ตอนที่ 18 แก้แค้น!
ในฐานะผู้ชนะ ซูเจ๋อมีสิทธิ์ดูถูกเหยียดหยามขุนศึกที่ต้องพ่ายแพ้ตนเองให้ได้รับความอัปยศได้
จิวฉองยังคงอยู่ในอารมณ์โกรธแค้น เขาไม่ได้ระเบิดความโกรธด้วยการด่าสาดเสียเทเสีย หากแต่ค่อยๆ ใช้ดวงตาแดงที่แดงก่ำของเขาจ้องมองดูซูเจ๋ออย่างเพ่งพินิจพิจารณา เขาต้องการดูให้รู้ว่า “มังกรหลับ” ตัวนี้ ที่จับเป็นเขานั้น มีสามเศียรหกกรหรืออย่างไรกัน จึงได้สามารถทำนายลมและฝนได้
หลังจากเพ่งพินิจซูเจ๋อแล้วนั้น ดวงตาของจิวฉองก็พลันรู้สึกผิดหวัง
เจ้าเด็กแซ่ซูที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ นอกจากขาวและหล่อกว่าตัวข้า ดูไปแล้ว แม้แต่แรงเชือดไก่ก็ยังไม่ใคร่จะมี ไม่มีอะไรพิเศษเลย
จิวฉองพ่นลมหายใจออกมาอย่างเหยียดหยาม แล้วพูดว่า ”ที่แท้ก็แค่เด็กเมื่อวานซืน อาศัยความโกลาหลจากลมฟ้าอากาศเอาชนะไป กับข้าจิวฉองที่บังเอิญอับโชค จะฆ่าหรือจะแกงก็ตามใจเจ้าเถอะ!”
พูดจบ จิวฉองก็หลับตาลง ยืดคอพร้อมถูกประหารด้วยท่าทางที่ไม่กลัวตาย
“โจรชั่วใกล้ตาย กล้าพูดดี....”
ซูเฟยหงุดหงิด กำลังจะอ้าปากด่า แต่ถูกสายตาของซูเจ๋อปรามไว้เสียก่อน
ซู่เจ๋อมองลงมาที่เขาและพูดเยาะเย้ยว่า “ทำไม ดูท่าทางของเจ้าสิ เจ้าไม่พอใจหรือ? ”
จิวฉองลืมตาขึ้น เหลือบมองไปที่เขา ทำท่าฮึดฮัดแล้วพูดอย่างหยิ่งยโสว่า “ข้าถูกเจ้าจับกลับมา นั่นเพราะข้าโชคร้ายพ่ายแพ้ในศึกครั้งนี้ เจ้ามีสิทธิ์กระไรให้ข้านับถือเจ้า”
“เหตุใดจึงพูดเช่นนั้นเล่า เจ้าไม่เต็มใจที่จะกลับตัวมารับใช้ข้าใช่หรือไม่?” ซูเจ๋อถามกลับ
“น่าขันนัก ข้าจิวฉองยืนหยัดไม่หวั่นไหว จะให้ข้าลดตัวก้มหัวให้กับสุนัขรับใช้อย่างจริงใจได้เช่นไร!” จิวฉองตอบอย่างเด็ดเดี่ยว พร้อมกับยิ้มเยาะที่มุมปาก
ซูเฟยทนไม่ไหวแล้ว เขาพูดอย่างโกรธเคืองว่า ”จื่อหมิง โจรผู้นี้เป็นโจรที่ดื้อด้านนัก เขากับคนแซ่หุยผู้นั้น กินหัวใจมนุษย์ และดื่มเลือดมนุษย์ มิได้ต่างกระไรกับเดรัจฉาน ถึงแม้เขาจะยอมจำนนก็ตาม พวกเราจะละเว้นเขาได้อย่างไร”
เมื่อพูดถึงการกินเนื้อและดื่มเลือดมนุษย์ ซูเจ๋อดูตกใจ ดวงตาฉายแววความรังเกียจ
โจรกบฏโพกผ้าเหลือง เกิดขึ้นเพราะความยากจนและถูกขุนนางกดขี่ข่มเหง เมื่อเข้าตาจนไม่มีทางออกอื่น จึงได้เข้าร่วมและติดตามเตียวก๊ก ผู้ก่อตั้งและผู้นำของกลุ่มโจรกบฏโพกผ้าเหลือง ลุกขึ้นโจมตีเมือง ฆาตกรรมและลอบวางเพลิง ปล้นสะดมชาวบ้าน ใช่จะบาปหนาชั่วช้าเสมอไป
ยิ่งกว่านั้น ในประวัติศาสตร์โจโฉเคยนำพวกโจรกบฏโพกผ้าเหลืองที่เฉงจิ๋วจำนวนสามแสนคนเก็บไว้ใช้งานเอง เหมือนเล่าปี่ที่ยังมีนายพลเลียวหัวและจิวฉองผู้ภักดี ซูเจ๋อจะมีเหตุผลอะไรให้ฆ่าแกงเขา นอกจากจะนำจิวฉอง แม่ทัพผู้แข็งแกร่งของโจรโพกผ้าเหลืองมาไว้ใช้งานภายใต้การบัญชาการของตน
ยิ่งไปกว่านั้น ตราบใดที่จิวฉองยอมจำนน นักโทษโพกผ้าเหลืองหลายร้อยคนก็จะยอมจำนนด้วยเช่นกัน ถ้าหากสามารถรวมกองทัพเข้าด้วยกันในเวลาอันสั้นได้แล้วล่ะก็ มันจะเป็นประโยชน์กับเขาอย่างมาก แล้วเขาจะปล่อยโอกาสนี้ไปได้อย่างไรกัน
หากแต่ การดื่มเลือดมนุษย์นั้น เป็นพฤติกรรมที่ป่าเถื่อนเยี่ยงสัตว์ร้าย เป็นพฤติกรรมที่ซูเจ๋อรับไม่ได้ และเขาก็จะไม่ทนด้วย
“ในนั้นมีเลือดของมนุษย์อยู่ ไปนำมันมา” สายตาของซูเจ๋อจ้องมองไปที่ถุงหนังที่เอวของจิวฉอง
ซูเฟยก้าวไปข้างหน้า ดึงมันออกมาส่งให้ซูเจ๋อ
“เพียงแค่ดื่มเลือดมนุษย์ยังไม่พอ ยังจะพกมันไว้ดื่มแทนน้ำ เจ้าช่างวิปลาสเสียจริง...” ซูเจ๋อด่าว่า พร้อมกับดึงจุกออก แล้วดม
มีกลิ่นคาวแสบจมูกลอยขึ้นมา ทำเอาซูเจ๋อขมวดคิ้ว รีบส่งคืนให้ซูเฟย
ซูเฟยหยิบถุงหนังและดมด้วยจมูกของตนเอง จู่ๆ เขาก็กระพริบตา ดูเหมือนจะมีบางอย่างผิดปกติไป
“ไม่จริง นี่ไม่ใช่เลือดมนุษย์ ในนี้มันคือเลือดแกะ!”
“เลือดแกะ?” ซูเจ๋อตกใจ รับมาดมใหม่อีกครั้ง แต่ก็อดถามไม่ได้ว่า ”ท่านแน่ใจหรือว่าเป็นเลือดแกะ? ข้าว่ากลิ่นมันก็ไม่ต่างกัน”
ซูเฟยกล่าวอย่างมั่นใจว่า ”ลุงรองของเจ้า ใช้ชีวิตอยู่กับเลือดและดาบนานหลายปี กลิ่นคาวเลือดมนุษย์ยังเหม็นติดที่จมูกไม่เคยเลือน เจ้าต้องเชื่อข้าสิ”
เลือดแกะ?
จิวฉองผู้นี้ ทำไมต้องใช้เลือดแกะมาแสร้งทำเป็นเลือดมนุษย์?
“จิวฉอง ข้าอยากรู้จริงๆ ว่าเจ้ามีจุดประสงค์อะไรในการทำเช่นนี้?” ซูเจ๋อยกถุงหนังในมือขึ้นแกว่งไปแกว่งมา
ความลับของจิวฉองถูกล่วงรู้เสียแล้ว ใบหน้าของเขาปรากฏความอับอายขึ้น เขาพูดอย่างเงอะงะว่า “เหลวไหล เจ้าพูดเรื่องอะไร ไร้สาระ ถ้าอยากจะฆ่า ก็รีบๆ ฆ่าซะที!”
ดวงตาของซูเจ๋อกลอกไปมาเล็กน้อย แต่ก็พูดอย่างเยาะเย้ยขึ้นว่า "เจ้าอยากจะตาย แต่ข้าไม่คิดเหมือนเจ้า ข้าต้องการกองทัพของเจ้า”
จิวฉองตกใจ มองซูเจ๋อด้วยความแปลกใจ ราวกับกำลังพูดว่า นี่ข้ากำลังฝันไปหรือเปล่า
“ทหาร มานี่ แก้เชือกที่มัดเขาออก” ซูเจ๋อโบกมือและออกคำสั่ง
ทหารที่อยู่ทั้งซ้ายและขวาแก้เชือกบนตัวจิวฉองออกตามคำสั่งผู้เป็นนาย
จิวฉองสะบัดแขนแล้วมองซูเจ๋ออย่างสงสัย เขาไม่เข้าใจเจ้าบัณฑิตที่อยู่ข้างหน้าเขาผู้นี้ จะมาไม้ไหนกันแน่
ซูเจ๋อสะบัดมือ “จิวฉอง เจ้าไม่พอใจข้าใช่หรือไม่ ตอนนี้ข้าจะปล่อยเจ้าไป เจ้าสามารถกลับมาสู้กับข้าได้ใหม่อีกครั้ง แต่คราวหน้าหากเจ้าตกอยู่ในเงื้อมมือข้าอีก เจ้ามั่นใจได้เลยว่าตัวเจ้าจะต้องยอมจำนนต่อข้าอีกแน่นอน”
ทันทีที่ซูเฟยได้ยิน สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป เขารีบหันไปถลึงตามองซูเจ๋อ แต่ซูเจ๋อก็มิได้สนใจ
จิวฉองเองก็รู้สึกตกตะลึงมิใช่น้อย สีหน้าของเขาออกจะประหลาดใจและคาดไม่ถึงเสียด้วยซ้ำ ซูเจ๋อผู้นี้หยิ่งผยองนัก กล้าปล่อยเขาเพื่อให้กลับมาสู้กับตนเองใหม่อีกครั้ง
แถมยังโอ้อวดว่าจะจับเป็นตนอีกครั้ง
จิวฉองพูดด้วยความสงสัยและตกใจว่า ”เจ้าแซ่ซู เจ้าจะปล่อยข้าจริงๆ งั้นหรือ?”
“ใช่ ข้าซูเจ๋อพูดแล้วไม่คืนคำ”
ใบหน้าที่ตกใจของจิวฉองค่อยๆ เปลี่ยนเป็นความชื่นชม เขาพูดขึ้นอย่างห้าวหาญว่า ”เช่นนั้น เจ้าก็ล้างคอรอข้าได้เลย ข้าจะรีบรวบรวมทหารที่หนีพ่ายไป แล้วจะกลับมา ถ้าข้าจิวฉองตกไปอยู่ในเงื้อมือของเจ้าอีก ข้ายินดีจะมอบชีวิตให้เจ้า แต่...”
จู่ๆ ดวงตาของเขาก็เปลี่ยนเป็นเหี้ยมโหดและพูดอย่างเหยียดหยามว่า ”ถ้าเจ้าตกอยู่ในเงื้อมมือข้า ข้าจะไม่ออมมือกับเจ้า ข้าต้องการชีวิตของเจ้า!”
“ข้าเกรงว่าเจ้าจะไม่มีความสามารถเช่นนั้นน่ะสิ” ซูเจ๋อเยาะเย้ย พูดอย่างไม่แยแส
จิวฉองถูกเหยียดหยาม ในใจก็พลันรู้สึกขุ่นเคือง แต่มิได้พูดสิ่งใดมากนัก เขาสูดหายใจเข้าแล้วหันหลังเดินกระโผลกกระเผลกไปทางทิศตะวันออก
ซูเฟยมองจิวฉองจากไปด้วยความกังวลใจ จึงรีบพูดเตือนหลานชายขึ้นว่า ”จื่อหมิง มิใช่ว่าลุงอยากจะพูดมาก กว่าพวกเราจะจับเป็นเจ้าแซ่จิวผู้นี้ได้ มิใช่เรื่องง่ายๆ แค่เพียงฆ่าเขา พวกโจรกบฏโพกผ้าเหลืองที่เหลือจะต้องกระจัดกระจาย เมื่อนั้นก็เท่ากับว่าเราสามารถปราบปรามโจรกบฏโพกผ้าเหลืองในเขตปี่หยางได้แล้ว แล้วเหตุใดเจ้าต้องทำให้เรื่องมันยุ่งยากด้วย ทำไมถึงอยากให้เขามอบตัวเองด้วย แล้วยังปล่อยตัวเขาไปอีก?”
ซูเจ๋ออธิบายอย่างอดทนว่า ”ตอนนี้ข้ายังขาดผู้ช่วย จิวฉองผู้นี้ทั้งแข็งแกร่งและมีความสามารถ ถ้าเอาไว้ใช้งานเองได้ ไม่เพียงแต่เราจะได้กองทัพที่แข็งแกร่งเท่านั้น แต่ยังสามารถปราบปรามโจรกบฏโพกผ้าเหลืองหลายร้อยคนด้วย นอกจากนี้ยังสามารถเสริมความแข็งแกร่งให้กับกองทัพแล้ว ยังทำให้ทำให้ผู้คนยอมรับนับถือในตัวข้าด้วย”
ซูเฟยหยุดไปครู่หนึ่ง เขาถอนหายใจแล้วพูดว่า ”ลุงรู้ว่าเจ้ามีความเฉลียวฉลาด แต่ครั้งนี้เราใช้เวลาในการปราบปรามโจรกลุ่มใหญ่พวกนี้ หลังจากที่เขากลับไปได้ คราวหน้าหากคิดว่าจะมีโอกาสดีๆ อย่างนี้อีก กลัวว่ามันจะไม่ง่ายแล้ว”
“หึ ฮ่าฮ่า ท่านลุงคิดมากเกินไปหรือไม่ กลับเข้าเมืองไปดื่มสุรากันก่อนดีกว่า คืนนี้ ให้พี่น้องเรากินดื่มได้เต็มที่ ไม่เมาไม่เลิก”
ซูเจ๋อไม่ได้อธิบายเพิ่มเติม เขาหัวเราะแล้วโอบแขนรอบตัวซูเฟยที่เต็มไปด้วยความสงสัย และหันหลังพาลุงของตนเดินไปที่ประตูเมือง
กองทัพตระกูลซูที่อยู่รอบๆ ได้ยินว่าจะมีการดื่มกินฉลอง ทุกคนต่างก็โห่ร้องว่า “ไปดื่มกัน” และเดินทางกลับเข้าเมืองอย่างกระตือรือร้น
มุมปากของจิวฉองปรากฏรอยยิ้มขึ้นจางๆ ที่ยากจะสังเกตเห็น และเขาก็อดไม่ได้ที่เร่งฝีเท้าขึ้น
ในช่วงพลบค่ำของวัน จิวฉองอยู่ห่างจากเมืองปี่หยางไปทางทิศตะวันออกสิบลี้
ระหว่างทาง เขาพบทหารที่พ่ายแพ้จำนวนไม่น้อย จึงได้ตะโกนเรียกไปตามลม บอกว่าเขายังไม่ตาย แล้วเรียกระดมพลคนของตนทันที
เดิมที เขาซึ่งมีอำนาจอิทธิพลอยู่มากในกลุ่มโพกผ้าเหลืองนี้ เมื่อกลุ่มพวกโจรกบฏโพกผ้าเหลืองที่พ่ายแพ้ได้ยินว่าเขายังมีชีวิตอยู่ ก็รีบเข้ามารวมกลุ่มกันราวกับมดที่กรูเข้ามา
ในช่วงค่ำ จิวฉองสามารถรวบรวมทหารราบและทหารม้าได้สี่ร้อยนาย
“หัวหน้าใหญ่ เราแพ้ศึกครั้งนี้หนักหนาสาหัสนัก แต่โชคดีที่เราสามารถรวบรวมทหารราบและทหารม้าได้หลายร้อยนาย ดังนั้น ทำไมเราไม่รีบถอยกลับไปยังเขาโงจิวสันขอรับ แล้วเกณฑ์ทหารและซื้อม้าเพิ่ม รอจนกว่าเราจะฟื้นฟูพละกำลัง แล้วค่อยกลับมาแก้แค้นคนแซ่ซูผู้นั้น”
หัวหน้าคนสนิทฟ่านเหอพูดกับจิวฉอง หัวหน้าหน่วยย่อยคนอื่นๆ ต่างก็พยักหน้าเห็นด้วย
จิวฉองระบายลมหายใจอย่างเยือกเย็น ”ถ้าข้าต้องการจะแก้แค้นคืนนี้ ทำไมต้องรอจนกว่าจะฟื้นตัวแล้วกลับมาใหม่ด้วยเล่า”
ทุกคนต่างตกตะลึง
ฟ่านเหอกล่าวอย่างไม่เข้าใจว่า ”หัวหน้าใหญ่ เราเพิ่งพ่ายแพ้ครั้งใหญ่ ขวัญและกำลังใจของพวกเราต่างลดน้อยลง พี่น้องหลายร้อยคนก็ได้รับบาดเจ็บด้วย ดังนั้น หากจะสังหารมันเดี๋ยวนี้ ท่านจะแก้แค้นได้อย่างไร?”
มุมปากของจิวฉองยกขึ้นด้วยความมั่นใจและกล่าวว่า ”เจ้าไม่เข้าใจพิชัยสงคราม ทหารไม่เบื่อการทำศึก เจ้าแซ่ซูผู้นั้นเอาชนะเราครั้งใหญ่ ประกาศกับทหารของมันว่าคืนนี้จะเมาให้หนำใจ มันคงไม่คิดไม่ฝันว่าเราจะสังหารมันคืนนี้ แล้วเราจะใช้ประโยชน์จากความประมาณเลินเล่อของมัน ฉวยโอกาสลอบเข้าทางประตูเมือง แล้วไล่ฆ่าเข้าเมืองไปในคราเดียว จากนั้นก็สังหารเขาซะ!”
ฟ่านเหอเข้าใจในทันที อดยกนิ้วโป้งเพื่อชมเชยให้เขาไม่ได้ และกล่าวว่า ”หัวหน้าใหญ่ท่านคือเทพแห่งสงครามโดยแท้ พวกเรารีบกลับไปล้างแค้นให้พี่น้องที่ตายไปกันเถอะ”
โจรโพกผ้าเหลืองที่อยู่รอบๆ เหล่านั้น เมื่อเห็นว่ามีโอกาสแก้แค้น ทุกคนก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาอีกครั้ง จิตวิญญาณในการต่อสู้ของพวกเขาถูกปลุกขึ้นมา ต่างคนต่างพากันส่งเสียงโห่ร้อง ‘ฆ่า’ ให้ฆ่าเพื่อการล้างแค้น
จิวฉองหัวเราะเยาะ โบกมือและพูดอย่างฮึกเหิมดุดันว่า ”พี่น้องทั้งหลาย คืนนี้ พวกเราจะกลับไปฆ่าคนแซ่ซูเพื่อล้างแค้น ปี่หยางจะต้องนองเลือด เราจะแก้แค้น!”
"ปี่หยางจะต้องนองเลือด--"
"แก้แค้น—”
เสียงตะโกนโห่ร้องดังขึ้นอย่างคุ้มคลั่งดุร้าย สะท้อนก้องไปทั่วในยามราตรี
จิวฉองพลิกตัวขึ้นหลังม้า ดวงตาเย็นชาของเขามองไปที่ปี่หยาง เขากัดฟันกรอดแล้วพูดอย่างดุดันว่า ”พวกเจ้าจงจำไว้ว่า ต้องจับเป็นซูเจ๋อ ข้าต้องการจะฆ่ามันด้วยตัวเอง ข้าจะถลกหนังมันและดื่มเลือดของมันเสีย!”