ตอนที่ 22 แผนการของสองพ่อลูก
ณ เมืองเซียงหยาง จวนใต้เท้าโจวมู่
ในห้องหนังสือลับ เล่าเปียวกำลังบรรจงพู่กันตวัดขีดเขียนอักษรศิลป์บรรยายออกมาเป็นภาพที่มีลักษณะของความทะเยอทะยานแห่งการหลุดพ้น
เสียงฝีเท้าดังขึ้น คุณชายผู้หล่อเหลาร่าเริงคนหนึ่งเดินเข้ามาในห้อง ยกมือคำนับแล้วกล่าวว่า “ลูกฉีขอคารวะท่านพ่อ”
เขาคือเล่ากี๋ บุตรชายคนโตของเล่าเปียว
“กี๋เอ๋อร์มาแล้วหรือ นั่งก่อนสิ” เล่าเปี่ยวมิได้เงยหน้าขึ้นมา เขายังคงจดจ่ออยู่กับภาพวาดต่อไป
เล่ากี๋จึงจำเป็นต้องนั่งคุกเข่าลงข้างๆ ด้วยท่าทีสงบ เฝ้ารอบิดาเขียนภาพให้เสร็จ
แต่ทว่าเล่าเปียวกลับเขียนภาพไปพร้อมกับถามราวกับว่ามิได้ใส่ใจว่า “กี๋เอ๋อร์ เจ้าคิดดีแล้วสินะ ว่าจะแต่งกับสตรีจากตระกูลหวง มิใช่สตรีจากตระกูลไช่?”
“เรื่องนี้ ลูกเคยเรียนให้ท่านพ่อทราบแล้ว ลูกคิดว่า แม่นางตระกูลหวงนั้นดูจะเหมาะที่จะเป็นสะใภ้ตระกูลเล่าของพวกเรามากกว่า” เล่ากี๋ตอบอย่างไม่ลังเล ราวกับว่าได้คาดเดาเรื่องที่บิดาจะถามเอาไว้ตั้งแต่ต้นแล้ว
เล่าเปียวพยักหน้า แล้วถามขึ้นอีกว่า “ได้ยินว่าสตรีตระกูลหวง ทั้งเก่งและงดงาม ฉลาดและยังอ่อนโยน ถือเป็นสตรีที่ดีพร้อม เพียงแต่ เจ้าได้ไตร่ตรองถึงอิทธิพลของแต่ละตระกูลแล้วหรือไม่”
“แน่นอนว่าลูกได้ไตร่ตรองมาแล้วขอรับ”
เล่ากี๋ยังคงตอบอย่างไม่ลังเลเหมือนเดิม “แม่นางหวงผู้นั้นเป็นเครือญาติของตระกูลหวง แต่ทว่าแม่นางไช่กลับมาจากตระกูลหลักของตระกูลไช่ หากกล่าวถึงฐานะทางอิทธิพล แม่นางไช่ย่อมอยู่เหนือกว่าแม่นางหวง”
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ แล้วเหตุใดเจ้ายังเลือกเช่นนั้นอีก?” ในที่สุดเล่าเปียวก็วางพู่กันลง มองบุตรชายคนโตด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยคำถามและความตำหนิติเตียน
“ท่านพ่ออยากฟังสิ่งที่อยู่ภายในใจลูกหรือขอรับ?” เล่ากี๋ถามด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
เล่าเปียวพยักหน้า แสดงว่าเขาเอาจริง
ทว่าเล่ากี๋กลับถอนหายใจ แล้วกล่าวอย่างช้าๆ ว่า “นับตั้งแต่ที่ท่านพ่อได้รับตำแหน่งโจวมู่มา อำนาจทางการทหารทั้งหมดก็ถูกมอบให้ไช่เม่าและหวงจู่ อำนาจปกครองก็มอบให้แก่พี่น้องตระกูลก่วย นอกจากตระกูลผางแล้ว ความจริงมหาอำนาจทางทหารของจิงโจวล้วนอยู่ภายใต้การควบคุมของสามตระกูลใหญ่จากในสี่ตระกูลนี้ ณ จุดนี้ ท่านพ่อจะต้องทำความเข้าใจให้กระจ่าง”
สีหน้าของเล่าเปียวเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่กลับทอดถอนใจออกมาว่า “ทุกอย่างที่เจ้าพูด ไหนเลยที่ข้าจะไม่รู้ แต่ในตอนแรกข้าไปรับตำแหน่งที่จิงโจวเพียงลำพัง หากมิใช่ตระกูลก่วย ตระกูลไช่และตระกูลหวง สามตระกูลนั้น ไหนเลยจะสามารถล้มล้างกลุ่มโจรและรวมจิงโจวเป็นปึกแผ่นได้รวดเร็วถึงเพียงนี้ แล้วจะสามารถฆ่ากงซุนจ้าน และขับไล่หยวนซู่ได้เยี่ยงไร? อำนาจของตระกูลใหญ่เหล่านี้มหาศาลยิ่งนัก หากข้าไม่ให้อำนาจทางทหารแก่พวกเขาไป แล้วพวกเขาจะให้การสนับสนุนข้าได้อย่างไรกันเล่า”
“ความลำบากใจของท่านพ่อ ลูกย่อมเข้าใจดี แต่ครั้งนี้ต่างกับครั้งนั้น”
หัวข้อสนทนาของเล่ากี๋เปลี่ยนไป “ยามนี้จิงโจวมีความขัดแย้งภายใน การรุกรานจากภายนอกได้รับการขจัดแล้ว ตำแหน่งผู้ปกครองเมืองจิงโจวของท่านพ่อก็มั่นคงแล้ว หากยังคงเกี่ยวดองกับสามตระกูลใหญ่ต่อไป ยิ่งจะทำให้อำนาจของสามตระกูลที่มีต่อจิงโจวเพิ่มมากขึ้น หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าอำนาจของท่านพ่ออาจถูกควบคุม สุดท้ายก็จะกลายเป็นหุ่นเชิดของสามตระกูลใหญ่เหล่านี้”
“หุ่นเชิด” สองคำนี้หลุดออกจากปาก ร่างของเล่าเปียวสั่นเล็กน้อย สายตามีความกังวลปรากฏขึ้น
หลังจากไตร่ตรองดูแล้ว เล่าเปียวจึงสะบัดมือแล้วกล่าวว่า “ระหว่างเราพ่อลูก ไม่มีอะไรต้องปกปิด บอกวัตถุประสงค์ที่แท้จริงของเจ้ามาเถอะ”
เล่ากี๋กล่าว “ความหมายของลูกคือ เราจะต้องพึ่งพาอำนาจจากตระกูลใหญ่ แต่ไม่ต้องพึ่งพาตระกูลใหญ่ทั้งหมด ยังต้องดึงเครือญาติเช่นตระกูลของแม่นางหวงมาเป็นพวก ใช้พวกที่ด้อยกว่าตระกูลใหญ่และพวกท้ายแถวของตระกูล แม้แต่ตระกูลต่ำต้อยที่มาแบ่งแยกตระกูลใหญ่ ปิดปากตระกูลใหญ่เหล่านั้น และสิ่งต่างๆ ที่ท่านพ่อต้องทำ นั่นก็คือให้พวกเขากำจัดกันเอง ไม่มีใครยิ่งใหญ่ได้เพียงผู้เดียว ข้าทำทั้งหมดนี้เพื่อท่าน ด้วยวิธีนี้ ท่านพ่อจึงจะถือว่าเป็นผู้ปกครองที่แท้จริงของจิงโจว ถึงจะสมกับได้ชื่อว่าผู้เป็นผู้นำของจิงโจวอย่างแท้จริง”
เล่ากี๋พูดออกมามากมาย ทำให้เล่าเปียวที่ฟังอยู่เกิดความฮึกเหิมออกมาทางสีหน้าอย่างฉับพลันทันที สายตาที่มองมายังบุตรชายเปลี่ยนเป็นความชื่นชมอย่างห้ามมิได้
หลังจากรอให้เขาพูดจบแล้ว เล่าเปียวจึงกล่าวต่อ “เช่นนั้น เจ้าจึงอยากจะแต่งกับแม่นางจากตระกูลหวงผู้นั้น แทนที่จะเป็นแม่นางจากตระกูลไช่ ก็เพื่อจะเริ่มจากการดึงหวงเฉิงเยี๋ยนเข้ามาไว้ในมือก่อนเช่นนั้นหรือ?”
“เป็นเช่นนั้นขอรับ”
เล่ากี๋พยักหน้าอย่างสบายใจ จากนั้นก็กล่าวขึ้นว่า “หวงเฉิงเยี๋ยนและหวงจู่แม้จะแซ่เดียวกัน แต่กลับไม่เป็นมิตรต่อกันมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ถ้าลูกแต่งกับบุตรสาวของเขาแล้ว ท่านพ่อก็จะสามารถเชิญเขามารับตำแหน่งขุนนางได้อย่างเป็นทางการ ให้เขาช่วยท่านพ่อดูแลปกครอง สามารถแยกอำนาจของตระกูลหวง ทั้งยังสามารถควบคุมตระกูลก่วยได้อีกด้วย ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว”
“ไม่เลว เจ้าไตร่ตรองได้อย่างรอบคอบ จุดนี้ข้าเองยังคาดมิถึง” เล่าเปียวลุกขึ้นเดิน มิหนำซ้ำยังพยักหน้าอย่างชื่นชมไปด้วย
เล่ากี๋ได้รับกำลังใจ จึงรีบพูดอีกครั้งว่า “นอกจากนี้ ลูกยังอยากจะแนะนำฮองตง ผู้เป็นเครือญาติอีกฝ่ายของตระกูลหวงที่หนานหยางด้วย เขาผู้นี้ก็มิได้ลงรอยกับหวงจู่ แล้วยังมีเหวินปิง สองคนนี้ต่างก็มีความสามารถ ท่านพ่อสามารถวางใจพวกเขาเรื่องการทหารได้ ใช้พวกเขามาควบคุมอำนาจทหารจากไช่เม่า พวกเราลงมือจากการคุมอำนาจทหารจากสองฝ่าย ลูกเชื่อว่าใช้เวลาไม่นาน ก็สามารถเปลี่ยนแปลงอำนาจการปกครองทางทหารจากสามตระกูลใหญ่เหล่านั้นได้ ถึงตอนนั้นอำนาจทางการทหารของจิงโจว ก็จะอยู่ในมือของท่านพ่ออย่างมั่นคงแน่นอน”
ได้ฟังถึงตรงนี้แล้ว นัยน์ตาของเล่าเปียวเป็นประกาย เขาหันกลับมาด้วยสีหน้าที่ยินดี สื่อถึงว่าเขาได้ถูกบุตรชายคนโตโน้มน้าวใจสำเร็จแล้ว
เขาก้าวมาข้างหน้า ตบไหล่เล่ากี๋ด้วยความปิติชื่นชมแล้วพูดว่า “กี๋เอ๋อร์นะกี๋เอ๋อร์ เจ้าสามารถมองการณ์ไกลขนาดนี้ได้ สมแล้วที่เป็นบุตรชายของเล่าจิ่งเซิง เจ้าไม่ทำให้พ่อผิดหวังเลยจริงๆ”
หลังจากได้รับคำชมจากเล่าเปียว เล่ากี๋ก็โล่งใจมากขึ้น จนเขาอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาอย่างชื่นใจ
พ่อลูกหารือกันเรียบร้อย จากนั้นเล่าเปียวก็เริ่มขบคิด มอบหมายให้คนไปทำการสู่ขอที่ตระกูลหวง เพื่อให้งานแต่งครั้งนี้สำเร็จไปได้ด้วยดี
ในตอนนี้เอง ก็ได้มีทหารส่งสารวิ่งเข้ามาจากนอกกระโจม นำข่าวชัยชนะจากเมืองปี่หยางมารายงาน
“ข่าวชัยชนะของปี่หยางอย่างนั้นหรือ?”
เล่าเปียวชักสีหน้าสงสัย รับจดหมายมาดู ทันใดนั้นตัวของเขาก็สั่นสะท้านอย่างอดไม่ได้ สีหน้าของเขาปรากฏแววตระหนกตกใจ
“ท่านพ่อ เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือขอรับ?” เล่ากี๋เองก็มีสีหน้าประหลาดใจเช่นกัน เพราะตนไม่เคยเห็นผู้เป็นพ่อมีสีหน้าเช่นนี้มาก่อน
“เจ้าดูเองเถอะ” เล่าเปียวยื่นจดหมายให้แก่เขา แล้วอุทานอย่างประหลาดใจว่า “คิดไม่ถึงเลย คิดไม่ถึงเลยจริงๆ ซูเจ๋อผู้นี้ จะสามารถขจัดภัยพิบัติจากกลุ่มโจรกบฏโพกผ้าเหลืองของเมืองปี่หยางได้ในระยะเวลาเพียงครึ่งเดือน ช่างน่าเหลือเชื่อเสียจริง”
เล่ากี๋ดูจดหมายแล้ว นัยน์ตาเป็นประกาย เขากล่าวขึ้นว่า “แต่ไหนแต่ไรมาสุ่ยจิ้งเซียนเซิงมีทักษะในการมองคน เนื่องจากว่าเขาเรียกซูเจ๋อผู้นี้ว่าเป็นบัณฑิตอัจฉริยะแห่งจิงเซียง เป็นดั่งมังกรหลับ นั่นย่อมหมายถึงผู้ที่มีความสามารถเหนือกว่าผู้อื่น ตอนนี้ซูเจ๋อได้ใช้ฝีมือที่แท้จริงของเขา พิสูจน์การประเมินค่าของสุ่ยจิ้งเซียนเซิงที่พูดถึงเขาไว้แล้ว จากเหตุการณ์นี้นับว่าซูเจ๋อผู้นี้มีความสามารถที่ล้ำเลิศอย่างแท้จริง ลูกคิดว่า คนผู้นี้สามารถช่วยท่านพ่อได้”
“ความหมายของเจ้าคือ......”
“ความหมายของลูกคือ เนื่องจากท่านพ่อเคยตกลงก่อนหน้านี้ว่าถ้าหากเขาสามารถกำจัดกลุ่มโจรกบฏโพกผ้าเหลืองในปี่หยางได้ ก็จักมอบตำแหน่งผู้ปกครองเมืองหนานหยางให้แก่เขา ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ทำไมท่านพ่อไม่มอบตำแหน่งผู้ปกครองเมืองหนานหยางให้กับเขาดังเช่นคำที่ให้ไว้ ใช้โอกาสอันเหมาะเจาะนี้ย้ายไช่เม่ากลับมาจากหนานหยาง กำจัดการรวมกำลังพลและปลูกฝังความแข็งแกร่งของเขาได้”
ตาของเล่าเปียวกระตุก เขาเข้าใจความหมายของบุตรชายดี จึงเดินกุมมืออีกครั้ง แล้วเริ่มคิดไตร่ตรองขึ้นมา
หลังจากนั้นพักหนึ่ง เล่าเปียวกลับส่ายหน้าอีกครั้ง “ความตั้งใจของเจ้าไม่เลว แต่ว่าเจ้าเพิ่งจะปฏิเสธการสมรสกับแม่นางตระกูลไช่ไป ไช่เม่าจักต้องไม่พอใจอย่างแน่นอน ทั้งนี้ไช่เม่าเพิ่งจะขึ้นรับตำแหน่งผู้ปกครองเมืองหนานหยางได้ไม่นาน หากพ่อย้ายเขากลับมาตอนนี้ ยิ่งจะไปเพิ่มความไม่พอใจให้แก่เขามากขึ้น พ่อกลัวว่ามันอาจเป็นชนวนเหตุนำไปสู่การตอบโต้กลับของตระกูลไช่ ถึงแม้ว่าเราอยากทำให้อำนาจของตระกูลไช่อ่อนลง แต่ก็ต้องค่อยเป็นค่อยไป อย่าได้รีบร้อนไป”
“คำพูดของท่านพ่อมีเหตุผล เป็นลูกที่รีบร้อนไปเอง” เล่ากี๋พยักหน้า เขาไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นมุมปากของเขาได้ปรากฏรอยยิ้มขึ้น “ท่านพ่อโปรดวางใจ ลูกมีแผนการที่ดีงามสำหรับสองเงื่อนไขนี้แล้ว”
……
หลายวันต่อมา ที่เมืองปี่หยาง
ผู้ส่งสารจากเซียงหยางได้ควบม้าเร็วมุ่งหน้ามาพร้อมกับคำสั่งของเล่าเปียวเข้าสู่เมืองปี่หยางอย่างรวดเร็ว
ในศาลาว่าการอำเภอ ซูเจ๋อเคี้ยวถั่วปากอ้าอย่างรวดเร็ว ขณะอ่านคำสั่งของเล่าเปียว
“น่าสนใจ เล่าเปียว คำสั่งนี้ของท่าน น่าสนใจจริงๆ......” ซูเจ๋อกล่าว พร้อมกับอ่านคำสั่งให้พวกซูเฟยได้ฟัง
ในคำสั่งนั้นมิได้มีข้อความสนับสนุนให้เขาขึ้นเป็นผู้ปกครองเมืองหนานหยางแต่อย่างใด ทว่าเป็นการแต่งตั้งเขาให้เป็นผู้ส่งเครื่องบรรณาการ สั่งให้เขากลับไปรายงานตัวที่เมืองเซียงหยางในอีกไม่กี่วัน แล้วให้รับหน้าที่นำเครื่องบรรณาการจากจิงโจวไปถวายแด่ฮ่องเต้แห่งฉางอัน