ตอนที่ 21 ตะลึงไปทั้งสี่ทิศ
“เจ้าว่าอะไรนะ พูดอีกทีสิ!” หวงเซ่อมิได้สนใจสุราที่หกลงบนตัว เขากระโดดตัวลอยขึ้นมาแล้วตวาดเสียงดัง
ทหารใหม่ผู้นั้นตกใจ ตัวสั่นสะท้าน แล้วรีบนำข่าวชัยชนะครั้งใหญ่ของซูเจ๋อกล่าวรายงานอีกครั้ง
ชั่วพริบตาเดียวในกระโจมหลังใหญ่นี้ก็ตกอยู่ในความเงียบงัน
หวงเซ่อทิ้งก้นนั่งกระแทกลงมา สีหน้าตะลึงไร้ซึ่งคำพูด นัยน์ตาทั้งสองพรั่งพรูความฉงนงุนงงออกมาไม่ขาดสาย บนใบหน้ามีเพียงคำว่า ’ยากที่จะเชื่อ’ สี่คำนี้
เฉินจิ้วเองก็ตกใจจนตาค้าง อ้าปากกว้าง หายใจหอบแรง ไม่ได้สติอยู่พักใหญ่
ทั้งสองตะลึงอยู่ครู่ใหญ่ ในที่สุดหวงเซ่อก็ดูเหมือนว่าจะสงบสติได้บ้างแล้ว เขาจึงรีบตะโกนถามขึ้นว่า “ซูเจ๋อมีพลทหารใหม่เพียงแค่ไม่กี่ร้อยนายมิใช่หรือ? แล้วเหตุใดเขาจึงเอาชนะกลุ่มโจรกบฏโพกผ้าเหลืองที่มีมากกว่าถึงสิบเท่าได้?”
“รายงานคุณชาย ซูเจ๋อนำกองทัพบุกเข้าทางด้านหลัง ต่อสู้กับโจรกบฏโพกผ้าเหลือง ใครจะรู้ว่าในช่วงวิกฤตนั้นเองจะมีลมพายุแรงก่อตัวขึ้น ซูเจ๋อฉวยโอกาสใช้กลยุทธ์ปล่อยควันหมาป่า ช่วยพัดควันไฟที่พวกเขาจุดให้ลอยรบกวนการมองเห็นของโจรกบฏโพกผ้าเหลือง และฉวยโอกาสจู่โจมด้วยทหารม้า สามารถล้มโจรกบฏโพกผ้าเหลืองสามพันคนได้ในคราเดียว”
จู่ๆ ก็มีลมพายุเกิดขึ้นอย่างนั้นหรือ?
หวงเซ่อตกใจ ทันใดนั้นเขาก็นึกถึงเหตุการณ์ที่งานคัดเลือกเจ้าเมืองมณฑลและนายอำเภอในคราก่อน และเหตุการณ์ที่ค่ายฝานโขวสุ่ยนั้นขึ้นมา
“หรือว่า เขาจะมีความสามารถในการพยากรณ์ล่วงหน้าจริงๆ อาศัยการรู้ล่วงหน้าเรื่องลมฟ้าอากาศมาวางแผนจู่โจมกลุ่มโจรกบฏโพกผ้าเหลือง? นี่มันช่าง......”
หวงเซ่อตกใจจนบ่นพึมพำในปากไม่หยุด นัยน์ตาเต็มไปด้วยความฉงนที่พรั่งพรูออกมา ทันใดนั้นเขาก็เกิดความคิดว่าตนเองไม่อาจคาดเดาซูเจ๋อได้
ในตอนนี้เอง เฉินจิ้วก็ได้สติคืนมา เขาจึงรีบกล่าวขึ้นว่า “ข้าไม่เชื่อว่าบนโลกใบนี้จะมีผู้ที่ทำนายลมฝนได้จริงๆ ครานี้คงเป็นเพียงความโชคดีของเจ้าแซ่ซูเท่านั้นเอง”
“คนผู้หนึ่งแม้ว่าจะโชคดี แต่จะโชคดีติดกันถึงสามคราเชียวหรือ?” หวงเซ่อถลึงตาย้อนถามกลับ
เฉินจิ้วตกใจสะดุ้งโหยง พูดอะไรไม่ออก
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เฉินจิ้วจึงอุทานขึ้นด้วยสีหน้าที่เป็นทุกข์ว่า “ไม่ว่าอย่างไร เจ้าแซ่ซูก็ได้บรรเทาภัยพิบัติจากกลุ่มโจรกบฏโพกผ้าเหลืองของปี่หยางไปได้ หากยึดตามเงื่อนไขที่ใต้เท้าโจวมู่รับปากเขาในตอนแรก ก็ต้องแต่งตั้งให้เขาเป็นเจ้าเมืองปกครองหนานหยาง ถึงตอนนั้นคุณชายก็จะกลายเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของเขา คุณชายจะยอมให้เขาเหยียบย่ำเช่นนั้นจริงๆ หรือ?”
สีหน้าของหวงเซ่อเปลี่ยนไป หน้าผากของเขาร้อนผ่าวขึ้นมาด้วยความอับอายระคนโมโห
เห็นได้ชัดว่าการให้ผู้ที่เกิดมาต่ำต้อย ผู้ที่เขาไม่ชอบขี้หน้ามาโดยตลอด ขึ้นมามีตำแหน่งเหนือกว่าเขา ผู้ซึ่งเป็นถึงคุณชายใหญ่แห่งตระกูลหวง ไม่ว่าอย่างไรเขาก็คงทนกับเรื่องที่น่าอับอายเยี่ยงนี้ไม่ได้
หลังจากแอบกัดฟันด้วยความแค้น หวงเซ่อก็ยิ้มเหยียดมุมปาก “ใจเย็นๆ ลุงไช่เพิ่งจะเป็นเจ้าเมืองปกครองหนานหยางได้ไม่กี่วัน ย่อมมิอาจนั่งมองตัวเองถูกซูเจ๋อไล่ออกจากตำแหน่งแน่นอน พวกตระกูลก่วยเองก็คงไม่ทนนั่งมองลูกหลานจากตระกูลเล็กๆ ที่ยากไร้คนหนึ่งขึ้นมาเป็นเจ้าเมืองปกครอง ซึ่งเป็นตำแหน่งสำคัญเยี่ยงนี้อย่างแน่นอน พวกเขาจะต้องคิดหาหนทางยื่นเรื่องขัดขวางต่อใต้เท้าโจวมู่เป็นแน่”
ทันใดนั้นเฉินจิ้วก็รู้สึกตัว เขาถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกแล้วหัวเราะ “คุณชายพูดมีเหตุผล อย่าหวังว่าเจ้าแซ่ซูผู้นั้นจะเหยียบหัวคุณชายได้ ฝันไปเสียเถอะ”
หวงเซ่อเพียงฮึดฮัดด้วยความไม่พอใจเล็กน้อย จากนั้นเขากุมมือแล้วเดินออกจากกระโจมไปทอดสายตามองไปยังทิศที่ตั้งของเมืองปี่หยาง ในขณะที่หันหลังให้เฉินจิ้วนั้น ใบหน้าหน้าที่หยิ่งยโสในตอนแรก ก็กลับกลายเป็นสีหน้าแห่งความหดหู่
……
ณ หว่านเฉิง, ที่จวนเจ้าเมือง
ในห้องหนังสือ ไช่เม่าและไช่ซูกำลังประลองหมากล้อมกันอยู่
ฝีมือการเดินหมากของไช่ซูไม่ดีนัก หมากมังกรสีขาวตัวหนึ่งของเขาถูกหมากล้อมสีดำของไช่เม่าล้อมไว้จนไปไหนไม่ได้ มองดูก็รู้แล้วว่าไม่มีทางไหนให้เดินได้อีก
ไช่ซูวิตกเสียจนหน้าผากเต็มไปด้วยเหงื่อ นางกำหมากล้อมตัวหนึ่งไว้ในมือ หลังจากที่ลังเลอยู่นาน จึงตัดสินใจลงหมากไปด้วยความไม่สบายใจ
“ซูเอ๋อร์ เจ้าแพ้อีกแล้ว”
ไช่เม่าหัวเราะชอบใจ เขาวางหมากดำในมือลงไป แล้วรุกฆาตล้อมหมากมังกรขาวอย่างพอดิบพอดี
ไช่ซูตื่นตระหนก รีบแย่งหมากที่วางลงไปกลับขึ้นมา แล้วร้องขึ้นว่า “ข้าวางหมากผิด ตัวนี้ไม่นับ”
“วางหมากแล้ว อย่าได้คิดเสียใจ เจ้าจะเก็บคืนไปได้อย่างไรเล่า” ไช่เม่าทำสีหน้าราวกับจงใจหยอกล้อเธอ
ไช่ซูไม่พอใจ นางจึงใช้โอกาสนี้โยนหมากในมือของเขาลงบนกระดาน ปากบ่นด้วยความไม่พอใจปนโกรธว่า “ไม่เล่นแล้ว ไม่เล่นแล้ว ไม่สนุกเลยสักนิด ท่านลุงชนะเสมอ ไม่ยอมอ่อนข้อให้ข้าบ้างเลย”
ไช่เม่าจนปัญญา จึงฝืนยิ้มพูดขึ้นว่า “หากเปรียบหมากล้อมเป็นสนามรบที่เต็มไปด้วยความเป็นความตายพร้อมฟาดฟันกันได้ทุกเมื่อนั้น เป็นธรรมดาที่จะต้องใช้กำลังทั้งหมดที่มี เหตุใดจะมายอมอ่อนข้อให้ได้ง่ายๆ คิดว่าศัตรูในสนามรบจะใจอ่อนให้เจ้าอย่างนั้นหรือ?”
“ซูเอ๋อร์ไม่สน ซูเอ๋อร์ไม่สน ท่านลุงไม่รักซูเอ๋อร์ ท่านลุงรังแกซูเอ๋อร์~~” ไช่ซูกอดแขนไช่เม่าแล้วงอน
ไช่เม่าทำตัวไม่ถูก ทำได้เพียงพูดอย่างช่วยไม่ได้ว่า “เอาล่ะ เอาล่ะ ลุงผิดไปแล้ว ลุงจะไม่รักซูเอ๋อร์ได้อย่างไร ครั้งหน้าลุงจะยอมให้แล้วกัน”
“อย่างนี้สิถึงจะเป็นท่านลุงที่รักของซูเอ๋อร์” ใบหน้าอันงดงามของไช่ซูเปลี่ยนมาสดใส ยิ้มด้วยความร่าเริง นางจัดกระดานหมากล้อมให้เป็นระเบียบด้วยความยินดี แล้วกล่าวเชิญชวนผู้เป็นลุง “เรามาเล่นกันอีกสักกระดานเถอะ ครั้งนี้ข้าจะต้องล้มท่านให้ได้ ไม่ให้เหลือแม้แต่ตัวเดียว”
ไช่เม่าทำได้เพียงฝืนยิ้มพร้อมกับส่ายหัวเบาๆ
กระดานหมากล้อมสะอาดเอี่ยม ในขณะที่ไช่ซูเตรียมที่จะวางหมากลงไปนั้นเอง ทหารส่งสาส์นได้วิ่งเข้ามาจากด้านนอกด้วยความรีบร้อน พร้อมนำจดหมายยื่นให้เขา อ้างว่าเป็นข่าวแจ้งชัยชนะที่ส่งมาจากเมืองปี่หยาง
“ชัยชนะของเมืองปี่หยางงั้นหรือ?”
ไช่เม่ามองด้วยแววตาสงสัย รับจดหมายนั้นมาเปิดออกและกวาดสายตาอ่านชัวครู่ และทันใดนั้นสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป แววตาปรากฏความประหลาดใจระคนตกใจขึ้นมา
“ท่านลุง ซูเจ๋อผู้นั้นเป็นเช่นไรบ้าง?” ไช่ซูถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น
ไช่เม่าได้สติกลับมา ก็ขมวดคิ้วแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่ “ดูท่าว่าซูเจ๋อผู้นี้จะมีความสามารถเกินคนจริงๆ ไม่รู้ว่าเขาใช้กลอุบายใดจนสามารถบุกทำลายกลุ่มโจรกบฏโพกผ้าเหลืองที่มีมากกว่าถึงสิบเท่าได้ เช่นนี้ก็ถือว่าเขาได้ขจัดภัยพิบัติจากโจรกบฏโพกผ้าเหลืองของเมืองปี่หยางได้แล้ว”
“อะไรนะ? จะเป็นไปได้อย่างไร!” ไช่ซูตกตะลึง แย่งเอาจดหมายมาอ่าน
นางบรรจงกวาดสายตาอย่างละเอียดทุกตัวอักษร ปากเล็กๆ ของไช่ซูค่อยๆ หดลงเป็นทรงกลม นัยน์ตาประกายความตกใจแบบที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน เรื่องนี้มันเหลือเชื่อเป็นอย่างมาก!
หลังจากนั้นสักพักใหญ่ ไช่ซูก็ได้สติกลับมาจากความตกตะลึง แล้วพูดพึมพำว่า “มิน่าเล่า พี่เยว่อิงถึงได้ชื่นชมซูเจ๋อผู้นี้ยิ่งนัก ที่แท้เขาก็มิได้เป็นพวกที่มีชื่อเสียงแต่ไร้ความสามารถ ซูเจ๋อนะซูเจ๋อ เจ้าช่างเป็นเด็กยากไร้ที่น่าสนใจอะไรเยี่ยงนี้.....”
นัยน์ตาของไช่ซูปรากฏความประหลาดใจขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
หลังจากครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง ทันใดนั้นดูเหมือนว่านางจะนึกอะไรขึ้นมาได้ จึงรีบพูดว่า “ท่านลุง ข้าคิดออกแล้ว ตอนงานคัดเลือกนั้นดูเหมือนว่าใต้เท้าโจวมู่จะเคยรับปากกับซูเจ๋อผู้นั้นไว้ว่า หากเขาสามารถขจัดภัยพิบัติจากกบฏโพกผ้าเหลืองที่ปี่หยางได้ภายในสามเดือน ก็จะแต่งตั้งเขาให้เป็นเจ้าเมืองปกครองหนานหยาง เช่นนั้นตอนนี้เขาทำมันสำเร็จโดยใช้เวลาเพียงไม่ถึงครึ่งเดือน ตำแหน่งเจ้าเมืองปกครองหนานหยางของท่านลุงตำแหน่งนี้ มิใช่ต้องส่งมอบให้กับเขาอย่างนั้นหรือ?”
ท่าทีของไช่เม่านั้นกลับมาสงบ ไม่แยแสเหมือนเดิมอีกครั้ง เขากล่าวอย่างไม่ใส่ใจว่า “ซูเจ๋อผู้นี้นับว่าพอมีฝีมืออยู่บ้าง แต่ช่างน่าเสียดายที่เขาเด็กเกินไป เขาคิดว่า อาศัยความพยายามของตน แล้วจะสามารถชดเชยความบกพร่องของฐานะทางตระกูลของตนได้หรือ ฮ่าฮ่า~~”
ไช่ซูเข้าใจความหมายที่เขาจะสื่อทันที นางจึงพูดว่า “ความหมายของท่านลุงก็คือใต้เท้าโจวมู่ต้องคำนึงถึงอิทธิพลของตระกูลไช่ของเรา แม้ว่าซูเจ๋อจะสามารถขจัดภัยพิบัติของโจรกบฏโพกผ้าเหลืองได้ ก็มิอาจยกตำแหน่งเจ้าเมืองปกครองหนานหยางให้แก่เขาได้เช่นนั้นหรือ?”
“เรื่องเล็กเช่นนี้ ไม่คู่ควรให้มาทำลายจิตใจ มาๆๆๆ ซูเอ๋อร์ เรามาเล่นหมากล้อมกันต่อเถิด เจ้าบอกว่าจะรุกฆาตล้างกระดานหมากล้อมของลุงไม่ให้เหลือมิใช่หรือ?”
ระหว่างที่ไช่เม่าพูดคุยหัวเราะอยู่นั้น ก็ได้ทิ้งเรื่องภัยคุกคามของซูเจ๋อไว้เบื้องหลัง แล้วเริ่มเดินเกมหมากล้อมใหม่อีกครั้ง
“ซูเจ๋อ ซูเจ๋อ ซูเจ๋อผู้นี้ แท้จริงแล้วเป็นคนอย่างไรกันนะ.....”
แต่ไช่ซูกลับจิตใจเหม่อลอย มือของนางจับหมากล้อมไม่ยอมวางหมาก ในหัวเต็มไปด้วยใบหน้าที่ซูบผอมของเขา