px

เรื่อง : ข้ามีดาวเที่ยมในยุคสามก๊ก (นิยายแปล) ปลดล๊อคตอนฟรี 3 วัน 1 ตอน
ตอนที่ 28 ผู้อยู่เบื้องหลัง


ตอนที่ 28 ผู้อยู่เบื้องหลัง

 

“คุณชาย แม่นางผู้นี้เป็นใครกัน เหตุใดจึงวางท่าใหญ่โตนัก” ซูเซี๋ยวเสี่ยวหรี่ตาถามด้วยความประหลาดใจ

 

ซูเจ๋อตอบว่า   “กองกำลังต่อต้านตั๋งโต๊ะถึงกับซุ่มโจมตีหมายจะลอบสังหารนาง ยิ่งได้ฟังการพูดของนางอีก ดูเหมือนว่าจะมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับตั๋งโต๊ะเป็นอย่างมาก คาดว่าคงเป็นคุณหนูสักคนของตระกูลตั๋งเป็นแน่”

 

ซูเซี๋ยวเสี่ยวร้อง “อ้อ” ออกมา และไม่ได้ถามอะไรอีก

 

ตอนนี้เอง จิวฉองเตือนขึ้นว่า   “คุณชาย ที่นี่อยู่นานไม่ได้ เรายังต้องรีบไปให้ถึงฉางอันให้เร็วที่สุดนะขอรับ”

 

ซูเจ๋อพยักหน้า หันกลับไปมองศพมือสังหารบนพื้น แล้วโบกมือ พร้อมกับถอนหายใจพูดว่า   “มือสังหารเหล่านี้นับว่าเป็นบุรุษผู้ไม่กลัวตาย น่าเสียดายหากต้องทิ้งศพไว้ตรงนี้ เจ้าสละเวลาสักเล็กน้อยพาพวกพ้องไปจัดการฝังพวกเขาที”

 

จิวฉองเข้าใจเจตนาของเขา จากนั้นจึงนำทหารคุ้มกันขุดหลุมอย่างลวกๆ หลายสิบหลุม นำศพของมือสังหารเหล่านี้ฝังลงไปในนั้น

 

หลังจากเสร็จจากงาน ซูเจ๋อก็ควบม้ามุ่งหน้าไปยังเมืองฉางอัน

 

ก่อนฟ้ามืด ขบวนรถก็เข้าสู่เมืองฉางอัน ในฐานะทูต ซูเจ๋อถูกจัดให้อยู่ในสถานที่รับรองตามธรรมเนียมที่ราชสำนักกำหนด

 

แต่ในความโกลาหลนี้ พวกกวนตงทั้งหลายมิได้แยแสราชสำนักของฉางอัน เล่าเปียวเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่ยอมรับอำนาจของทางราชสำนัก และมีการส่งทูตมาถวายเครื่องบรรณาการ ดังนั้นทางราชสำนักจึงสุภาพและให้เกียรติต่อพวกเขาเช่นกัน มีการจัดเตรียมอาหารและที่พักอย่างทั่วถึง

 

ซูเจ๋อให้ทุกคนไปพักผ่อนสักคืน เติมเต็มสภาพจิตใจ เช้าวันรุ่งขึ้นค่อยไปจัดการเรื่องเครื่องบรรณาการ 

 

……

 

เมืองฉางอัน ณ จวนอุปราช (จวนอุปราชที่วาคืออ้องอุ้น)

 

ท้องฟ้ามืดมิด จวนอุปราชทั้งจวนเงียบสงัด ไฟตะเกียงดับหมดแล้ว แต่กลับมีห้องลับหลังจวนห้องหนึ่ง ที่ยังคงมีไฟตะเกียงส่องแสงริบหรี่อยู่

 

ภายในห้องลับ มีชายชราและชายหนุ่มอยู่สองคน กำลังแข่งหมากล้อมกันใต้แสงเทียน

 

ชายชราผู้นี้คืออุปราชอ้องอุ้นคนปัจจุบัน ส่วนชายหนุ่มผู้นี้ก็คือหลานชายของเขา หวังหลิง

 

“ท่านลุง ดึกแล้ว ยังไม่มีข่าวอันใดเลย เป็นไปได้ไหมว่าแผนของเราจะล้มเหลวแล้ว?” หวังหลิงกุมหมากล้อมไว้ในมือ สีหน้ากังวล

 

“ยังเช้าอยู่เลย หลิงเอ๋อร์ เจ้าต้องใจเย็นๆ” อ้องอุ้นกลับวางหมากลงไปอย่างใจเย็น ใบหน้าเผยท่าทางของนักวางกลยุทธ์ออกมา 

 

อารมณ์ที่ไม่สบายใจของหวังหลิงจึงสงบลง แต่กลับพูดขึ้นว่า   “ถึงแม้ว่าเราจะทำการลอบสังหารสำเร็จ แล้วปล่อยข่าวว่าลิโป้เป็นผู้บงการ เกรงว่าร่องรอยเท็จนี้ดูจะโจ่งแจ้งเกินไป ตั๋งโต๊ะอาจจะรู้ว่าถูกยุแยงได้”

 

“ดังนั้น เป้าหมายที่พวกเราเลือกจึงเป็นคนที่ตั๋งโต๊ะรักที่สุดคนนั้นอย่างไรเล่า” อ้องอุ้นพูดด้วยน้ำเสียงที่แฝงความหมายอยู่ในนั้น

 

หวังหลิงทำหน้าตกใจ นัยน์ตายังคงงุนงง

 

“หลิงเอ๋อร์เอ๋ย เจ้านับว่าฉลาดนะ แต่น่าเสียดายที่การมองคนของเจ้ายังไม่ทะลุปรุโปร่ง”

 

อ้องอุ้นยกหมากสีดำที่ถูกล้อมลงจากกระดาน แล้วอธิบายอย่างใจเย็นว่า   “เจ้าโจรตั๋งโต๊ะถึงแม้ว่าจะโหดร้าย แต่อ่อนไหวต่อคนในครอบครัวมาก นี่แหละคือจุดอ่อนของเจ้าโจรตั๋งโต๊ะ จุดอ่อนนี้จะทำให้เขาถูกครอบงำด้วยความโกรธจนขาดสติ หลังจากได้ข่าวว่าคนที่ตนรักที่สุดถูกลอบสังหาร จนอดไม่ได้ที่จะเกิดความระแวงลิโป้ขึ้นมา” 

 

คำพูดนี้ ทำให้หวังหลิงรู้สึกราวกับเข้าใจเรื่องราว  เขาอดไม่ได้ที่จะยกนิ้วขึ้นและชมว่า   “ท่านลุงช่างมองคนได้อย่างลึกซึ้งยิ่งนัก หลิงเอ๋อร์ไม่อาจเทียบท่านลุงได้เลย”

 

อ้องอุ้นลูบเคราแล้วยิ้ม จ้องมองหวังหลิงด้วยสายตาคาดหวังว่า   “หลิงเอ๋อร์ เจ้าต้องรีบเติบใหญ่ เจ้าเป็นหนึ่งในผู้ที่ยอดเยี่ยมที่สุดของตระกูลหวังของเรา ในภายหน้าเมื่อลุงล้มเจ้าโจรตั๋งโต๊ะและยึดครองราชย์สำนักได้ ยังมีเรื่องอีกมากมายที่จะต้องพึ่งพาเจ้า”

 

ในวินาทีนั้นที่หวังหลิงได้รับกำลังใจ จึงถอนใจแล้วตอบว่า   “ขอบคุณท่านลุงที่ให้ความสำคัญ หลิงเอ๋อร์จะพยายามให้มากขึ้น และจะไม่ทำให้ท่านลุงผิดหวังอย่างแน่นอน”

 

“ดีดีดี มา เราเดินหมากกันต่อเถอะ สิ่งที่เจ้าควรเรียนรู้ในวันนี้ นั้นก็คือต้องสุขุมแม้นเขาไท่ซานจะถล่มลงตรงหน้า” อ้องอุ้นพูดพร้อมกับยกมือหยิบหมากล้อมเตรียมวางหมากลงไป

 

ในตอนนี้นั้น บ่าวคนสนิทก็วิ่งเข้ามาในห้องอย่างรีบร้อน พร้อมกระซิบเบาๆว่า   “นายท่าน จางจงเปียวกลับมาแล้ว”

 

เมื่อได้ยินชื่อนี้ นัยน์ตาของหวังหลิงก็เป็นประกายขึ้นทันที เขารู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา

 

แต่อ้องอุ้นกลับไม่ได้แสดงทีท่าอะไร เพียงแค่โบกมือเบาๆ แล้วพูดว่า   “ให้เขาเข้ามา”

 

หลังจากนั้นสักพัก นักดาบพเนจรร่างกายกำยำคนหนึ่งก็เข้ามาในห้องลับ คุกเข่าลงตรงหน้าอ้องอุ้น ไม่ส่งเสียง คุกเข่าไม่ยอมลุก

 

อ้องอุ้นขมวดคิ้ว ตะโกนถามว่า   “ล้มเหลวหรือสำเร็จ พูดมา”

 

นักดาบพเนจรผู้นั้นพูดด้วยใบหน้าละอายและสำนึกผิดว่า   “เรียนท่านอุปราช มือสังหารล้มเหลวแล้วขอรับ”

 

เคร้ง!

 

อ้องอุ้นนิ้วมือสั่น หมากล้อมที่ถืออยู่ลื่นตกลงบนกระดาษ

 

“อะไรกัน!เจ้าล้มเหลวอย่างนั้นหรือ!” สีหน้าของหวังหลิงเปลี่ยนไปในทันที เขากระโดดตัวลอยขึ้น พูดด้วยความโกรธว่า   “ตระกูลหวังของพวกข้าเลี้ยงดูพวกเจ้ามาหลายปี เรื่องเล็กน้อยเพียงเท่านี้ก็ทำไม่สำเร็จ แล้วพวกเจ้าจะไปทำอะไรกิน!”

 

จางจงเปียวผู้นั้นรู้สึกละอายมากขึ้น เขาก้มหัวลงต่ำลงเรื่อยๆ ยอมรับคำด่าของหวังหลิง

 

ตอนนี้เอง อ้องอุ้นก็ได้หยิบหมากล้อมขึ้นมาอีกครั้ง แล้วโบกมือเบาๆ บอกเป็นนัยให้หวังหลิงหยุดพูด

 

ในห้องลับ ทันใดนั้นก็กลับเข้าสู่ความเงียบงันอีกครั้ง

 

“ทำไมถึงล้มเหลว? ไม่ใช่ว่าเป้าหมายออกไปล่าสัตว์เหมือนปกติหรอกหรือ?” อ้องอุ้นไม่ได้แสดงอารมณ์ใดๆ ในน้ำเสียงฟังไม่ออกถึงการตำหนิใดๆ

 

จางจงเปียวพูดอย่างคับแค้นใจว่า   “ข้อมูลที่ท่านอุปราชให้ไม่ผิดแม้แต่น้อย เป้าหมายได้ออกล่าสัตว์ทางใต้ของเมืองตามปกติ สถานที่ที่พวกเราซุ่มโจมตีก็ถือว่าเหมาะเจาะพอดี การฆ่าเป้าหมายที่ไม่ได้ทันตั้งตัว เกือบจะสำเร็จแล้ว แต่ในช่วงเวลาสำคัญนั้นเอง กลับมีกองกำลังทหารม้ากลุ่มอื่นเข้ามาช่วยเป้าหมายไว้ แล้วยังฆ่าพี่น้องเราเกือบหมด”

 

กองกำลังทหารม้ากลุ่มอื่นอย่างนั้นงั้นหรือ?

 

อ้องอุ้นชะงักไป แล้วถามว่า   “เป็นใครที่มาทำลายเรื่องดีๆ ของข้า?”

 

จางจงเปียวรีบตอบว่า   “ข้าแอบได้ยินเป้าหมายกับหัวหน้ากองกำลังนั้นพูดคุยกันตอนที่กำลังหลบซ่อนอยู่ ได้ยินว่าคนนั้นเรียกตัวเองว่าซูเจ๋อ เป็นทูตที่ใต้เท้าเล่าเปียวส่งมายังฉางอันเพื่อถวายเครื่องบรรณาการ”

 

“ซูเจ๋อ......”

 

อ้องอุ้นท่องชื่อนี้ในใจ เหมือนว่าจะคิดอะไรขึ้นมาได้ เขาค้นหาชื่อแปลกๆ ที่เกี่ยวกับชื่อนี้ คิดไปคิดมา แต่ก็คิดไม่ออกว่ามีผู้ใต้บังคับบัญชาคนไหนของเล่าเปียวที่มีชื่อนี้

 

“แผนสำรองล่ะ ลงมือทำหรือไม่ ?” อ้องอุ้นถามต่อด้วยความสงสัย

 

จางจงเปียวขบเขี้ยวเคี้ยวฟันตอบไปว่า  “ในตอนแรกพี่น้องเราไม่กี่คนที่ถูกจับได้ ได้ทำตามแผนที่เตรียมไว้ในตอนแรก ตอบพวกมันไปว่าเป็นคนของลิโป้ เกือบจะหลอกเป้าหมายได้แล้ว แต่เป็นเจ้าสารเลวซูเจ๋ออีก ที่ดูเหมือนจะจงใจเปิดโปงแผนการของเรา พร้อมกับโน้มน้าวให้เป้าหมายของเราฆ่าพี่น้องที่ถูกจับเป็นทิ้งให้หมด ทำเป็นว่าไม่มีเรื่องราวอันใดเกิดขึ้น”

 

ใบหน้าของอ้องอุ้นที่เรียบเฉยมาโดยตลอด ในที่สุดในตอนนี้ก็อดไม่ได้ที่จะเผยความประหลาดใจออกมา

 

หวังหลิงนั้นก็พูดอย่างประหลาดใจขึ้นเช่นกันว่า   “ลูกน้องของเล่าเปียวเก่งกาจถึงเพียงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ถึงได้มองแผนของพวกเราออกได้ง่ายดายถึงเพียงนี้!”

 

“หลิงเอ๋อร์ เจ้ายังหนุ่มความจำดี พอจะจำได้ไหมว่าจิงโจวมีตระกูลใหญ่ที่ชื่อว่าตระกูลซูหรือไม่?” อ้องอุ้นหันไปมองหลานชายของตระกูลตนเอง

 

หวังหลิงใช้สมองคิดอยู่นาน ส่ายหน้าแล้วพูดว่า   “ข้าจำได้เพียงว่าจิงโจวมีตระกูลใหญ่อย่างตระกูลก่วย ตระกูลไช่ ตระกูลหวง และตระกูลผังอยู่เพียงสี่ตระกูล รองลงมาก็มีตระกูลหม่า ตระกูลเตียว ตระกูลเติ้ง และตระกูลปลายแถวอื่นๆ แต่ไม่เคยได้ยินว่ามีตระกูลซู ส่วนคนที่ชื่อซูเจ๋อยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย”

 

“ไม่ใช่ตระกูลของจิงเซียง หรือจะบอกว่า ซูเจ๋อผู้นี้เป็นลูกหลานของตระกูลยากไร้?” อ้องอุ้นเอ่ยปากพูดออกมา แล้วส่ายหน้าทันทีว่า   หลิวจิ่งเซิงผู้นี้จะใช้งานใครย่อมมองที่ชาติตระกูล การเดินทางมาฉางอันเพื่อถวายเครื่องบรรณาการแก่ฮ่องเต้ที่เป็นเรื่องสำคัญเช่นนี้ จะให้คนจากตระกูลยากไร้มารับหน้าที่นี้ได้อย่างไร นี่มันไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย”

 

“ซูเจ๋อผู้นั้น แท้จริงแล้วมีความเป็นมาอย่างไรกัน? ถึงได้รับความไว้วางใจจากเล่าเปียว แล้วยังมาทำลายแผนลอบสังหารของพวกเราอีก มิหนำซ้ำยังมาทำลายแผนการสำรองของเราอีก?” ในสายตาของหวังหลิง เผยความประหลาดใจออกมาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

 

ภายในห้องลับ ถูกปกคลุมไปด้วยบรรยากาศของความประหลาดใจอยู่ครู่หนึ่ง ลุงกับหลานสองคนเงียบจมอยู่กับการคาดคะเน “ซูเจ๋อ” ชื่อนี้

 

พวกเขาลุงกับหลานถกเถียงเรื่องนี้กันทั้งคืน รุ่งเช้าวันต่อมา ขณะที่กำลังคิดจะพักผ่อนนั้นเอง ทหารยามด้านหน้าก็เข้ามารายงานว่าซูเจ๋อฑูตจากจิงโจวมาขอเข้าพบอยู่ที่ด้านนอก

 

ตอนนี้อ้องอุ้นได้รับความไว้วางใจจากตั๋งโต๊ะเป็นอย่างมาก  กิจการภายในราชสำนักทั้งหมดล้วนยกให้เขาเป็นผู้ดูแล เรื่องการถวายเครื่องบรรณาการจากแขกต่างเมืองนี้ หากว่าตามระเบียบแล้ว จะต้องผ่านการตรวจสอบจากเขาผู้เป็นอุปราชก่อน ดังนั้นซูเจ๋อจึงเดินทางมาเข้าพบเขาตั้งแต่เช้าตรู่

 

“ซูเจ๋อคนนี้ได้ทำลายเรื่องดีๆ ของเรา แล้วยังมีหน้ามาที่นี่อีก ท่านลุงมิออกไปพบเขาก็สิ้นเรื่อง!”หวังหลิงสบถเสียงเย็นชาด้วยความไม่พอใจ

 

ทว่าอ้องอุ้นกลับพูดว่า   “ซูเจ๋อเป็นทูตจากจิงโจว มาเนื่องด้วยงานราชการ มีเหตุผลอะไรที่ลุงจะไม่ไปพบเขา? อีกอย่าง ลุงเองก็อยากจะดูว่า ซูเจ๋อผู้นี้แท้จริงแล้วมีความสามารถกว่าผู้อื่น อย่างไรกันแน่”

 

พูดจบ อ้องอุ้นก็โบกมือ สั่งให้เชิญซูเจ๋อเข้าพบที่จวนหลัก

 

หลังจากไม่นาน ขณะที่ซูเจ๋อเข้าสู่จวนหลัก อ้องอุ้นก็ได้นั่งอยู่ด้านบน ส่วนหวังหลิงก็ได้นั่งอยู่ข้างๆ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

 

อ้องอุ้นสีหน้าเรียบเฉย ส่วนนัยน์ตาของหวังหลิงนั้นกลับมีเจตนาที่คลุมเครือเป็นอย่างมาก

 

ซูเจ๋อก้าวมาข้างหน้า ยกมือขึ้นคารวะแล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่แข็งกร้าวและถ่อมตัวจนเกินไปว่า   “ข้าน้อยซูเจ๋อ เป็นทูตจากจิงโจว ขอคารวะใต้เท้าอ้อง”

 

“ไม่ต้องมากพิธีหรอก” อ้องอุ้นโบกมือเบาๆ ด้วยน้ำเสียงและท่าทางอ่อนโยน

 

ซูเจ๋อยืดตัวขึ้นมาอย่างช้าๆ พร้อมกับกล่าวรายงานเรื่องเครื่องบรรณาการให้แก่อ้องอุ้นทราบอย่างเรียบง่าย

 

ขณะที่อ้องอุ้นฟังอย่างเงียบๆ อยู่นั้น แต่สายตาก็สังเกตซูเจ๋อไม่หยุด อยากจะหาเบาะแสจากตัวของชายหนุ่มที่ทำลายแผนการของเขาคนนี้ให้ได้

 

เมื่อฟังซูเจ๋อกล่าวรายงานจบ อ้องอุ้นก็พยักหน้าพร้อมกล่าวชมว่า   “ใต้เท้าเล่าแห่งจิงโจวส่งของบรรณาการแก่ฮ่องเต้ก่อนเช่นนี้ เป็นการแสดงความเคารพต่อราชสำนัก ดีมาก เจ้ารอไปพบใต้เท้าตั๋ง หลังจากรอให้เขาอนุญาตแล้ว ก็สามารถนำของบรรณาการถวายต่อฮ่องเต้ด้วยตัวเองได้เลย”

 

“ขอบคุณใต้เท้า” ซุเจ๋อคารวะ แล้วนำหนังสือออกมาจากหน้าอก “หลิวจิงโจวของข้ายังมีจดหมายส่วนตัวที่จะมอบแก่ท่าน ขอรบกวนใต้เท้าโปรดอ่านด้วย”

 

อ้องอุ้นขยิบตา แล้วหวังหลิงก็ลงมารับจดหมายจากมือของซูเจ๋อ ตอนที่กลับไป ยังแอบจ้องตาใส่เขา แสดงความไม่เป็นมิตรออกมา

 

ทัศนคติของหวังหลิงที่มีต่อตนนั้น หากซูเจ๋อจะดูไม่ออกได้อย่างไร ตอนนี้ในใจของเขาได้แต่คาดเดาเงียบๆ ไม่ได้แสดงอาการอะไร

 

อ้องอุ้นรับจดหมายมา แล้วกวาดสายตาอ่านดูเล็กน้อย ทันใดนั้นนัยน์ตาก็ปรากฏความประหลาดใจขึ้นมา

 

เนื้อหาในจดหมายนั้น ทำให้อ้องอุ้นประหลาดใจอย่างเห็นได้ชัด เล่าเปียวผู้ที่พึ่งพาอาศัยตระกูลใหญ่มาโดยตลอด จะใช้ความสัมพันธ์ส่วนตัว ขอให้อ้องอุ้นใช้อำนาจส่วนตัวที่มีในราชสำนักแต่งตั้งให้ซูเจ๋อเป็นเจ้าเมืองหนานหยาง

 

“ซูเจ๋อผู้นี้ แท้จริงแล้วพิเศษกว่าคนอื่นอย่างไรกันแน่ ไม่เพียงแต่ทำให้หลิวจิ่งเซิงไว้วางใจให้เป็นทูต มิหนำซ้ำยังขอให้ข้าใช้อำนาจของราชสำนักแต่งตั้งเขาให้เป็นเจ้าเมืองหนานหยางอีก?”

 

อ้องอุ้นวางจดหมายลง แล้วกวาดสายตามองพิจารณาชายหนุ่มผู้สงบเสงี่ยมที่มาจากตระกูลยากไร้ไปมา ด้วยสีหน้าที่ดูจะเข้าใจได้ยาก

 

หลังจากมองดูอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้ว อ้องอุ้นก็ใส่จดหมายกลับเข้าไปในกล่องจดหมาย แล้วเรียกให้หวังหลิงนำจดหมายไปคืนให้ซูเจ๋อในสภาพเดิม

 

“ใต้เท้าอ้อง นี่หมายความว่าอย่างไร?” ซูเจ๋อมองดูจดหมายในมือด้วยสายตาที่ยากจะคาดเดา

 

ทว่าอ้องอุ้นกลับพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า   “จวนนี้ได้รับความไว้วางใจจากฮ่องเต้ ช่วยเหลือกิจการของใต้เท้าตั๋ง ตั้งตนเป็นกลาง จะให้ข้าทิ้งประโยชน์ส่วนรวมเพื่อประโยชน์ส่วนตนได้อย่างไรกัน เนื้อหาที่กล่าวในจดหมายของหลิวจิงโจวนั้น ยากที่จวนของข้าจะช่วยได้ จดหมายนี้จะถือว่าข้าไม่เคยเห็นมันแล้วกัน เจ้าเอากลับไปเถอะ”

 

อ้องอุ้นทำให้เล่าเปียวขายหน้า!?

 

นัยน์ตาของซูเจ๋อปรากฏความประหลาดใจ คิ้วของเขาแอบขมวดเข้าหากันเล็กน้อย

 

รีวิวผู้อ่าน