ตอนที่ 25 ข้าไม่ผิดสัญญาแน่นอน
“ขอให้ข้ากุมมือของท่าน แล้วเคียงข้างกันจนแก่เฒ่า!”
ตอนที่ประโยคนี้ถูกกล่าวออกมา หวงเยว่อิงรู้สึกตื่นเต้นไม่น้อย ราวกับว่าความรู้สึกเขินอายก่อนหน้านี้ได้มลายหายไปหมดแล้ว ตรงกันข้ามกลับหันมาสบตาซูเจ๋อ นัยน์ตาทอประกายแห่งความปรารถนา
“เป็นดั่งที่คาดการณ์เอาไว้ คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าของร่างนี้จะทิ้งหนี้สินรักซ้อนไว้ให้แก่ข้าด้วย......”
ซูเจ๋อถอนหายใจให้กับตัวเองเบาๆ เขาทำทีเป็นแตะหน้าผากตัวเอง แล้วหัวเราะอย่างเก้อเขินเหมือนนึกเรื่องนี้ออก “ดูเหมือนว่าข้าจะนึกออกแล้ว เหมือนว่าข้าจะพูดแบบนั้นกับท่านจริงๆ”
“จากนั้นล่ะ?” หวงเยว่อิงโน้มตัวมาหาเขาคล้ายกับจะออดอ้อนก็ไม่ใช่ จะเง้างอนก็ไม่เชิง
“จากนั้นหรือ? จากนั้นอะไร?” ซูเจ๋อแสร้งทำเป็นเลอะเลือน
ทันใดนั้นสีหน้าของหวงเยว่อิงก็เปลี่ยนเป็นผิดหวังขึ้นมา นางขมวดคิ้วพร้อมกับกล่าวเชิงตำหนิว่า “ท่านไม่รู้หรือว่าประโยคนั้นหมายความว่าอย่างไร? ตอนนี้ท่านก็คิดออกแล้ว แล้วไม่คิดจะอธิบายอะไรแก่ข้าสักหน่อยหรือ?”
ซูเจ๋อฝืนยิ้มแล้วตอบว่า “ตอนที่ข้ามาปี่หยาง ได้ยินว่าคุณชายใหญ่ของใต้เท้าโจวมู่ตัดสินใจจะหมั้นหมายกับตระกูลหวง เพื่อสู่ของคุณหนูหวงเป็นฮูหยิน เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว การที่คุณหนูหวงถามข้าเช่นนี้ มันยังมีความหมายอะไรอื่นอีกหรือ?”
“ข้าปฏิเสธการแต่งงานไปแล้ว!” หวงเยว่อิงตอบอย่างเรียบง่าย
ปฏิเสธ?
ซูเจ๋อตกใจ แววตาเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน ราวกับคาดไม่ถึงต่อเรื่องนี้
เขาตกตะลึงไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงพูดว่า “เขาผู้นั้นเป็นถึงคุณชายใหญ่ตระกูลเล่า เป็นถึงว่าที่ใต้เท้าโจวมู่ในอนาคต เรื่องสมรสที่ดีเช่นนี้ เหตุใดคุณหนูหวงจึงปฏิเสธเล่า?”
“คนที่ข้าไม่ได้ชอบ ต่อให้เป็นฮ่องเต้ข้าก็จะปฏิเสธ!”
ซูเจ๋อตัวสั่นเล็กน้อย ร่างกายแต่เดิมที่วางท่าเฉยกลับอดนั่งตัวตรงขึ้นมาไม่ได้ ในใจของเขาเกิดความรู้สึกนับถือสตรีตรงหน้าขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
“คิดไม่ถึงเลย คุณหนูหวง.....”
“ซูเจ๋อ!”
หวงเยว่อิงตบโต๊ะแล้วยืนขึ้น ใบหน้าที่งดงามยังคงฉายแววโกรธเคือง โน้มเข้ามาใกล้ใบหน้าของเขาแทบจะแนบชิด นางพูดด้วยน้ำเสียงเด็ดขาดว่า “ข้าจะถามท่านอีกครั้ง นี่ท่านจะผิดสัญญาต่อข้าใช่หรือไม่?”
ซูเจ๋ออึ้งไป
เขาคิดไม่ถึงว่า หวงเยว่อิงผู้ที่ทั้งอ่อนโยนและเฉลียวฉลาดจะมีใบหน้าที่ “ดุร้ายและน่ากลัว” ได้ถึงเพียงนี้ นางถึงกับใช้สีหน้าเข้มงวดและถมึงทึงนี้มาขู่บังคับถามตน
ท่าทีของนางนั้นช่างเหมือนกับเป็นการยื่นคำขาดสุดท้ายให้เขาว่า หากเขาตอบไม่ถูกต้อง จะจับเขาฉีกเป็นชิ้นๆ แน่นอน
“เรื่องนี้......”
“อย่ามาพูดเรื่องนี้เรื่องนั้น ตอบข้ามา!”
ใบหน้าของหวงเยว่อิงโน้มเข้ามาใกล้มากขึ้น อีกนิดเดียวจมูกของทั้งสองเกือบจะแตะโดนกันแล้ว
ซูเจ๋อสูดกลิ่นลมหายใจที่เหมือนดอกกล้วยไม้ของนาง แล้วมองไปที่ใบหน้าที่ยกตนข่มท่านของนาง ฉับพลันในใจของเขาก็เกิดอาการเต้นแรง มีความรู้สึกกล้าได้กล้าเสียลุกโชนขึ้นมา
ยามนี้ จู่ๆ เขาก็คิดขึ้นมาว่า หวงเยว่อิงเป็นบุตรสาวคนเดียวของตระกูล นางยอมทิ้งการแต่งงานเข้าตระกูลสูงศักดิ์เพื่อเขา กล้ารัก กล้าชัง ตนเป็นถึงชายอกสามศอกแท้ๆ จะมากลัวหัวหดได้อย่างไรกัน
จากนั้นซูเจ๋อก็สูดหายใจลึก แล้วพูดขึ้นว่า “ซูเจ๋อผู้นี้ รักษาคำพูด ไม่ผิดสัญญาต่อท่านแน่นอน”
คำพูดที่เขากล่าวออกมาว่า “ไม่ผิดสัญญา” ราวกับเป็นแสงแดดอบอุ่นที่สาดส่องมายามวสันตฤดู มันทำให้หวงเยว่อิงแทบจะละลายในทันที แววตาที่เคยแข็งกร้าวเปลี่ยนเป็นแววตาที่อ่อนโยนอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
ริมฝีปากแดงเม้มเบาๆ ยามนี้นางยิ้มออกมาอย่างปลื้มใจ
ซูเจ๋อถอนหายใจด้วยความโล่งอก สายตาของเขาชำเลืองมองไปยังด้านล่างหน้าอกโดยไม่รู้ตัว และยามที่ตนเห็นทิวทัศน์อันงดงามที่แนบชิดตัวนี้ ใจของเขาก็พลันสั่นเทา เลือดสูบฉีดจนทั่วทั้งตัวร้อนผ่าวอย่างไม่ทราบสาเหตุ พร้อมกับเสียงหึ่งๆ เต็มหัว
หวงเยว่อิงดีใจจนลืมสำรวมอาการ นางโน้มตัวไปข้างหน้าจนตัวติดกับซูเจ๋อ เสื้อผ่าหน้าเปิดออกกว้างเผยให้เห็นเนินอกโค้งมนและเรียบเนียน ทุกอย่างถูกเก็บไว้ในดวงตาของซูเจ๋อเป็นอย่างดี
ในฐานะบุรุษคนหนึ่ง การที่สายตาเหลือบมาเห็นทัศนียภาพเช่นนี้ จะห้ามใจไม่ให้หวั่นไหวได้อย่างไร?
หวงเยว่อิงเห็นว่าจู่ๆ เขาก็ชะงักงัน นางจึงเกิดความประหลาดใจและสงสัยขึ้นมา จากนั้นนางจึงก้มหน้ามองตามสายตาของเขาไป ทันใดนั้น ก็เห็นว่าตัวเองอยู่ในท่าทางที่ไม่สำรวม
ใบหน้าของนางแดงก่ำขึ้นมาทันที นางรีบร้อนโน้มตัวกลับแล้วนั่งลงที่เดิม จากนั้นได้ดึงเสื้อของตนเอาไว้แน่น พลางมองค้อนไปที่ซูเจ๋ออย่างไม่สบอารมณ์ “ดูท่าว่าไม่เพียงแต่ความกล้าที่มีมากขึ้น จิตใจยังแย่ขึ้นอีกด้วย!”
“เหอะๆ บุรุษไม่เลว มีหรือสตรีจะรัก” ซูเจ๋อกลอกตาไปมาอย่างทำตัวไม่ถูก เขาไอแห้งพร้อมกับบ่นพึมพำ
หวงเยว่อิงชะงักแล้วมองไปทางเขาด้วยสีหน้างุนงง เห็นชัดว่านางไม่เข้าใจคำพูดของเขา
ซูเจ๋อดื่มสุราไปหนึ่งจอกแก้เขิน เขาหัวเราะแล้วถามว่า “ข้าจำไม่ค่อยได้สักเท่าไหร่ ว่าท่านกับข้ามีสัญญาแก่เฒ่าด้วยกัน เช่นนั้นระหว่างเรา มี.....มีเรื่องนั้นหรือไม่?”
“เรื่องไหน?” หวงเยว่อิงสับสนมากขึ้น
“ก็เรื่องนั้นอย่างไรเล่า ท่านก็รู้อยู่” ซูเจ๋อยักคิ้วให้นาง แต่ไม่ได้พูดออกไปตามตรง
หวงเยว่อิงเม้มปาก พูดอย่างไม่พอใจว่า “ข้าไม่เข้าใจ ท่านต้องการบอกอันใดกันแน่ เรื่องนั้นเรื่องนี้อะไรกัน”
ใบ้ถึงขั้นนี้แล้ว แต่นางก็ยังไม่เข้าใจ ควรจะบอกว่านางฉลาดหรือยังคงโง่เหมือนเดิมดี......
ซูเจ๋อจนปัญญา เขากระแอมแล้วกล่าวเปิดประเด็นคำถามอย่างตรงไปตรงมาว่า “ความหมายของข้าก็คือ ระหว่างเรา เคยมีเรื่องร่วมหลับนอนกัน สัมผัส หรือจูบกันหรือไม่?”
ทันใดนั้นหวงเยว่อิงก็สำนึกตัวได้ นางอายจนแก้มแดงถึงหู มองค้อนไปที่ซูเจ๋ออย่างดุดัน พร้อมกับกล่าวตำหนิว่า “ในหัวท่านกำลังคิดเรื่องลามกอันใด ข้าหวงเยว่อิงเป็นกุลธิดา คำว่าละอายสองคำนี้ย่อมรู้ดี ท่านกับข้ายังไม่ได้แต่งกัน จะทำเรื่องแบบนั้นกับท่านได้อย่างไร.......ทำ......”
“ทำ” คำด้านหลังนั้น หวงเยว่อิงละอายใจเกินกว่าจะพูด ทำได้เพียงสะบัดแขนเสื้อไปมา เบือนหน้าหนีไม่อยากมองซูเจ๋ออีก
ซูเจ๋อแอบถอนหายใจเบาๆ เขาหัวเราะแล้วพูดว่า “ข้าก็เพียงแต่พูดไปเรื่อยเปื่อยเท่านั้น เวลาล่วงเลยไปมากแล้ว ข้ายังต้องเดินทางไปเยือนฉางอัน ต้องขอลาแล้ว”
พูดจบ เขาลุกขึ้นบอกลา เพื่อลีกเลี่ยงความกระอักกระอ่วนใจ แล้วก้าวยาวๆ ออกไป
หวงเยว่อิงลังเลเล็กน้อย แต่ยังคงเดินตามออกไป นางตะโกนอยู่ตรงข้างประตูว่า “จื่อหมิง ความชอบมาพากลของฉางอัน ตั๋งโต๊ะเป็นหัวหน้าอันธพาล ท่านไปครั้งนี้ ต้องระวังตัวให้มาก”
“วางใจเถอะ ข้าจะดูแลตัวเองอย่างดี ไม่อย่างนั้นแล้วข้าจะมาทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับท่านได้อย่างไร ข้าไม่อยากเป็นคนไร้สัจจะ”
ซูเจ๋อหันกลับมาโบกมืออย่างเบาใจแต่ก็มั่นใจ ทิ้งรอยยิ้มไว้แล้ววางมาดเดินออกไป
หวงเยว่อิงมือประคองขอบประตู ยืนอยู่ที่ตรงนั้น มองส่งซูเจ๋อเดินทางไกลอยู่เบื้องหน้า นัยน์ตาอาลัยไม่น้อย
ด้านในศาลา ไช่ซูเห็นทุกอย่างอย่างชัดเจน เมื่อมองดูท่าทางอาลัยอาวรณ์และชื่นชมนั้นแล้ว ไม่รู้เพราะเหตุใด ภายในใจจึงเกิดไฟอิจฉาริษยาขึ้นมา
“ฮึ พี่หญิงกล้าดีอย่างไร ไม่อยากได้อะไรก็ไม่ได้อย่างนั้น อยากได้อะไรก็ได้อย่างนั้นอีก กล้าดีอย่างไรกัน”
ไช่ซูส่งเสียงไม่พอใจ จิตใจอยู่ไม่สุข ก่อนจะจากไปเงียบๆ
……
หลังจากกล่าวลาหวงเยว่อิงแล้ว ซูเจ๋อก็ออกจากจวนตระกูลหวง เขาถอนหายใจยาวแล้วกระโดดขึ้นม้า
ซูเซี๋ยวเสี่ยวที่ตามมาข้างหลังถามอย่างประหลาดใจว่า “คุณชาย คุณหนูหวงพูดอะไรกับท่านหรือ รีบเล่าให้ข้าฟังเร็ว”
“มิได้พูดอะไร เพียงแค่สนทนาเรื่อยเปื่อยเท่านั้น” ซูเจ๋อไม่อยากสนทนาเรื่องส่วนตัวมากนัก
แต่ซูเซี๋ยวเสี่ยวไม่เชื่อ นางหัวเราะคิกคักว่า “เป็นไปไม่ได้หรอก คงไม่ใช่ว่าคุณหนูหวงผู้นั้นมอบดวงใจให้ท่านสินะ ไม่อย่างนั้นท่านคงไม่หน้าแดงเช่นนี้”
“เหตุใดเจ้าถึงได้ปากั้ว1ขนาดนั้น!” ซูเจ๋อมองนางด้วยความไม่สบอารมณ์
“ปากั้ว2? สิ่งนั้นมิใช่ของของลัทธิเต๋าหรอกหรือ ทำไมข้าถึงไปเกี่ยวกับปากั้ว คุณชายพูดอะไรประหลาดอีกแล้ว......”
ซูเซี๋ยวเสี่ยวมึนงง บ่นพึมพำในปากไม่หยุด
ซูเจ๋อใช้โอกาสนี้ควบม้ามุ่งหน้าไปตามทางที่ทอดยาวไปไกลแสนไกล ซูเซี๋ยวเสี่ยวและจิวฉองจำต้องคุมขบวนรถม้าตามหลังเขาไปเช่นกัน
ก่อนพระอาทิตย์ตก ซูเจ๋อก็ได้ผ่านศาลาหวางเจียงอีกครั้ง เมื่อเทียบกับงานรับสมัครก่อนหน้านี้ ศาลาหวางเจียงตรงหน้ากลับว่างเปล่า ดูแล้วเหมือนจะมีหญิงสาวอยู่ด้านในนั้นคนหนึ่ง แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด นักเดินทางพ่อค้าคนอื่นที่เดินทางผ่าน จึงไม่ได้หยุดเข้ามาพักเหนื่อยเลย ตรงกันข้ามกลับหยุดอยู่ที่ด้านนอกศาลาแทน
ตอนที่ก้าวเท้าเข้าไป ซูเจ๋อจึงได้เห็นว่า หญิงสาวในศาลานั้นสวมเสื้อผ้างดงาม คาดว่ามาจากตระกูลชั้นสูงที่ร่ำรวย ทั้งสี่ด้านรอบศาลาล้อมไปด้วยข้ารับใช้ที่ดูดุดันโหดเหี้ยม คาดว่าผู้สัญจรไปมาเหล่านั้นต่างก็ถูกหญิงสาวผู้นั้นไล่ออกมา เพื่อนางจะได้เพลิดเพลินในศาลาแต่เพียงผู้เดียว
“เป็นคุณหนูอันธพาลจากตระกูลไหนก็ไม่รู้ มายึดศาลาไว้แต่เพียงผู้เดียว” ซูเซี๋ยวเสี่ยวกระซิบอย่างไม่พอใจ
ซูเจ๋อเพียงยิ้ม ไม่สนใจเรื่องของคนอื่น อย่างไรก็ตามเขาต้องรีบข้ามแม่น้ำก่อนฟ้ามืด โดยไม่คิดจะหยุดพัก
ขบวนรถม้าผ่านหน้าศาลาไป ซูเจ๋อเดินเล่นเรื่อยเปื่อย ในปากเคี้ยวถั่วปากอ้า แสร้งทำเป็นไม่เห็นหญิงสาวที่อยู่ในศาลา เขาไม่แม้แต่จะชายตามองนางเสียด้วยซ้ำ
แต่แล้วหญิงสาวผู้นั้นที่เขาทำเป็นไม่เห็นกลับแสดงท่าทีโกรธขึ้นมาแล้วพุ่งตัวออกมาหาเขา พร้อมตะโกนว่า “ซูเจ๋อ หยุดเดี๋ยวนี้นะ”
1 ปากั้ว แปลว่าพวกชอบซุบซิบนินทา
2 ปากั้ว ในลัทธิเต๋าคือ ยันต์แปดทิศ มักใช้ร่วมกับสัญลักษณ์หยินหยาง