px

เรื่อง : ข้ามีดาวเที่ยมในยุคสามก๊ก (นิยายแปล) ปลดล๊อคตอนฟรี 3 วัน 1 ตอน
ตอนที่ 24 ขุ่นเคือง


ตอนที่  24 ขุ่นเคือง

 

ความดีใจผ่านไปในชั่วพริบตา ไช่ซูบ่นอุบแล้วกล่าวอย่างเง้างอนว่า  “พี่หญิงช่างรู้จักล้อข้าเล่นเสียจริง เรื่องดีๆ ขนาดนี้ ข้าไม่เชื่อหรอกว่าพี่หญิงจะยอมยกให้ข้าได้”

 

“ข้ามิได้ล้อเจ้าเล่น ข้าแสดงเจตนารมณ์ต่อท่านพ่ออย่างชัดเจนแล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็จะไม่แต่งกับเล่ากี๋ผู้นั้นเด็ดขาด ท่านพ่อเองก็แสดงออกว่าเคารพการตัดสินใจของข้าด้วยเช่นกัน” หวงเยว่อิงตอบด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉย

 

“จริงหรือ?”

 

ไช่ซูได้ฟังแล้วถึงกับพูดไม่ออก สีหน้าเหมือนไม่กล้าที่จะเชื่อ แล้วพูดอย่างไม่เข้าใจว่า  “คุณชายใหญ่เป็นถึงเครือญาติของตระกูลฮั่น และยังเป็นบัตรชายคนโตของท่านหลิวจิงโจวอีกด้วย ต้องการฐานะก็มี ต้องการอำนาจก็ได้ แม้นเทพเจ้าแห่งโชคลาภจุดโคมไฟขอพรให้สมหวังก็ยากที่จะหาพบ เหตุใดพี่หญิงจึงไม่สนใจเขาเล่า?”

 

หวงเยว่อิงพูดอย่างไม่เห็นด้วยว่า  “แต่ไหนแต่ไรมาตระกูลหวงของข้ามิใช่พวกที่เลียแข้งเลียขาผู้มีอิทธิพล แม้ว่าคุณชายเล่าผู้ยิ่งใหญ่จะเกิดมาเพียบพร้อมสูงส่ง มีชื่อเสียงและอำนาจยิ่งใหญ่ แต่ในมุมมองของข้า เขากลับเป็นแค่คนธรรมดาทั่วไป หาใช่บุรุษยอดเยี่ยมที่ข้าชื่นชอบไม่”

 

“คนธรรมดาทั่วไป ท่านบอกว่าคุณชายใหญ่เป็นเพียงคนธรรมดาทั่วไปเยี่ยงนั้นหรือ?” ไช่ซูตาค้าง น้ำเสียงเผยให้เห็นถึงความไม่พอใจ

 

ความรู้สึกแบบนี้ เหมือนกับเทพเจ้าแห่งความสมหวังในสายตาของตัวเอง แต่กลับถูกคนอื่นมองเป็นเพียงฝุ่นผง ทำให้ไช่ซูรู้สึกราวกับว่าถูกทำให้อับอายและถูกเยาะเย้ย

 

หลังจากนั้นนางก็ส่งเสียงหึทางจมูก แล้วถามกลับไปว่า  “ขนาดคุณชายใหญ่ผู้สูงส่งยังถูกพี่หญิงมองว่าเป็นเพียงคนธรรมดาทั่วไปเท่านั้น เช่นนั้นใครเล่าจึงจะเป็นบุรุษผู้ไม่ธรรมดาในสายตาพี่หญิง คงไม่ได้มีเพียงซูเจ๋อที่เกิดในครอบครัวยากจน บัณฑิตอัจฉริยะอันดับหนึ่งแห่งซินเจียง ผู้ที่ถูกเรียกว่ามังกรหลับอะไรนั่นหรอกใช่ไหม?”

 

เมื่อกล่าวถึงซูเจ๋อ ตัวของหวงเยว่อิงสั่นเทาไปเล็กน้อย ใจของนางสั่นไหวขึ้นมา

 

หวงเยว่อิงสัมผัสได้ถึงเจตนาดูถูกซูเจ๋อจากคำพูดของไช่ซู  ดังนั้นนางจึงพูดตอบกลับด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า  “คุณชายซูใช้ทหารใหม่ไม่กี่ร้อยนาย อีกทั้งยังใช้เวลาไม่เกินครึ่งเดือนก็สามารถทำลายล้างศัตรูที่มากกว่าถึงสิบเท่าได้ สามารถขจัดภัยพิบัติจากโจรกบฏโพกผ้าเหลืองของเมืองปี่หยางได้สำเร็จ หากเช่นนี้เรียกว่าธรรมดา เช่นนั้นบนโลกนี้ก็คงไม่มีคนที่ไม่ธรรมดาแล้วล่ะ”

 

ไช่ซูถูกตอกกลับจนสำลัก นางโกรธจนหน้าแดงขึ้นมาทันที

 

หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ไช่ซูจึงพูดอย่างเย็นชาว่า  “ถึงแม้ว่าเขาจะมีความสามารถเพียงใด ทว่าอย่างไรเขาก็ถูกจำกัดโดยชาติกำเนิด สุดท้ายได้กลายเป็นนายอำเภอปกครองเมืองปี่หยางก็ถือเป็นโชคดีอย่างยิ่ง จะหาเทียบกับคุณชายใหญ่ได้อย่างไร ในอนาคตคุณชายเล่าจะได้เป็นถึงใต้เท้าโจวมู่”

 

“น้องหญิงช่างไร้เดียงสาเสียจริง” หวงเยว่อิงหัวเราะ “หากเป็นยามที่บ้านเมืองสงบรุ่งเรือง แม้นว่าคุณชายซูจะมีพรสวรรค์ที่น่าเหลือเชื่อ ก็ตามคุณชายเล่าไม่ทัน แต่น่าเสียดายที่ทั่วหล้าล้วนโกลาหลวุ่นวาย ทุกอย่างมิอาจอาศัยหลักการปกติทั่วไปมาคิดคำนวณได้ วันนี้เป็นผู้กล้า พรุ่งนี้บางทีโจรกบฏอาจมีอำนาจเหนือราชสำนักและประชาชน  วันนี้เป็นวีรบุรุษ บางทีพรุ่งนี้ศีรษะและตัวอาจจะอยู่คนละที่ ตัวอย่างเช่นตั๋งโต๊ะและกงซุนจ้าน ก็เพียงพอที่จะอธิบายทุกอย่างได้ ในจุดนี้น้องหญิงยังมองไม่ออกอีกหรือ?”

 

“ความหมายของท่านคือ.....” ไช่ซูตกใจ ราวกับว่าเข้าใจอะไรบางอย่างเข้าแล้ว

 

หวงเยว่อิงยกมือนางขึ้นมา แล้วถอนหายใจเบาๆ พลางพูดว่า  “เห็นแก่ไมตรีจิตของเราพี่น้อง ข้าขอแนะนำน้องหญิงสักคำ ทุกวันนี้ต้องมองระยะยาว อย่าได้มองเพียงปีหรือสองปีข้างหน้า ต้องมองออกไปให้ไกลแปดปีสิบปี หรือมองให้มากกว่านั้น”

 

ไช่ซูคิดไตร่ตรองโดยไม่ได้พูดอะไร นางคิดวนอยู่หลายตลบ ยามนี้ในหัวของนางได้แต่ขบคิดถึงคำพูดของหวงเยว่อิง

 

หลังจากนั้น ดูเหมือนว่านางจะเข้าใจอะไรขึ้นมาบ้าง นางขมวดคิ้วแล้วกล่าวว่า  “จากที่ได้ฟังพี่หญิงพูด หรือว่าพี่หญิงมองตระกูลเล่าไม่ดี คิดว่าพวกเขาไม่อาจปกครองรากฐานของเมืองจิงโจวได้  ส่วนคุณชายใหญ่ก็ไม่อาจสืบทอดตำแหน่งใต้เท้าโจวมู่ได้ หรือจะบอกว่าแม้นได้สืบทอดตำแหน่งต่อก็ปกครองไม่รอดอย่างนั้นหรือ?”

 

“เรื่องนั้นข้ามิได้พูด ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่น้องหญิงเข้าใจเอง เอาล่ะ เราอย่ามาสนทนากันในเรื่องที่ตึงเครียดต่อไปเลย ดูดอกมะลิที่ข้าปักนี่สิ งดงามหรือไม่?”

 

หวงเยว่อิงยิ้มอย่างงดงาม แล้วอวดผ้าที่เย็บปักให้นางดู เห็นได้ชัดว่าจงใจบ่ายเบี่ยงประเด็น

 

ถึงอย่างไร ตอนนี้ตระกูลเล่าก็เป็นผู้ปกครองจิงโจว ถ้าหากนางพูดออกไปอย่างโจ่งแจ้งว่าตระกูลเล่าปกครองจิงโจวไม่ได้ แล้วเรื่องไปถึงหูพ่อลูกตระกูลเล่า อาจจะทำให้เกิดเรื่องบาดหมางกันได้

 

ไช่ซูหยุดคิดไปครู่หนึ่ง ทว่านางกลับยกมุมปากขึ้นแล้วกล่าวอย่างไม่พอใจ  “พี่หญิงไปเอาความมั่นใจมาจากไหน ถึงคิดว่าตนนั้นมองคนได้แม่นยำนัก ขนาดคนอื่นยังไม่แม่นยำ มีสิทธิ์อะไรบอกว่าคนนั้นธรรมดา แล้วเขาก็ต้องธรรมดา ท่านดูจะไม่ถือดีไปหน่อยหรือ”

 

คำพูดของนางแสดงความไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด

 

หวงเยว่อิงอ้าปากคิดจะโต้เถียงนาง แต่ในขณะที่คำพูดมาถึงปากนั้น พอเห็นสีหน้าไม่พอใจของไช่ซู นางจึงลังเลใจเล็กน้อย และสุดท้ายนางก็กลืนคำพูดกลับเข้าไปเหมือนเดิม

 

นางยิ้มแล้วหัวเราะประชดตัวเองว่า  “บางทีข้าอาจจะมั่นใจเกินไปก็ได้ แต่นี่ก็เป็นเพียงคำพูดของข้าเพียงผู้เดียว น้องหญิงใคร่ฟังก็ฟัง หากมิใคร่ฟัง ก็คิดเสียว่าเป็นคำพูดที่เลอะเลือนของข้าก็พอ สำหรับเรื่องคุณชายเล่านั้น ในเมื่อข้าได้ปฏิเสธเขาไป เช่นนั้นเขาก็มีแค่น้องหญิงที่ต้องเลือก น้องหญิงสบายใจเถอะ”

 

“ท่านหมายความว่าอะไร!”

 

ไช่ซูลุกพรวดขึ้นมา ใบหน้าเล็กๆ เปลี่ยนเป็นสีแดงด้วยความโมโห นางพูดอย่างโกรธเคืองว่า  “ของที่ตัวท่านเองไม่ชอบ ก็เอามายกให้ข้า ท่านเห็นว่าข้าเป็นขอทานอย่างนั้นหรือ?”

 

หวงเยว่อิงตกใจ รีบอธิบายว่า   “น้องหญิงเข้าใจผิดแล้ว ข้ามิได้หมายความเช่นนั้น หากคำพูดที่ข้าพูดไปเมื่อครู่นี้มีความกำกวม ทำให้เจ้าไม่สบายใจ ข้าต้องขออภัยเจ้าด้วย”

 

ไช่ซูยืนอยู่ตรงนั้น จ้องหวงเยว่อิงตาเขม็ง หน้าอกสั่นกระเพื่อมอย่างรุนแรง ราวกับว่าอยากจะระบายความอึดอัดคับข้องใจออกมา แต่กลับไม่รู้จะเริ่มพูดอย่างไรดี

 

ในตอนนั้นเอง หวงเหว่ยเฉิง คนรับใช้เก่าแก่ประจำตระกูลก็วิ่งเข้ามา ยกมือคำนับแล้วพูดว่า  “รายงานคุณหนู ด้านนอกมีคุณชายท่านหนึ่งอ้างว่าเป็นสหายท่าน นามว่าซูเจ๋อ จะมาขอเข้าพบ คุณหนูต้องการพบเขาหรือไม่?”

 

ซูเจ๋อมาเยี่ยมอย่างนั้นหรือ?

 

หวงเยว่อิงตกใจ แล้วหันไปมองไช่ซูอยู่ครู่หนึ่ง

 

ไช่ซูอึดอัดจนแทบอยากจะกระทืบเท้า แล้วมาถูกซูเจ๋อขัดจังหวะเช่นนี้อีก นางมีหรือจะทนไหว ดังนั้นนางจึงทำหน้ามุ่ยแล้วบ่นพึมพำว่า   “คนที่ไม่ธรรมดาของพี่หญิงมาแล้ว น้องหญิงคงไม่อยู่ที่นี่ให้ขวางหูขวางตา น้องหญิงขอลา”

 

พูดจบ ไช่ซูก็หมุนตัววิ่งออกไปอีกฝั่งของศาลา เห็นได้ชัดว่านางต้องการไปอีกฝั่ง ไม่อยากพบซูเจ๋อ

 

“เอ๊ะ หากรู้แต่แรกว่านางเป็นคนอ่อนไหวขนาดนี้ ข้ามิน่าพูดเรื่องพวกนั้นออกไปเลย......”

 

หวงเยว่อิงส่ายหัวไล่ความคิดของตน แล้วอุทานเบาๆ นางหันมาโบกมือให้หวงเหว่ยเฉิงแล้วพูดว่า  “เหล่าหวง เจ้าไปพาคุณชายซูเข้ามาเถิด”

 

หวงเหว่ยเฉิงหมุนตัวกลับออกไป หวงเยว่อิงเรียกสาวใช้มาเก็บอุปกรณ์เย็บปักถักร้อย เตรียมน้ำชาและผลไม้เพื่อต้อนรับแขก

 

แต่นางกลับไม่รู้เลยว่า ไช่ซูผู้ที่เดิมทีจะจากไปนั้น กลับวกกลับมาแอบฟังที่ริมหน้าต่างอย่างเงียบๆ

 

หลังผ่านไปครู่หนึ่ง ก็มีเงาร่างที่สง่างามสะท้อนเข้ามาที่ม่านตา ซูเจ๋อเดินเข้ามาในศาลาด้วยท่าทีสงบนิ่ง

 

ในอดีตไม่ว่าไช่ซูจะเห็นซูเจ๋อหรือเพียงได้ยินชื่อของเขา ในตัวนางมักจะมีความรู้สึกถือตัวเกิดขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก เป็นความรู้สึกเหยียดหยามรูปแบบหนึ่ง

 

มาวันนี้ไม่รู้เพราะเหตุใด เมื่อตอนที่นางได้เห็นใบหน้าซูบผอมนั้น ในใจกลับมีความรู้สึกแปลกไปจากเดิมผ่านเข้ามาอย่างรวดเร็ว

 

ความรู้สึกนั้น ไม่อาจพูดและเข้าใจได้ แม้แต่ตัวนางเองก็ไม่รู้ว่าคืออะไร

 

ในใจของนางเกิดความรู้สึกละอายใจที่มาแอบฟัง แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดถึงได้จับพลัดจับผลูมาเงี่ยหูฟังอย่างอยากรู้อยากได้ยินสิ่งที่เกิดขึ้นแบบนี้

 

ในศาลา

 

ซูเจ๋อยกมือขึ้นคารวะด้วยท่าทีสุภาพ แล้วกล่าวว่า  “มิทราบว่าบิดาของท่านอยู่ที่จวนหรือไม่ ข้าอยากจะเข้าพบท่านหวงเซียนเซิง สักหน่อย”

 

“คุณชายซูลำบากแล้ว ท่านพ่อไปเยี่ยมสุ่ยจิ้งเซียนเซิงเมื่อสองสามวันนี้เอง ตอนนี้ยังไม่กลับ” หวงเยว่อิงยิ้ม

 

“อย่างนี้นี่เอง ดูท่าว่าข้าจะไม่มีวาสนากับท่านหวงเซียนเซิง คงทำได้เพียงขอคำแนะนำในครั้งหน้าเท่านั้นแล้ว” ซูเจ๋ออุทานเบาๆ แสดงออกถึงความเสียดายเล็กน้อย  

 

ขณะที่พูด สาวใช้ก็ได้นำสุราขึ้นตั้งโต๊ะ

 

หวงเยว่อิงยกแก้วขึ้นมาคารวะ  “คุณชายซูใช้ความอ่อนแอเอาชนะความแข็งแกร่ง ทำลายกองทัพโจรกบฏโพกผ้าเหลือง ชื่อเสียงเรียงนามลือไปทั่วจิงโจว เยว่อิงขอดื่มแสดงความยินดีกับคุณชายซู”

 

“แม้แต่คุณหนูหวงก็ได้ข่าวหรือ?” ซูเจ๋อยกแก้วขึ้นมา แต่กลับมิได้ดื่ม

 

“มิใช่แค่ข้าเท่านั้นที่ได้ข่าว” หวงเยว่อิงเผยสีหน้าเลื่อมใสออกมาอย่างเห็นได้ชัด “นายอำเภอปกครองปี่หยางทั้งสองคนก่อนหน้านี้ล้วนตายจากน้ำมือของโจรกบฏโพกผ้าเหลือง คุณชายซูรับตำแหน่งไม่ถึงครึ่งเดือนก็สามารถปราบพวกกบฏได้ ผลงานที่น่าอัศจรรย์เช่นนี้ แพร่ไปทั่วจิงเซียงตั้งนานแล้ว คุณชายซูได้กลายเป็นผู้ที่พูดถึงในกลุ่มปัญญาชนของเมืองปี่หยางไปแล้ว”

 

ซูเจ๋อทำเสียงจุ๊ปากว่า  “คิดไม่ถึงเลย ว่าข้าจะเลื่องชื่อถึงเพียงนี้”

 

หวงเยว่อิงถอนใจแล้วพูดว่า  “ข้าต้องยอมรับว่าข้ามีความกังวลใจต่อท่านมากเกินไป ท่านในวันนี้ต่างจากท่านผู้ที่นอนป่วยไม่ได้สติเมื่อก่อนมาก”

 

“แล้วข้าที่นอนป่วยอยู่ก่อนหน้านี้เป็นเช่นไรหรือ ส่วนข้าในตอนนี้เป็นเช่นไร?” ซูเจ๋อถามด้วยความสนใจ

 

“ท่านในตอนนั้น แม้ว่าจะมีพรสวรรค์เต็มเปี่ยม แต่การตัดสินใจกลับมิได้เด็ดขาดเหมือนดั่งเช่นวันนี้” หวงเยว่อิงหยุดไปเล็กน้อย แล้วพูดต่อไปว่า  “ส่วนท่านในวันนี้ ไม่เพียงตัดสินใจได้เด็ดขาดมากขึ้น ทั้งยังเด็ดขาดขึ้นมากด้วยเช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อเทียบกับความดื้อรั้นและหัวแข็งก่อนหน้าแล้ว ตอนนี้ท่านสุขุมขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก”

 

ขณะที่หวงเยว่อิงพูดอยู่นั้น สีหน้าของนางฉายแววความรู้สึกที่ผิดแปลกออกไป

 

ซูเจ๋อคิดถึงสัญญาก่อนหน้านี้ขึ้นมา จึงพูดว่า   “ดูท่าว่าคุณหนูหวงจะเข้าใจข้าเสมอมา เช่นนั้นตอนนี้ ท่านสามารถบอกข้าได้ไหมว่าพวกเราเคยมีสัญญาอันใดกันที่ป่าไผ่ของสำนักลู่เหมิน?”

 

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา ใบหน้าของหวงเยว่อิงก็เกิดอาการวิงเวียนเล็กน้อยเพราะความดันเลือดที่เพิ่มขึ้น ใบหน้าของนางฉายสีแดงเรื่อ และภายใต้แสงตะวันยามบ่ายคล้อยผสมกันเช่นนี้ แสงตะวันช่วยขับใบหน้าของนางให้ชวนหลงใหลยิ่งขึ้น

 

“ข้าขอไม่พูดได้หรือไม่” น้ำเสียงของหวงเยว่อิงแอบซ่อนความเขินอายเอาไว้

 

“ไม่ได้แน่นอน” ซูเจ๋อส่ายหัว “ตอนนั้นคุณหนูเคยเดิมพันกับข้าไว้ ตอนนี้ข้าสามารถปราบปรามโจรกบฏโพกผ้าเหลืองที่ปี่หยางได้แล้ว คุณหนูหวงจะคืนคำได้อย่างไร”

 

หวงเยว่อิงพูดไม่ออกในทันที

 

นางบีบเสื้อคลุมเบาๆ แววตาของนางเลิ่กลั่กเล็กน้อย หลังจากลังเลอยู่ครู่ใหญ่ จึงกัดฟันกล่าวด้วยความขวยเขินว่า  “ก็ได้ เช่นนั้นข้าจะบอกท่าน วันนั้นที่ป่าไผ่ ท่านได้บอกคำหนึ่งกับข้า.....”

 

รีวิวผู้อ่าน