ตอนที่ 26 สยบใต้ชายกระโปรง
ซูเจ๋อหยุดม้า แล้วหันหน้ามองมายังนาง พร้อมถามด้วยใบหน้างุนงงว่า “ท่านเรียกข้าหรือ?”
“ไม่เรียกเจ้า แล้วจะเรียกใคร ที่นี่ยังมีใครชื่อซูเจ๋ออีกหรือ” หญิงสาวเชิดจมูกขึ้น มีท่าทีที่หยิ่งผยองอยู่ไม่น้อย
“ดูเหมือนจะไม่มี” ซูเจ๋อกวาดสายตามองซ้ายขวา แล้วถามด้วยน้ำเสียงนิ่งเฉยว่า “คุณหนู ท่านมีชื่อแซ่ว่าอะไร ข้ารู้จักท่านหรือไม่?”
“ข้าคือไช่ซู”
ไช่ซูใช้น้ำเสียงที่ภาคถูมิใจ และสีหน้าท่าทางที่ดูถือดีเกินไปนั้น เอ่ยชื่อของตนออกไป ราวกับว่าเมื่อซูเจ๋อได้ยินชื่อของตนแล้ว จะมีท่าทางประหลาดใจและกึกก้องอยู่ในหูอย่างไม่คิดไม่ฝัน
แต่ซูเจ๋อกลับยังคงมีสีหน้างุนงง เขาส่ายหน้าแล้วเอ่ยว่า “ไม่เคยได้ยิน ไม่รู้จัก”
ท่าทางนิ่งเฉยของเขานั้นเปรียบเหมือนเข็มปักเข้าที่หัวใจของไช่ซูในทันที ใบหน้าสวยที่ดูภูมิใจนั้นพลันถมึงทึงขึ้นมา
“คุณชาย นางคือคุณหนูไช่ซู บุตรสาวของตระกูลไช่ หลานสาวคนโปรดของท่านเจ้าเมืองไช่ นางและคุณหนูหวงถือว่าเป็นหยกคู่แห่งจิงเซียง” ซูเซี๋ยวเสี่ยวกระซิบเตือนเบาๆ อยู่ด้านข้าง
หยกคู่แห่งจิงเซียง? ยังมีคำเรียกเช่นนี้อยู่ด้วยหรือ?
ซูเจ๋อลูบหน้าผาก ค้นหาความทรงจำที่แตกสลายไปของเจ้าของร่างเดิม ดูเหมือนว่าจะมีความทรงจำต่อไช่ซูผู้นี้อยู่เลือนราง
ทันใดนั้น เขาก็นึกขึ้นมาได้
เขาคิดได้ว่าตอนแรกที่สำนักลู่เหมินนั้น ไช่ซูผู้นี้ก็ได้เล่าเรียนอยู่ที่นั่นเช่นกัน แต่นางไม่เหมือนกับหวงเยว่อิง แต่ไหนแต่ไรนางไม่เคยใยดีต่อเขาผู้เป็นลูกหลานจากตระกูลที่ยากจน ตลอดทั้งวันเอาแต่คลุกคลีอยู่กับหวงเซ่อและบรรดาลูกหลานจากตระกูลใหญ่โต หัวเราะเยาะเย้ยและเหยียดหยามตนอยู่ไม่น้อย
หลังจากคิดได้ ซูเจ๋อจึงพูดว่า “ที่แท้ก็คือคุณหนูไช่ซูนี่เอง ไม่เจอหลายปี คุณหนูไช่ซูงดงามขึ้นมาก ไม่แปลกใจเลยที่ข้านั้นจดจำท่านมิได้ ”
เหมือนกับว่าก่อนที่จะทะลุมิติเวลามา ไม่ว่าจะเจอผู้หญิงคนไหน เขาก็บอกว่า “งดงาม” ซูเจ๋อเพียงแค่ชมไช่ซูว่าสวยตามความเคยชิน แต่ไช่ซูกลับฟังแล้วคิดเป็นจริงเป็นจัง สีหน้าของนางเปลี่ยนเป็นสดใสทันที นางเม้มปากเรียวเล็ก พร้อมกับยิ้มเบาๆ
“เจ้าเข้ามาสิ ข้ามีเรื่องจะคุยกับเจ้า” ไช่ซูอารมณ์เปลี่ยนจากโกรธเป็นยิ้มแย้ม น้ำเสียงนุ่มนวลขึ้นมามาก ไม่มีความก้าวร้าวใดๆ ปรากฏขึ้น
นี่มันเรื่องอะไรกัน เหตุใดวันนี้พวกผู้หญิงถึงได้พูดกับเขามากขนาดนี้?
ซูเจ๋อลังเล แต่ซูเซี๋ยวเสี่ยวกลับสะกิดแขนเขา หัวเราะแล้วพูดว่า “คุณชาย วันนี้ท่านมีโชคเรื่องความรักแล้ว ไม่แน่ว่าคุณหนูไช่ซูผู้นี้ก็ต้องการจะมอบหัวใจให้ท่านเช่นกัน ยังจะมัวรีรออะไรอีก รีบรับไว้สิ”
โชคเรื่องความรักอะไรกัน!
ไช่ซูตรงหน้าผู้นี้ เป็นถึงคุณหนูใหญ่ของตระกูลไช่ เกิดในตระกูลมีชื่อเสียง เป็นถึงผู้หญิงที่จะมาเป็นลูกสะใภ้ของเล่าเปียว เหตุใดจึงจะมามอบหัวใจให้แก่ตนได้
ถึงอย่างไร ก็ไม่ใช่ว่าบุตรสาวจากตระกูลมั่งมีทุกคนจะสามารถมองตนแตกต่างออกไปเหมือนกับหวงเยว่อิง
“โปรดอภัยด้วย ข้ายังมีงานราชการ ไม่สะดวกที่จะพูดคุยเรื่อยเปื่อยกับคุณหนูได้ ข้าขอลา” ซูเจ๋อยกมือคารวะเล็กน้อย แล้วควบม้าออกไป
“คิดไม่ถึงว่าเขากล้าจะเมินเฉยต่อข้า!”
ไช่ซูโกรธจนหน้าแดงถึงหู ความโกรธจากการถูกทำให้อับอายที่ไม่เคยพบเจอมาก่อนปะทุออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจ
นางเป็นถึงคุณหนูใหญ่ของตระกูลไช่ผู้สง่าผ่าเผย หนึ่งในหยกคู่แห่งจิงเซียง ด้วยความงาม ด้วยชาติตระกูล ขอเพียงได้อยู่ในสายตานาง ชายหนุ่มผู้ฉลาดปราดเปรื่องทั่วทั้งเมืองจิงโจวไม่รู้เท่าไหร่ ถึงกับยอมก้มหัวสยบใต้ชายกระโปรงของนางทุกคน
ตอนนี้นางเป็นฝ่ายเริ่มสนทนากับชายหนุ่มผู้หนึ่งด้วยตัวเอง สำหรับชายหนุ่มผู้นั้นแล้วเขาถือเป็นบุคคลที่โปรดปรานมาก ชายหนุ่มผู้นั้นจะต้องตื่นเต้นจนทำอะไรไม่ถูกสิ
แต่ใครจะคิด ชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้า กลับไม่สะทกสะท้านต่อตน ไม่ยอมสนทนากับนางเพียงลำพัง
เขาช่างมองข้ามความหวังดีของผู้อื่นเกินไปจริงๆ
ไช่ซูที่อับอาย โกรธจนสุดขีด ภายใต้ความโกรธ นางชี้นิ้วไปทางซูเจ๋อตะโกนว่า “จับตัวเจ้าหนุ่มแซ่ซูผู้นี้มาให้ข้า”
คุณหนูใหญ่ออกคำสั่ง มีหรือที่เหล่าคนรับใช้จะไม่ทำตาม ฝูงคนจำนวนมากวิ่งออกจากศาลาเพื่อจับตัวซูเจ๋อมัดกลับมา
ซูเจ๋อยังไม่ทันได้ตอบโต้ สีหน้าจิวฉองก็เคร่งขรึมขึ้นมา ดึงดาบออกจากฝัก แล้วตะโกนว่า “ข้าจะคอยดูว่าใครกันที่กล้าแตะต้องนายข้า!”
ชวิ้ง ชวิ้ง ชวิ้ง!
ชวิ้ง ชวิ้ง ชวิ้ง!
ทหารสามสิบกว่านาย ทยอยกันชักดาบออกจากฝัก แต่ละคนมีแววตาที่ดุร้ายแฝงเจตนาฆ่าออกมาอย่างชัดเจน
ทหารเหล่านี้ล้วนเป็นทหารผ่านศึกที่เคยผ่านสงครามนองเลือดมาอย่างโชกโชน ความโกรธที่แสดงความต้องการฆ่าออกมานั้น ทำเอาเหล่าบ่าวรับใช้ตระกูลไช่ตกใจจนเหงื่อตก ต่างคนต่างมองหน้ากัน ไม่มีใครกล้าก้าวเข้ามา
“คุณชาย ต้องการให้ข้าเข้าไปฆ่าตัดหัวนังสารเลวผู้นั้นถึงในศาลาหรือไม่? ” จิวฉองถามด้วยเสียงเคร่งขรึม สายตาที่ดุดันคู่นั้นมองจ้องไปที่ไช่ซู
พอได้ยิน ไช่ซูถึงกับตกใจ หน้าถอดสี รีบถอยหลังกลับไปหลบอยู่หลังเสาในศาลาทันที
แต่ซูเจ๋อกลับโบกมือ แล้วพูดเสียงเรียบว่า “คุณหนูไช่แค่เพียงล้อข้าเล่น ไม่จำเป็นต้องถึงขั้นเข่นฆ่าหรอก พวกเราไปกันเถอะ”
ถึงอย่างไรไช่ซูก็เป็นถึงคุณหนูตระกูลไช่ หากฆ่านาง ก็เท่ากับผิดต่อตระกูลไช่ ด้วยกำลังของซูเจ๋อในตอนนี้ ยังไม่ใช่เวลาที่จะมาผิดใจกันกับตระกูลไช่
ทั้งนี้ เขาเองก็รู้ว่าไช่ซูเล่นบทเป็นคุณหนูเจ้าอารมณ์ชั่วขณะ จะพบเจอในตระกูลทั่วไปได้อย่างไรกัน
จากนั้นซูเจ๋อก็เคี้ยวถั่วปากอ้าแล้วมุ่งหน้าต่อไป
จิวฉองจึงเก็บดาบเข้าฝัก จ้องไช่ซูด้วยสายตากล่าวเตือน แล้วตะโกนสั่งให้เหล่าทหารเก็บอาวุธ แล้วออกเดินทางต่อ
บ่าวรับใช้ของตระกูลไช่กลุ่มหนึ่ง ทำได้เพียงยืนมองดูพวกเขาจากไป ไม่มีใครกล้าส่งเสียงแม้แต่คนเดียว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องเข้าไปสู้รบ
ตอนที่ไช่ซูได้สติจากอาการตกใจ และออกมาจากหลังเสาของศาลานั้น ซูเจ๋อก็เดินทางไปไกลแล้ว
อำนาจคุกคามเมื่อครู่ออกไปไกลแล้ว ไช่ซูก็โกรธขึ้นมาฉับพลัน พุ่งตัวเข้ามาด่าบ่าวรับใช้ที่อยู่ด้านนอกว่า “เจ้าพวกไร้ประโยชน์ ข้าให้พวกเจ้าไปจับเขากลับมา ทำไมพวกเจ้าไม่ลงมือ! ตระกูลไช่ของข้า เลี้ยงพวกขี้ขลาดอย่างพวกเจ้าเสียข้าวสุกจริงๆ!”
เหล่าบ่าวรับใช้ไหนเลยจะกล้าส่งเสียง ทำได้เพียงก้มหน้าก้มตา ยอมให้คุณหนูใหญ่ด่าพวกเขาเสียจนหมดสภาพ
หลังจากด่ามาได้สักพัก ไช่ซูถึงได้ใจเย็นลง นางมองตามไปอีกครั้ง ซูเจ๋อได้หายลับไปในเส้นขอบฟ้าอันมืดมิดตั้งนานแล้ว
ไช่ซูขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน แล้วพูดด้วยความเกลียดชังว่า “ซูเจ๋อ เจ้าคนน่ารังเกียจ ข้าจะแย่งเจ้ามาจากหวงเยว่อิงให้ได้ ไม่ช้าก็เร็วข้าจะต้องทำให้เจ้ามาสยบใต้ชายกระโปรงข้าให้ได้ ทำดีต่อข้า รอข้าได้เลย!”
……
ก่อนฟ้ามืด ซูเจ๋อข้ามแม่น้ำฮั่นสุ่ยอย่างราบรื่น ตั้งค่ายที่ริมฝั่งทางเหนือของอ้วนเสีย (ปัจจุบันคือเขตฝานเฉิง เมืองเซียงหยาง มณฑลหูเป่ย์) รวมกลุ่มกับซูเฟย
หลังจากที่ได้อธิบายเรื่องราวต่างๆ ระหว่างที่ตัวเองไม่อยู่ไปแล้ว เช้าวันต่อมา ซูเจ๋อก็ได้พาซูเซี๋ยวเสี่ยวสาวใช้ ภายใต้การคุ้มกันของจิวฉองและทหารชั้นยอดอีกร้อยนาย พร้อมด้วยเครื่องบรรณาการของราชสำนัก มุ่งหน้าขึ้นเหนือสู่ฉางอันต่อไป
ตลอดเส้นทางไร้ซึ่งคำพูดใดๆ หลายวันต่อมา ซูเจ๋อและคณะก็เดินทางมาถึงด่านอู่กวน
ด่านอู่กวนกับด่านหานกู่กวน ด่านเซียวกวนกับด่านต้าซ่าน ถูกขนานนามว่าเป็น “สี่ด่านชายแดนกวนจง” เป็นเส้นทางที่ต้องผ่านจากเมืองหนานหยางเข้าสู่กวนจงมาแต่โบร่ำโบราณ
เป็นถึงด่านยุทธศาสตร์กวนจงที่ใช้สัญจร เป็นธรรมดาที่ตั๋งโต๊ะย่อมต้องมีทหารที่แข็งแกร่งคอยคุ้มกัน ใช้ทหารแนวร่วมมาป้องกันฉางอันจากการรุกรานของด่านอู่กวน
ซูเจ๋อมาถึงด่านอู่กวน แล้วหยิบหนังสือผ่านด่านออกมายืนยันตัวตนว่าเป็นทูตจากจิงโจว หลังจากผ่านการตรวจสอบอย่างเข้มงวดจากทหารองครักษ์แล้ว ถึงจะได้การปล่อยตัว และคาดว่าจะได้ผ่านด่าน
คณะเดินทางผ่านด่านอู่กวน เดินทางไปตามทางของภูเขามุ่งไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ผ่านมณฑลซาง และมณฑลซ่างลั่วเสี้ยน ใช้เวลาเจ็ดวันในการเดินทาง ในที่สุดก็ออกจากเส้นทางของด่านอู่กวน เข้าสู่เขตที่ราบกวนจง
ในยามเย็นของอีกวัน ซูเจ๋อและคณะก็เดินทางมาถึงบริเวณใกล้ๆกับมณฑลตู้หลิง ซึ่งตอนนี้ได้กลายเป็นเขตชานเมืองของฉางอันแล้ว ห่างจากฉางอันมิถึงเจ็ดสิบลี้
ขณะที่กำลังเดินทางไปตามถนนหลักมุ่งขึ้นเหนือ ทันใดนั้นก็เห็นมีฝุ่นคลุ้งตลบอบอวนขึ้นที่ทางทิศเหนือ ทหารกลุ่มหนึ่งกำลังควบม้าเข้ามา
ซุเจ๋อขมวดคิ้วด้วยความสงสัย แล้วตะโกนว่า “เร็วเข้า รีบกางธงคณะทูตออกมา”
กวนจงเป็นอาณาเขตของกองทัพซีเหลียง ทหารม้าที่อยู่ตรงหน้า จะต้องเป็นทหารม้าชั้นยอดของทหารม้าของซีเหลียงอย่างไม่ต้องสงสัย ซูเจ๋อยังเคยได้ยินมาว่าหลังจากที่ตั๋งโต๊ะล่าถอยกลับมาฉางอัน ได้ปล่อยปะละเลยให้ลูกน้องปล้นสะดมไปทุกที่ตามอำเภอใจ ทหารม้าที่ปรากฏตัวขึ้นที่เบื้องหน้า ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าเป็นทหารม้าที่ออกมาปล้นสะดม ดังนั้นเขาจึงรีบกางธงการทูตแสดงตัวตน เพื่อหลีกเลี่ยงการถูก “ทำร้ายโดยเกิดจากความประมาท”
ไม่นาน ทหารม้าชั้นยอดก็ควบเข้ามาใกล้ นำโดยแม่ทัพหญิงในชุดเครื่องแบบทหาร ควบม้านำหน้า ยิงธนูใส่กวางตัวหนึ่งไม่หยุด แต่กลับล้มเหลวไม่เป็นท่า
“ที่แท้เป็นการออกมาล่าสัตว์หรอกหรือ”
ซูเจ๋อถอนหายใจ จึงออกคำสั่งให้ขบวนรถหยุดลงชั่วครู่ แล้วเปิดทางให้ ไม่อยากขวางทางของอีกฝ่าย
หลังจากนั้น กวางซีกาที่ตื่นตระหนกตัวนั้นก็วิ่งหลบเข้าไปในป่าข้างทาง หญิงสาวในเครื่องแบบทหารไม่ยอมแพ้ เร่งม้าควบตามเข้าป่าไป
“ฆ่าขุนนางชั่วตระกูลต๋ง ”
ในตอนนี้เอง ในป่าก็มีเสียงตะโกนเกรี้ยวกราดดังขึ้นมา เกือบจะเป็นเวลาเดียวกัน ลูกธนูคมกริบก็ยิงออกมาราวกับฝูงตั๊กแตน พุ่งเข้าใส่หญิงสาวในเครื่องแบบและกลุ่มทหารม้าที่ติดตามอยู่ด้านหลังของนาง
ในป่านั้น มีทหารดักซุ่มโจมตีอยู่!