ตอนที่ 23 หุงข้าวประชดหมา
สองวันต่อมา ซูเจ๋อตื่นขึ้นมาบอกลาปี่หยาง แล้วมุ่งหน้าลงใต้สู่เซียงหยาง
ก่อนที่จะไป เขาได้เหลือทหารท้องถิ่นไว้ที่เมืองปี่หยางไม่ถึงร้อยนาย ส่วนทหารราบพันนายและกองกำลังทหารม้าชั้นยอดที่เหลือนั้นติดตามเขากลับไป
ในที่นี้รวมถึงทหารม้าสามร้อยนายของตัวเขาเองด้วย รวมทั้งทหารราบเจ็ดร้อยนายที่ยอมจำนนและตามจิวฉองกลับมา คนและม้าเหล่านี้ล้วนถูกคัดเลือกโดยซูเจ๋อเอง มิได้ใช้เงินใดๆ จากฝ่ายขุนนาง ตามกฎลับๆที่ทุกคนยอมปฏิบัติตามแต่โดยดี คนและม้านับพันนี้ต่างก็กลายเป็นทหารส่วนตัวของเขาไปโดยปริยาย
ซูเจ๋อสั่งให้ซูเฟยนำทหารม้าหนึ่งพันนายนี้ไปประจำอยู่ทางริมฝั่งเหนือของแม่น้ำฮั่นสุ่ย ส่วนซูเจ๋อนำจิวฉองและซูเซี๋ยวเสี่ยวข้ามแม่น้ำมุ่งหน้าไปยังเมืองเซียงหยาง ภายใต้การคุ้มกันของทหารอารักขาสามสิบนาย
เช้าวันต่อมา เล่าเปียวต้อนรับซูเจ๋อที่จวนโจวมู่ ประกาศแต่งตั้งซูเจ๋อเป็นก้งซือ1 ต่อหน้าสาธารณชน
นี่เป็นการเข้าพบที่เป็นทางการมากครั้งหนึ่ง เล่าเปียวยกย่องผลงานโดดเด่นของซูเจ๋อที่เมืองปี่หยาง พร้อมกับอธิบายข้อควรระวังบางประการให้แก่เขาอย่างเคร่งขรึม แต่กลับไม่ได้พูดถึงการแต่งตั้งตำแหน่งสักคำ ตามคำสัญญาที่ให้ต่อซูเจ๋อ
หลังจากที่ซูเจ๋อได้เข้าพบและรับการแต่งตั้งแล้ว เล่าเปียวก็ใช้เหตุผลว่ายุ่งเรื่องงานมาเป็นข้ออ้าง สั่งให้เล่ากี๋ บุตรชายคนโตรับช่วงสนทนาแทนเขาต่อ
พอเล่าเปียวจากไป เล่ากี๋ก็เสนอตัวนำซูเจ๋อไปชมสวนดอกไม้หลังจวนโจวมู่ด้วยความกระตือรือร้น ซูเจ๋อก็ไม่ได้มีเจตนาที่จะปฏิเสธคุณชายใหญ่ พร้อมทำตามอย่างว่าง่าย
ทั้งคู่เดินมาที่สวนดอกไม้ด้านหลัง พวกคนติดตามอยู่ห่างไกลออกไปทางด้านหลัง ซ้ายขวาไร้ซึ่งคนเคียงข้าง
ในตอนนี้เอง เล่ากี๋ก็หัวเราะแล้วกล่าวว่า “ข้าชื่นชมเจ้ามานาน เคยได้ยินสุ่ยจิ้งเซียนเซิงพูดถึงเจ้ามาก่อน เจ้าเป็นบัณฑิตอัจฉริยะอันดับหนึ่งของจิงโจว เปรียบดังมังกรหลับ ข้าเกลียดที่ตัวเองตามบิดามาที่จิงโจวช้าไปหลายปี จนมิได้เรียนด้วยกันกับเจ้าที่สำนักลู่เหมิน และมิได้เห็นความสง่างามของเจ้าเป็นขวัญตา”
บุตรชายคนโตของใต้เท้าโจวมู่แห่งเมืองจิงโจวผู้สง่างาม จู่ๆ ก็สรรเสริญเยินยอลูกหลานตระกูลยากไร้ของตนถึงเพียงนี้ เกรงว่าจะซ่อนอะไรไม่ดีไว้ในใจ
ทันใดนั้นซูเจ๋อก็รู้สึกตัวขึ้นมา แต่กลับยิ้มอย่างถ่อมตนพร้อมตอบไปว่า “คุณชายใหญ่สรรเสริญข้าเกินไปแล้ว บัณฑิตอัจฉริยะแห่งจิงเซียงอะไรกัน นั่นเป็นเพียงคำชมเชยลอยๆ ของสุ่ยจิ้งเซียนเซิงเท่านั้น ข้ามิอาจเทียบหรอก”
“เจ้ามิต้องถ่อมตนนักเลย เจ้าใช้เวลาสั้นๆ เพียงครึ่งเดือนก็สามารถขจัดภัยพิบัติจากโจรกบฏโพกผ้าเหลืองของเมืองปี่หยางได้ นี่ก็เพียงพอที่จะพิสูจน์ฉายามังกรหลับของเจ้าได้แล้ว”
ซูเจ๋อทำได้เพียงยิ้ม แอบคิดในใจว่า คุณชายใหญ่ผู้นี้แท้จริงแล้วต้องการจะทำอะไรกันแน่
หลังจากสรรเสริญเยินยอจบแล้ว เล่ากี๋ก็อุทานขึ้นมาเบาๆ ว่า “อันที่จริงท่านพ่อของข้าต้องการให้บำเหน็จรางวัลเลื่อนขั้นให้เจ้าเป็นนายอำเภอปกครองเมืองหนานหยาง เพียงแต่มันไปหยามเกียรติของเจ้าเมืองไช่ จึงยังมิได้ทำตามสัญญาที่ได้ให้ไว้แก่เจ้า ในงานรับสมัครในวันนั้น เรื่องนี้ ข้าหวังว่าเจ้าจะเข้าใจ”
เล่ากี๋เปลี่ยนบทสนทนามาเป็นเรื่องนี้โดยมิได้คาดคิด ทั้งนี้ยังแสดงความเกรงกลัวที่มีต่อตระกูลไช่อย่างนุ่มนวลอีก ช่างน่าสนใจจริงๆ
ความคิดแล่นเข้ามาในหัวของซูเจ๋อ แต่ปากของเขากลับพูดออกไปอย่างใจกว้างว่า “เข้าใจ เข้าใจ ข้าน้อยย่อมเข้าใจดี สุดท้ายแล้วข้าน้อยก็เป็นเพียงตระกูลยากจน หากพูดถึงอำนาจฐานะของตระกูลแล้ว ย่อมมิอาจเทียบใต้เท้าโจวมู่ได้”
“เจ้าคือผู้ที่ดูสถานการณ์ออกจริงๆ ด้วย ข้ามองเจ้าไม่ผิดเลย”
เล่ากี๋พยักหน้าอย่างพอใจ ทันใดนั้นเขาก็ล้วงเอาจดหมายออกมาแล้วส่งให้กับเขา พร้อมกับพูดเสียงต่ำว่า “อันที่จริงบิดาข้าชื่นชมเจ้าเป็นอย่างยิ่ง แล้วได้วางแผนใช้เจ้าให้ปฏิบัติหน้าที่สำคัญเอาไว้แต่แรกแล้ว ดังนั้นจึงได้ให้เจ้าไปที่ฉางอันในฐานะฑูต นี่คือจดหมายลับที่ลงลายมือของบิดาข้า หลังจากเจ้าไปถึงฉางอันแล้ว ให้นำจดหมายลับนี้ มอบให้แก่อ้องอุ้น2”
อุปราชอ้องอุ้น เหตุใดจึงเอาคนผู้นี้มาเกี่ยวข้องด้วย
ในใจของซูเจ๋อระแวงเพิ่มมากขึ้น เขารับจดหมายมา แต่ถามว่า “ขออภัยหากข้าจะเรียนถามอย่างบุ่มบ่าม ไม่ทราบว่าในจดหมายนี้ที่ใต้เท้าจะมอบให้แก่อุปราชอ้องอุ้นนี้ มีเนื้อหาเช่นไรหรือขอรับ”
เล่ากี๋หัวเราะแล้วตอบว่า “บอกเจ้าไปก็ไม่เป็นไร แท้จริงแล้วนี่เป็นจดหมายแนะนำบุคคล ท่านพ่อหวังว่าอุปราชอ้องอุ้นจะใช้อิทธิพลของท่านที่มีต่อต่งไท่ซือ ให้เป็นประโยชน์ แต่งตั้งให้เจ้าเป็นเจ้าเมืองหนานหยางในนามของราชสำนัก ด้วยเหตุนี้ ท่านพ่อก็จะสามารถสนับสนุนให้เจ้าได้เลื่อนขั้นเป็นเจ้าเมืองหนานหยางอย่างถูกต้องแล้ว”
ทันใดนั้นซูเจ๋อก็เข้าใจ มุมปากมีรอยยิ้มกลัดกลุ้มและเย็นชายากที่จะสังเกตได้ปรากฏขึ้น
เขาราวกับเหมือนจะเข้าใจความคิดของสองพ่อลูกตระกูลเล่า พ่อลูกคู่นี้ยังคงเห็นแก่ตระกูลไช่และตระกูลหวงสองตระกูลใหญ่ของเมืองจิงโจว แต่ลำพังส่วนตัวเองก็มีความหวาดกลัวต่ออำนาจของตระกูลใหญ่นี้ ดังนั้นจึงจะใช้โอกาสนี้ ใช้ตนซึ่งมาจากครอบครัวที่ยากจนให้เลื่อนขั้นรับหน้าที่สำคัญ ย้ายไช่เม่าออกมาจากตำแหน่งเจ้าเมืองปกครองเมืองหนานหยาง เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ไช่เม่าเป็นเหมือนกับหวงจู่ที่เฝ้าระวังอยู่ที่เจียงเซี่ย ที่กลายเป็นนายพลของกองกำลังทหารสนับสนุนกันหมด ส่งผลกระทบต่อการควบคุมที่แท้จริงที่เล่าเปียวมีต่อจิงโจว
ทว่า เล่าเปียวยังคงต้องอาศัยตระกูลไช่ จึงทำได้เพียงแอบควบคุมอยู่เงียบๆ แต่ไม่กล้าตัดทอนอำนาจของตระกูลไช่อย่างเปิดเผย
ดังนั้น เล่าเปียวจึงต้องใช้นามของราชสำนัก ให้ตนมารับตำแหน่งเจ้าเมืองหนานหยางแทนไช่เม่า ด้วยเหตุนี้ ไช่เม่าก็จะไม่สามารถเล็งเป้าความไม่พอใจมาทางเล่าเปียวได้
“นี่เป็นการเดินหมากที่ยอดเยี่ยมเสียจริง ไม่รู้ว่าใครเป็นผู้คิดแผนการนี้ให้เล่าเปียว ก็ดี เช่นนั้นข้าจะหุงข้าวประชดหมา3ให้ดู......”
เล่าเปียวคิดจะใช้เขาเพื่อลดทอนอำนาจของไช่เม่า เขาเองก็จะใช้โอกาสที่ประจวบเหมาะเช่นนี้ เพื่อให้ได้ตำแหน่งเจ้าเมืองหนานหยางมาไว้ในกำมือ เมื่ออาณาเขตกว้างใหญ่ ตำแหน่งขุนนางใหญ่โต เขาจึงจะมีเงินทุนที่มากขึ้นเพื่อมาขยายกองกำลังของตน
การไปเยือนฉางอัน กล่าวได้ว่าเป็นงานที่ได้ผลประโยชน์ด้วยกันทั้งสองฝ่าย เขาจึงไม่มีเหตุผลที่จะไม่รับ
ความคิดแล่นเข้ามาในหัวของเขา ซูเจ๋อพิจารณาข้อดีข้อเสียอย่างรวดเร็ว เขายกมือคารวะ แล้วกล่าวอย่างยินดีว่า “เช่นนั้นข้าน้อยขอขอบคุณใต้เท้าและคุณชายใหญ่ที่เล็งเห็นความสามารถ และไว้วางใจให้ข้าน้อยไปเยือนฉางอันในครั้งนี้”
“เอาล่ะๆ ได้ยินประโยคนี้จากเจ้า ท่านพ่อกับข้าก็ชื่นใจแล้ว” ใบหน้าของเล่ากี๋เผยรอยยิ้มที่พอใจออกมา
หลังจากที่เล่ากี๋ได้กำชับเรื่องการเลื่อนตำแหน่งอีกครั้ง ก็ได้บอกให้ซูเจ๋อรีบไปเตรียมตัว เริ่มเดินทางมุ่งหน้าไปที่ฉางอันโดยเร็วที่สุด
ซูเจ๋อบอกลาแล้วจากไป
“เป็นอย่างไรบ้าง ท่าทีของซูเจ๋อเป็นเช่นไรบ้าง?” ซูเจ๋อก้าวเท้าออกไป เล่าเปียวก็หมุนตัวออกมาจากหลังต้นไม้ใหญ่ด้านหลัง
เล่ากี๋สีหน้าพอใจ เขายิ้มแล้วพูดว่า “ท่านพ่อโปรดวางใจ ซูเจ๋อก็แค่บุตรหลานจากตระกูลยากจนคนหนึ่งเท่านั้น การที่ได้รับความสำคัญจากท่านพ่อ ย่อมเต็มไปด้วยความรู้สึกปลาบปลื้มใจหาที่สุดมิได้ และสำนึกในบุญคุณ ยอมแลกชีวิตเพื่อเรา”
“อืม เช่นนั้นก็ดี” เล่าเปียวพยักหน้าอย่างพอใจ แต่กลับถอนหายใจอย่างเสียดายว่า “หากพูดเรื่องความสามารถ ชายผู้นี้ทิ้งห่างจากหวงเซ่ออยู่มาก แต่ช่างน่าเสียดาย ถึงอย่างไรเขาก็เกิดในครอบครัวที่ยากจน เขาทำประโยชน์แก่ข้าได้ แต่ก็ได้ไม่มาก ช่างน่าเสียดายจริงๆ......”
……
ซูเจ๋อรับคำสั่งจากเล่าเปียว ไปยังเมืองจิงโจวรับเอาสมุดรายงานที่เกี่ยวข้องกับของบรรณาการ หลังจากเบิกเงินของการเดินทางแล้ว ในวันเดียวกันนั้นเขาก็ออกจากเซียงหยาง ออกเดินทางมุ่งสู่ทางเหนือ
ขบวนรถม้าออกจากเมืองเซียงหยาง ตลอดทางมุ่งหน้าไปทางเหนือของแม่น้ำฮั่นสุ่ย เมื่อมาถึงทางแยก มองไกลออกไป เห็นแต่ถนนสายเล็กๆ ทางตะวันออกหนึ่งสายที่ทอดไปสู่จวนเจ้าเมืองอย่างเลือนราง
“เหตุใดจวนเจ้าเมืองที่อยู่ไกลๆ นั้น ข้ามองแล้วรู้สึกคุ้นตายิ่งนัก?” ซูเจ๋อดึงบังเหียนม้าให้หยุด แล้วบ่นพึมพำกับตัวเอง
ซูเซี๋ยวเสี่ยวหัวเราะแล้วพูดว่า “หรือว่าคุณชายลืมไปแล้ว ที่นั่นคือบ้านของคุณหนูหวง”
จวนตระกูลหวง?
เบื้องหน้าของซูเจ๋อปรากฏใบหน้าที่สวยสดงดงามของหวงเยว่อิง คิดถึงงานรับสมัคร และสัญญาที่ให้ไว้กับนางขึ้นมา
เขารู้สึกแปลกใจยิ่งนักว่าในตอนแรกที่ตนอยู่ที่สำนักลู่เหมินนั้น เคยให้สัญญาอันใดกับนางกัน
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ หัวม้าของซูเจ๋อก็หันไปทางจวนของตระกูลหวง จิวฉองและซูเซี๋ยวเสี่ยวตกใจ จำเป็นต้องเรียกให้ขบวนรถหันหัว แล้วตามซูเจ๋อมุ่งหน้าไปทางจวนตระกูลหวง
ในตอนพลบค่ำ ซูเจ๋อมาถึงหน้าประตูจวน เขาเคาะประตูจวน แจ้งชื่อแซ่ กล่าวอ้างว่าเป็นเพื่อนเก่าของหวงเยว่อิง ผ่านมาทางนี้ จึงอยากแวะมาเยี่ยมถึงจวน
คนรับใช้ตระกูลหวงที่เฝ้าประตู รีบวิ่งเข้าไปรายงาน
ด้านใน ในศาลาอันวิจิตรงดงาม หวงเยว่อิงกำลังนั่งอยู่กับไช่ซู ทั้งสองกำลังเย็บปักถักร้อยพร้อมกับสนทนาเรื่องทั่วไปในครอบครัว
“ท่านพี่ น้องต้องแสดงความยินดีกับท่านด้วยนะ” ไช่ซูชายตามองหวงเยว่อิง ทันใดนั้นก็หัวเราะคิกคักขึ้นมา
“ยินดี ข้ามีอะไรให้น่ายินดี?” หวงเยว่อิงมิได้เงยหน้าขึ้นมา ยังคงจดจ่ออยู่กับการปักผ้าในมือ
ไช่ซูทำหน้าตาประชดประชัน แล้วหัวเราะว่า “ท่านพี่มิต้องเสแสร้งไป ท่านไม่ได้ยินหรอกหรือว่าคุณชายใหญ่ตระกูลเล่าผู้นั้นตัดสินใจแต่งกับตระกูลหวง วางแผนจะมาสู่ขอท่านพี่ไปเป็นฮูหยิน คุณชายใหญ่เป็นถึงว่าที่ใต้เท้าโจวมู่ในอนาคต นี่ยังไม่คู่ควรกับการยินดีอีกหรือ?”
“เฮ้อ~~”
เยว่อิงถอนหายใจเบาๆ แต่เข็มกลับทิ่มเข้าที่ปลายนิ้ว คิ้วขมวดอย่างอดไม่ได้ นัยน์ตาใสฉายแววความขุ่นเคืองออกมา
ริมฝีปากแดงเผยอขึ้นพร้อมกับเม้มปากไปที่ปลายนิ้วที่มีเลือดออก แล้วพูดอย่างไม่เห็นด้วยว่า “มีอะไรน่ายินดีนัก ถ้าน้องหญิงเห็นความสำคัญของการเป็นฮูหยินของใต้เท้าโจวมู่ในอนาคตนั่นนัก ข้ายกให้เจ้าก็แล้วกัน”
พอคำนี้หลุดออกมา ไช่ซูตัวสั่นตกตะลึง นัยน์ตาเปล่งประกายความยินดีขึ้นมาทันที
1 ก้งซือ คือ ตำแหน่งเจ้าพนักงานดูแลเครื่องราชบรรณาการ
2 หวัง ยฺหวิ่น ตามสำเนียงมาตรฐาน หรือ อ้องอุ้น เป็นขุนนางชาวจีนปลายราชวงศ์ฮั่นตะวันออก ดำรงตำแหน่งอุปราช
3 หุงข้าวประชดมา เป็นสำนวนที่มีความหมายว่าการประชดประชันคนอีกฝ่ายหนึ่ง โดยผู้ประชดต้องการทำให้รู้สำนึก แต่ผู้ถูกประชดไม่ได้รู้สึกสำนึกแต่อย่างใด กลับเป็นผู้ได้รับผลประโยชน์จากการประชดนั้น