันแล้วพูว่า ”เอาล่ะ ไม่ว่าจะเป็นหรือตาย ลุงอย่างข้า จะอยู่กับเจ้า!”
พูดจบ ซูเฟยไม่รู้จะพูดอะไรอีก เขาหันหลังกลับ ชักดาบแล้วควบม้าออกไปยังกลุ่มโจรกบฏโพกผ้าเหลืองอย่างดุดัน
สองร้อยก้าว!
ขณะที่ลุงและหลานชายของเขากำลังสนทนากัน พวกโจรกบฏโพกผ้าเหลืองก็ก้าวออกไปแล้วสองร้อยก้าว คันธนูถูกง้างออกเพื่อเตรียมยิงระยะไกล
หัวใจของทหารกองทัพตระกูลซูกระดอนขึ้นมาถึงลำคอ ด้วยความอกสั่นขวัญแขวน
ที่บนกำแพงเมือง ซูเซี๋ยวเสี่ยวกำมือแน่น ใบหน้างามเต็มไปด้วยความกังกล ใจเต้นแรง ปากก็พึมพำอธิษฐาน ”เทพเซียนเจ้าขา ขอท่านได้โปรดคุ้มครองคุณชายของข้าด้วยเจ้าค่ะ อย่าให้เขามีอันตราย ข้าของวิงวอนท่านล่ะ...”
หนึ่งร้อยห้าสิบก้าว!
ธนูของโจรโพกผ้าเลืองเล็งไปที่กองทัพซู เพียงแค่รอคำสั่ง ลูกธนูก็พร้อมจะพุ่งเข้าใส่เพื่อสังหารศัตรูอย่างน่าสะพรึงกลัว
ใบหน้าของหุยง่วนเสี่ยวเต็มไปด้วยชิงชัง ดวงตาเต็มไปด้วยความอาฆาตพยาบาท เขาจับจ้องไปที่ซูเจ๋อ เพียงรอให้ลูกธนูที่กระหน่ำยิงออกไป จากนั้นเขาจะพุ่งเข้าไปฉีกร่างซูเจ๋อเป็นชิ้นๆ ด้วยมือของเขาเอง
จิวฉองค่อยๆ ยกมือขึ้น แล้วพูดเสียงดังว่า ”พลธนูฟังคำสั่ง เตรียมยิง......”
คำว่า “ยิง” ยังไม่ทันถูกพูดออกไป จู่ๆ ก็มีเสียง “วิ้ว” ขึ้นในหู ตามมาด้วย ฝุ่นปลิวว่อนพุ่งเข้าใส่หน้าเขาจนตาพร่า
จิวฉองหลับตาลงโดยสัญชาตญาณ เขาเอามือขยี้เขี่ยฝุ่นที่เข้าตาออก แล้วลืมตาขึ้นอีกครั้ง แต่แล้วเขาก็ต้องรู้สึกประหลาดใจกับสิ่งที่เห็น เมื่อจู่ๆ ก็มีกระแสของลมตะวันตกพุ่งปะทะเข้าใส่อย่างรุนแรง
พายุไต้ฝุ่น!
เกิดลมกรรโชกแรงพัดฝุ่นตลบ จนพวกโจรกบฏโพกผ้าเหลืองต้องหลับตาและยกมือเพื่อป้องดวงตาเอาไว้
การมองเห็นของพลธนูนับร้อยถูกขัดจังหวะในทันที จนพวกเขาต้องลดธนูลงเพื่อปิดตาตามสัญชาตญาณ
เนื่องจากเกิดพายุขึ้นกะทันหันเช่นนี้ ทำให้การเคลื่อนพลของพวกโจรกบฏโพกผ้าเหลืองต้องชะงักและล่าช้าลง
ในกองทัพซู
“ในที่สุดก็มาทันเวลาจริงๆ ไม่ขาดแม้แต่เสี้ยววินาทีเดียว” มุมปากของซูเจ๋อยกยิ้มขึ้นอย่างโล่งอก
จากนั้น เขาก็ยกแส้ม้าขึ้น แล้วตะโกนว่า ”ฟังคำสั่ง รีบส่งสัญญาณควัน ให้จุดคบเพลิงที่ข้าให้เตรียมไว้”
เมื่อสั่งการจบ ทหารสิบกว่านายยกเตาอั้งโล่ที่เตรียมไว้ล่วงหน้าออกมาทันที สิ่งที่อยู่ในกล่องไฟ ล้วนเป็นหญ้าแห้งและมูลวัวมูลแกะ
ทันใดนั้น เตาอั้งโล่หลายสิบเตาก็ถูกจุดขึ้น ควันดำหนาทึบลอยขึ้นไปบนท้องฟ้าแล้วลอยไปตามลมตะวันตกไปปลิวใส่โจรกบฏโพกผ้าเหลืองที่อยู่ห่างออกไปหนึ่งร้อยห้าสิบก้าว
เพียงชั่วพริบตาเดียว โจรกบฏโพกผ้าเหลืองสามพันคนก็ถูกควันดำล้อมไว้ พวกเขาไม่อาจลืมตาได้ขึ้นได้ ตอนนี้ระยะการมองเห็นของพวกเขาเหลือเพียงระยะสิบก้าวนั้น คล้ายคนตาบอดก็ไม่ปาน
เมื่อเห็นการต่อสู้ในครานี้ ทหารนับร้อยของตระกูลซูรวมถึงซูเฟยต่างตกตะลึง ความกลัวและความกังวลในตอนแรก ถูกแทนที่ด้วยความประหลาดใจ
ซูเฟยตะลึงไปครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็นึกขึ้นได้ เขาหันศีรษะไปมองดูซูเจ๋อด้วยความกังวล ด้วยตาร้อนผ่าว ถามอย่างตื่นเต้นว่า ”จื่อหมิง เจ้าเดาได้ว่าวันนี้จะมีลมพายุตะวันตกเกิดขึ้นในตอนเที่ยง เจ้าจึงบอกให้ข้าถ่วงเวลาพวกโจรกบฏโพกผ้าเหลืองให้ได้เจ็ดวันใช่หรือไม่?”
"ไม่อย่างนั้นข้าจะให้ลุงถ่วงเวลาทำไมเล่า" ซูเจ๋อยิ้มน้อยๆ "ท่านลุงรองคิดว่าข้าจะหยิ่งยโสจนเอาพลทหารและทหารม้านับร้อยเหล่านี้ไปต่อสู้กับกองทัพศัตรูที่มีกำลังมากกว่าสิบเท่า ข้า…..คือหลานชายของท่าน ข้าหาใช่คนโง่ไม่"
ซูเฟยมีท่าทางตกใจยิ่งกว่าเดิม เขาอดแปลกใจไม่ได้จึงพูดว่า "บอกมาตามตรง คราก่อนที่เจ้าชนะหวงเซ่อนั้น ลุงรองยังคิดว่าเจ้ามีโชคอยู่บ้าง แต่ตอนนี้ลุงรองคิดว่าเจ้ามีความสามารถในการพยากรณ์อากาศ เป็นเทพเซียนอย่างแท้จริง!"
ซูเจ๋อยิ้ม ดวงตาของเขามองไปที่หมอกด้านหน้า "หากจะชมข้า ค่อยชมหลังเสร็จศึกก็แล้วกัน ให้พลธนูของเราส่งของขวัญชิ้นใหญ่ใหักับจิวฉองก่อน"
ความสนใจของซูเฟยกลับไปที่สนามรบ เมื่อหันกลับไป สีหน้าเขาก็ไม่หดหู่แล้ว แต่กลับเต็มไปด้วยจิตวิญญาณในการต่อสู้แทน
เขาโบกดาบด้ามใหญ่ในมือ แล้วตะโกนขึ้นอย่างมีความสุขว่า "พลธนูจงยิงลูกศรเข้าไปในหมอก สังหารพวกโจรกบฏโพกผ้าเหลืองที่กำลังตาบอดเพราะพายุได้ตามใจชอบ!"
เมื่อสิ้นคำสั่ง พลธนูกว่าสามสิบนายมีกำลังใจเพิ่มขึ้นทันทีที่ลูกธนูถูกยิงออกไป ลูกธนูอันคมกริบพุ่งแหวกอากาศปลิวไปตามสายลม
ลูกธนูปลิวไปตามแรงลมเพิ่มความรุนแรงขึ้นเป็นทวีคูณ โจรกบฎโพกผ้าเหลืองที่ติดอยู่ในหมอกไม่อาจหลบเลี่ยงได้ ราวกับตาฝ้าฟาง พวกเขาถูกยิงตายมากมายราวใบไม้ร่วง
พลธนูและหน้าไม้ของกองทัพซูหยุดยิงชั่วคราว เสียงกรีดร้องโหยหวนของพวกโจรดังขึ้นเรื่อยๆ โจรกบฏโพกผ้าเหลืองสามพันคนแตกตื่นทัพเสียขบวนจนวุ่นวาย
“บ้าเอ้ย จู่ๆ ก็มีพายุมาได้ไง สวรรค์ เจ้าตาบอดหรือเปล่า!?” หุยง่วนเสี่ยวตวัดดาบของเขาเป็นพัลวันเพื่อปัดป้องลูกศร พร้อมกับสาปแช่งอย่างเกรี้ยวกราด
วิทยายุทธ์ของเขาไม่ได้อ่อนด้อย จึงได้แต่ตวัดดาบแกว่งไกวอย่างสิ้นหวัง แทบจะไม่ได้ป้องกันตัวเองเลย แล้วยังพวกโจรกบฏโพกผ้าเหลืองที่อยู่รอบๆ เหล่านั้นยิ่งน่าเวทนา
เพราะพวกเขามั่นใจในตัวเองมากเกินไป การศึกครั้งนี้ตั้งใจมาบุกเพื่อรุกฆาต ไม่ได้เตรียมการป้องกันไว้ ดังนั้น จึงมิได้เตรียมโล่มือจำนวนมากให้กับทหาร ครั้งนี้ทหารที่ไม่มีอุปกรณ์ป้องกัน ทั้งยังมีวิทยายุทธ์ต่ำจะทนต้านการลอบยิงนี้ได้อย่างไร กองโจรฝ่ายเขาย่อมถูกยิงร่วงลงพื้นอย่างน่าเวทนา
ในใจพลางคิดว่า ”เจ้าคนแซ่ซูผู้นี้ เตรียมเครื่องทำควันไว้ล่วงหน้าแล้ว มันจะเป็นไปได้อย่างไรที่เขาจะรู้ล่วงหน้าว่าจะเกิดพายุ? เขาก็แค่ปัญญาชนคนหนึ่ง จะมีความสามารถในการพยากรณ์อากาศขนาดนี้ได้อย่างไร มันเป็นไปไม่ได้...”