ตอนที่ 19 มีญาณทิพย์
ตกกลางดึก
ทางด้านทิศตะวันออกของเมืองปี่หยาง จิวฉองนำกลุ่มกบฏโพกผ้าเหลืองจำนวนสี่ร้อยนายเดินย่ำไปบนทุ่งสมรภูมิที่ยังคงมีเลือดนองอยู่ พวกเขาแอบลอบเข้าไปใกล้กับประตูด้านทางทิศตะวันออก
ตรงแนวหอคอยมีแสงไฟสลัวๆ สามารถมองเห็นทหารประจำเมืองไม่กี่คนที่อยู่กระจัดกระจายกัน ทหารพวกนั้นกำลังเอนกายพิงกำแพงหลับอยู่ขณะยืนยาม
“ดูเหมือนจะเป็นอย่างที่ข้าคาดไว้ไม่มีผิด คืนนี้คนแซ่ซูเลี้ยงฉลองให้กับชัยชนะครั้งยิ่งใหญ่นี้ กำลังเสพสุขกับการดื่มกินฉลอง จนละเลยการป้องกันเมือง ช่างดียิ่งนัก...”
มุมปากของจิวฉองปรากฏรอยยิ้มเยาะเย้ยหยามเหยียด จากนั้นผู้ล่าอย่างจิวฉองก็หยุดเพ่งมอง แล้วตะโกนออกคำสั่งกองกำลังของตน ”หน่วยจู่โจม ปีนขึ้นไปบนกำแพงเมือง ตัดสะพานแขวนซะ แล้วลงมาเปิดประตูเมืองให้ข้า!”
หลังสั่งการเสร็จ กลุ่มโจรกบฏโพกผ้าเหลืองที่สวมชุดดำจำนวนกว่าสามสิบคนอาศัยความมืดมิดในยามราตรี ลอบปีนขึ้นไปบนกำแพงอย่างเงียบเชียบ
ที่กำแพงเมือง พวกเขาค้นหาบริเวณที่ลับสายตา ซึ่งหน่วยลาดตระเวนจะไม่สามารถมองเห็นพวกเขาได้ จากนั้นได้ใช้ตะขอเหล็กปีนขึ้นไปบนกำแพงเมือง ย้อนกลับไปทางป้อมจัตุรัส แล้วจัดการกับทหารของตระกูลซูเจ็ดแปดนายที่ประจำการอยู่บนป้อมจตุรัสทันที
ทหารที่เฝ้าประตูเมืองมีจำนวนน้อย และเพราะความประมาทนี้เอง ทำให้ทหารเหล่านั้นถูกสังหารไปอย่างรวดเร็ว
หน่วนจู่โจมยึดประตูเมืองได้สำเร็จ จึงได้ปล่อยสะพานแขวนลงมาในทันที และยังเปิดประตูใหญ่ของเมืองจากด้านใน เพื่อให้พวกของตนเข้าเมืองได้
เมื่อเห็นประตูเมืองเปิดกว้างออก ดวงตาของจิวฉองแดงก่ำด้วยความตื่นเต้น เขากระโดดขึ้นหลังม้า โบกดาบด้ามใหญ่ในมือพลางกู่ก้องตะโกนขึ้นว่า "พี่น้องทั้งหลาย ตามข้ามา เราจะพลิกฟ้าพลิกแผ่นดิน มอบความตายให้แก่ชาวเมืองปี่หยาง ฆ่าพวกมันให้หมด”
จิวฉองควบม้าออกนำไปก่อน พวกโจรกบฏโพกผ้าเหลืองอีกสามร้อยกว่านายก็ตามโห่ร้องอย่างฮึกเหิมวิ่งกรูตามเขาเข้าไป
เวลาเพียงสั้นๆ จิวฉองนำคนข้ามสะพานแขวน ผ่านประตูเมือง เข้าเมืองไปเพื่อสังหาร
เมื่อมองขึ้นไป ทั้งเมืองปี่หยางยังคงหลับใหลอยู่ในความเงียบเชียบ บนถนนสายหลักที่ว่างเปล่าไร้ซึ่งผู้คน ชาวบ้านในเมืองราวกับกำลังไม่รู้ว่าบัดนี้หายนะกำลังมาเยือนพวกเขาแล้ว
จิวฉองตกตะลึงเป็นอย่างมาก จนต้องเรียกให้ทหารวิ่งไปสำรวจถนนโล่งร้างนั้น ตั้งใจตรงไปยังที่ว่าการเมือง หวังจับเป็นซูเจ๋อ
ในหัวของเขาพลันนึกถึงภาพตอนซูเจ๋อคุกเข่าต่อหน้าเขา เขาอยากจะถามกลับ ประโยคเดียวกันกับที่ซูเจ๋อเคยถามเขาในตอนนั้นว่า “เจ้ารู้สึกอย่างไร?” เพื่อล้างความอัปยศนั้น
วูดดดด ~~
ทันใดนั้นเอง อีกด้านหนึ่งของถนนที่เงียบสงบก็มีเสียงแตรสังหารดังขึ้นท่ามกลางความเงียบสงัดแห่งราตรีกาล
จู่ๆ บนถนนที่มืดมิดก็มีคบเพลิงนับร้อยถูกจุดขึ้น คบเพลิงส่องแสงสว่างไสวราวกับแสงตะวัน จนทำให้จิวฉองและทหารของเขาไม่อาจลืมตาได้ขึ้นได้เนื่องจากแสงไฟพร่าตา
หัวใจของจิวฉองกระตุกวูบ จนต้องหลับตาลงโดยไม่ทันรู้ตัว หลังใช้เวลาสักครู่กว่าจะปรับสายตาให้กลับมามองเห็นเป็นปกติได้ ดังนั้นเขาจึงได้ลดแขนลงแล้วค่อยเงยหน้าขึ้น หายใจติดขัด ใบหน้าดำพลันซีดขาวขึ้นมาทันที
เพราะบนถนนด้านหน้าเขา พลธนูและพลโล่ปรากฏตัวขึ้นราวกองทัพสวรรค์ ขวางทางอยู่ตรงหน้าพวกเขาเอาไว้
บนบ้านเรือนทั้งสองปีกมีพลธนูและหน้าไม้กว่าห้าสิบนายปรากฏกายขึ้นราวปีศาจในยามราตรี ลูกศรเย็นเฉียบและแหลมคมถูกง้างรอ ราวกับถูกดวงตาแห่งเทพมรณจ้องมองอยู่
และดูเหมือนในขณะเดียวกันนั้นเอง ทหารราบของตระกูลซูนับร้อยนายได้พุ่งตัวออกมาจากด้านข้างของกำแพงเมืองทั้งสองด้าน โดยจับหน่วยจู่โจมของกบฏโพกผ้าเหลืองกว่าสิบคนลงมาจากกำแพงเมือง แล้วกลับเข้าควบคุมป้องกันป้อมจตุรัสดังเดิม เพื่อคุมเชิงอยู่ด้านบน
ซุ่มโจมตีรึ!
ที่จริงแล้วกองทัพตระกูลซูได้เตรียมดักซุ่มอยู่ก่อนล่วงหน้าแล้ว เพียงแค่รอให้พวกเขาเข้ามาติดกับเท่านั้นเอง!
“บัดซบ เจ้าซูเจ๋อนั่นเดาได้ว่าข้าจะโจมตีเมืองปี่หยางในยามค่ำ! หรือว่าตอนนั้น ที่เขาบอกว่าอยากจะดื่มให้เมานั้นเป็นการตั้งใจพูดให้ข้าได้ยิน ข้าจะได้คลายใจ ล่อให้ข้าโจมตีตอนกลางคืนใช่หรือไม่? จะเป็นไปได้อย่างไร ที่เขาจะอ่านใจข้าได้ เป็นไปไม่ได้…...”
สีหน้าของจิวฉองเปลี่ยนไปจนดูน่าหวาดกลัว เขาขี่ม้าหมุนหันกลับไปกลับมา ตอนนี้เขาทั้งตกใจและตกตะลึง เนื่องจากไม่เคยพบเจอเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน
“ท่านหัวหน้าใหญ่ พวกเราโดนดักซุ่มโจมตี จะทำอย่างไรดี?” ฟ่านเหอที่อยู่ด้านข้างตกใจจนทำอะไรไม่ถูกถามขึ้น
จิวฉองตื่นจากภวังค์แล้วมองกลับไปที่ประตูเมือง จากนั้นก็มีประกายระยิบระยับแห่งความหวังปรากฏขึ้นในดวงตาของเขา เขาตะโกนอย่างร้อนใจขึ้นว่า ”ทั้งหมด รีบถอยทัพออกไปทางประตูเมืองเดี๋ยวนี้!”
พูดจบ จิวฉองหันม้ากลับ รีบควบออกไปที่ประตูเมือง โจรกบฏโพกผ้าเหลืองที่เหลือต่างเบียดเสียดรีบไปที่ประตูเมืองอย่างหวาดกลัว
ทันใดนั้น เสียงเกือกม้าที่ด้านนอกเมืองก็ดังขึ้น ทหารม้าแข็งแกร่งหลายสิบนายควบม้ามาจากปีกทั้งสองข้างของประตูเมือง แล้วขวางอยู่ที่ปลายสะพานแขวน ปิดทางพวกเขาไม่ให้หลบหนีไปได้
ด้านหน้ามีมือสังหารถือโล่มือขวางทางอยู่ ด้านหลังมีทหารม้าขวางทางไว้ ด้านบนมีพลธนูหน้าไม้และทหารราบล้อมไว้ จิวฉองและทหารม้านับร้อยของเขาตกอยู่ในวงล้อมที่สิ้นหวังไร้ทางหนี
“คนแซ่ซูผู้นี้ ช่างรอบคอบนัก ให้ทหารม้าดักซุ่มอยู่นอกเมือง นี่มันช่าง...”
จิวฉองตกใจจนทำอะไรไม่ถูก คนของเขาทั้งหมดล้วนหวาดกลัวจนแทบเสียสติ ไม่รู้จะทำอย่างไรต่อไป
โจรกบฏโพกผ้าเหลืองหลายร้อยนายเหล่านั้นถูกกดดันให้เข้าไปในพื้นที่แคบๆ ด้านในของประตูเมือง พวกเขาหวาดกลัวจนไม่รู้จะทำอย่างไร ความฮึกเหิมอยากแก้แค้นที่มีในตอนแรกนั้นพลันมลายหายไปจนหมด ตอนนี้ถูกแทนที่ด้วยความหวาดกลัวจนถึงขีดสุดแทน
ด้านหลังของหน่วยกล้าตาย
ซูเจ๋อนั่งเฉยๆ บนหลังม้า ปากก็เคี้ยวถั่วปากอ้า ในขณะที่หัวเราะแล้วพูดว่า ”ท่านลุงรอง ข้าบอกท่านแล้วว่าไม่ต้องเป็นห่วง ตอนนี้ท่านเชื่อแล้วหรือยัง”
ซูเฟยรู้สึกประหลาดใจไม่น้อย เขามองมองดูซูเจ๋ออย่างชื่นชม พลางอุทานว่า “จื่อหมิง เจ้าคาดการณ์ได้อย่างแม่นยำนัก คนแซ่จิวจะลอบโจมตีจริงตามที่เจ้าว่าไว้ไม่มีผิด ลุงเชื่อเจ้า สิ้นซึ่งข้อสงสัยแล้ว”
“ท่านลุง ท่านคงไม่ได้ประจบข้าหรอกนะ? ฮ่าฮ่า”
“ประจบอะไรกัน ข้ามิใช่คนเช่นนั้น ข้าพูดความจริง”
ขณะที่สองลุงหลานกำลังสนทนากันอยู่นั้น พลหอกกับพลโล่ก็ค่อยๆ เปิดทางออก พร้อมกับซูเจ๋อที่ควบม้ามาอย่างไม่ช้าไม่เร็วจนเกินไป และเมื่อจิวฉองเงยหน้าขึ้น ก็เห็นซูเจ๋อมาอยู่ตรงหน้าแล้ว
ขาของพวกโจรกบฏโพกผ้าเหลืองหลายร้อยคนนั้นสั่นสะท้าน พวกเขาหวาดกลัวซูเจ๋อราวกับหวาดกลัวต่อภูติผีปีศาจก็ไม่ปาน
ในสายตาของพวกเขา เจ้าเมืองปี่หยางผู้นี้สามารถทำนายสภาพลมฟ้าอากาศได้ สามารถมองเห็นกลยุทธ์ของพวกเขาได้ จัดเป็นผู้ที่น่าหวาดกลัวที่สุดตลอดชีวิตเท่าที่พวกเขาเคยพบเจอมา
พริบตาเดียว จิวฉองก็มองเห็นซูเจ๋อ สีหน้าของเขาทั้งตกใจทั้งอับอาย ภายในใจรู้สึกหวานอมขมกลืน มันช่างน่าหงุดหงิดยิ่งนัก
หลังซูเจ๋อกินถั่วปากอ้าเข้าไปอีกเม็ดแล้ว เขาตบมือขึ้นๆ ลงๆ ปัดเศษผงในมือ แล้วมองไปที่จิวฉอง พร้อมกับพูดเสียงดังขึ้นว่า “จิวฉอง ดูเหมือนว่าเจ้าจะทนรอที่จะกลับมาหาข้าไม่ไหว จากกันไม่ถึงครึ่งวัน เจ้าก็พาตัวเองมาติดกับของข้าอย่างรวดเร็วนัก”
ใบหน้าดำคล้ำองจิวฉองพลันเปลี่ยนเป็นสีแดงขึ้นมา ความเจ็บปวดจากการถูกเหยียดหยามช่างทิ่มแทงใจของเขานัก เขาจึงลอบขบเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความคับแค้นใจ
ใบหน้าของฟ่านเหอซีดเผือดลง เขาถามจิวฉองอีกว่า “ข้าควรทำเช่นไร?”
จิวฉองรู้สึกทั้งโกรธทั้งขายหน้า ตัวแข็งทื่ออยู่กับที่ โดยไม่รู้จะทำอย่างไรดี
ใบหน้าของซูเจ๋อเต็มไปด้วยไอสังหาร เขาพูดอย่างเหยียดหยามว่า ”จิวฉอง ข้าคิดว่าเจ้าเป็นลูกผู้ชาย ดังนั้น ข้าเลยอยากให้โอกาสเจ้าอีกครั้ง ตอนนี้เจ้าตกอยู่ในกำมือของข้าแล้ว ถ้าคนถ่อยอย่างเจ้าวางแผนจะเป็นคนโป้ปด พูดอะไรไว้ไร้ซึ่งความน่าเชื่อถือ ข้าก็จะส่งเสริมเจ้า”
พูดจบ ซูเจ๋อก็โบกมือเบาๆ
เหล่าพลธนูและหน้าไม้ต่างถูกยกง้างขึ้นเตรียมพร้อมยิงจากรอบด้าน เมื่อใดก็ตามที่ซูเจ๋อออกคำสั่ง ลูกธนูก็จะตกลงมาดั่งห่าฝนแน่นอน
ด้วยระยะที่ใกล้และอยู่ในพื้นที่แคบเช่นนี้ ไม่จำเป็นต้องใช้ทหารม้าด้วยซ้ำ แค่ใช้ธนูและหน้าไม้ไม่กี่สิบคันก็เพียงพอที่จะฆ่าจิวฉองและพวกโจรที่เหลือหลายร้อยคนของเขาได้แล้ว
จิวฉองหาใช่พวกรักตัวกลัวตายไม่ เพียงแต่คำพูดของซูเจ๋อที่กล่าวมาว่า “พูดอะไรไว้ไร้ซึ่งความน่าเชื่อถือ” ช่างเสียดแทงหัวใจของเขาเหมือนเข็มที่ทิ่มแทงเข้ากลางใจ
ถึงเขาจะสู้สุดความสามารถเพื่อฝ่าวงรอบออกไปได้ แต่ท้ายที่สุด อาจเป็นเพียงหนทางสู่ความตายที่คร่าชีวิตพี่น้องหลายร้อยคนของเขา
ยิ่งกว่านั้น แม้ว่าเขาจะตายในสนามรบ ก็ยังต้องอับอายขายหน้าอย่างไม่น่าเชื่อ
ท้ายที่สุด ซูเจ๋อเคยละเว้นโทษตายให้เขาครั้งหนึ่ง เพื่อให้เขาได้มีโอกาสต่อสู้แก้มือ แสดงให้เห็นถึงความใจกว้างของซูเจ๋อ ถ้าเขาผิดสัญญา เขาก็จะกลายเป็นแค่คนถ่อยคนหนึ่งจริงๆ
“งั้นก็ได้ ซูเจ๋อผู้นี้เป็นคนที่เฉลียวฉลาดและมีความสามารถ ความใจกว้างที่เขามีช่างน่าประทับใจนัก หากข้าจิวฉองจะมอบความจงรักภักดีให้กับเขา ก็ไม่ใช่เรื่องน่าละอายใจ...”
หลังจากไตร่ตรองอยู่นานและชั่งน้ำหนักดูแล้ว จิวฉองกัดฟันกรอด ดวงตาของเขามีประกายของความมุ่งมั่นแน่วแน่
ตอนนี้เขาปลดอาวุธของตนแล้วพลิกตัวลงจากหลังม้า คุกเข่าลงตรงหน้าซูเจ๋อเพียงผู้เดียว จากนั้นเขาได้สูดหายใจเข้าลึกๆ ครั้งหนึ่ง ก่อนจะพูดอย่างเรียบเฉย ”จิวฉองขอยอมรับทั้งกายและใจ และเต็มใจติดตามคุณชายซู ไม่ว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้น ยินดีบุกน้ำลุยไฟเพื่อคุณชาย ยินดีติดตามคุณชายซู โดยไม่เสียดายชีวิต!”