ตอนที่ 29 สุดปลายภาพมีดสั้นปรากฏ
“เรื่องนี้ค่อนข้างทำได้ยาก หากปราศจากการช่วยเหลือของอ้องอุ้น ข้าคงไม่สามารถขึ้นเป็นเจ้าเมืองหนานหยางได้อย่างราบรื่นเป็นแน่ และถ้าหากไม่ได้เป็นเจ้าเมืองหนานหยาง ข้าก็คงไม่มีทางขยายอำนาจของตัวเองได้......”
ซูเจ๋อเกิดความกังวลขึ้นมาในใจ เขาคารวะแล้วพูดว่า “ท่านอุปราชลองไตร่ตรองอีกสักครั้งได้หรือไม่”
พอคำพูดของเขาจบลง และในขณะที่อ้องอุ้นยังไม่ได้เอ่ยปาก หวังหลิงกลับโบกมือแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ซูเจ๋อ เจ้าหูหนวกหรือ ไม่ได้ยินที่ท่านลุงของข้ากล่าวหรืออย่างไร เขาไม่มีทางทำเรื่องสกปรกเพื่อประโยชน์ส่วนตัวแบบนั้นหรอก เจ้ารีบไปโดยเร็วจะดีกว่า”
ซูเจ๋อฉุนจนทำตัวไม่ถูก แอบโกรธอยู่ในใจ แต่ก็เป็นเพียงความโกรธชั่วครู่เท่านั้น
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าน้อยต้องขอตัวลาแล้วขอรับ” ซุเจ๋อยกมือคารวะ ไม่ได้แสดงท่าทีโกรธเคือง แล้วหมุนตัวเดินออกจากจวนไป
หลังจากเห็นว่าซูเจ๋อได้จากไปแล้ว หวังหลิงก็สบถด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ท่านลุง ข้าว่าเจ้าแซ่ซูผู้นี้ก็มิได้มีอะไรที่พิเศษตรงไหนเลย ทำไมเขาถึงทำลายแผนของเราได้”
“คนเราไม่อาจตัดสินกันที่หน้าตา”
อ้องอุ้นถอนหายใจ สายตาครุ่นคิด เขาลูบหนวดแล้วพูดว่า “ข้ามองดูซูเจ๋อที่ยากไร้ผู้นี้ แต่ลักษณะท่าทางกลับสงบเยือกเย็น เมื่อครู่นี้ถูกคำพูดของเจ้ากระทบเข้าก็สามารถเก็บอาการได้ ไม่แสดงความโกรธออกมาทางสีหน้า ข้าคิดว่า อย่างน้อยเขาก็ถือเป็นคนที่สุขุมมากคนหนึ่ง”
“เขาเก่งกาจเพียงนั้นเชียวหรือ?” หวังหลิงสงสัย
“เจ้าต้องเชื่อสายตาลุง ลองคิดดูสิว่า การที่ลุงปฏิเสธที่จะช่วยเขาให้เป็นเจ้าเมืองหนานหยาง ทำผิดต่อคนผู้นี้แล้ว อาจไม่ใช่การตัดสินใจที่ชาญฉลาดก็ได้” ในสายตาของอ้องอุ้นแสดงความกังวลขึ้นมา
ทว่าหวังหลิงกลับพูดอย่างไม่ใส่ใจว่า “ท่านลุงให้เกียรติเขาเกินไปแล้ว แม้ว่าเขาจะมีความสามารถเหนือผู้อื่น แต่ก็เป็นแค่เพียงลูกหลานตระกูลยากไร้เท่านั้น แม้ว่าในใจเขาจะมีความโกรธแค้น แล้วจะสามารถใช้อำนาจมากระทบถึงท่านลุงผู้เป็นอุปราชได้อย่างนั้นหรือ”
“นั่นก็จริง บางทีอาจเป็นลุงที่คิดมากไปเอง”
อ้องอุ้นพยักหน้า ความหวาดกลัวในดวงตาหายไป เขาหันกลับมาพูดว่า “แผนการนี้ของเราถูกเจ้าแซ่ซูทำพัง ดูท่าว่าคงต้องใช้แผนสำรองมาทำให้ตั๋งโต๊ะกับลิโป้แตกคอกันแล้วล่ะ หลิงเอ๋อร์ เจ้าเกลี้ยกล่อมน้องสาวบุญธรรมของเจ้าไปถึงไหนแล้ว?”
“ท่านลุงโปรดวางใจเถอะ นางตอบตกลงแล้วขอรับ”
“นางตกลงจริงๆ หรือฝืนใจตกลง ถ้าหากว่าตอนดำเนินการจริงแล้วนางทรยศย้ายฝ่ายจะทำอย่างไรดี” อ้องอุ้นสีหน้าดูระแวง
หวังหลิงตอบด้วยน้ำเสียงมั่นใจอย่างเยือกเย็นว่า “ท่านลุงอย่าเป็นกังวล วันก่อนข้าได้รับพ่อแม่ของนางเข้าจวน ในวันนั้นนางจึงตกลงอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย”
“เจ้าใช้อำนาจคุกคามพ่อแม่ของนางอย่างนั้นหรือ?” อ้องอุ้นชะงัก น้ำเสียงแสดงความไม่พอใจออกมา
หวังหลิงรีบอุทานขึ้นว่า “หลานรู้ตัวดีว่า ทำเช่นนี้จะกระทบต่อภาพลักษณ์ของตระกูลหวังของเรา เพียงแต่หลานคิดว่าการที่เราทำแบบนี้ ไม่ใช่เพียงเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวของตระกูลหวังของเรา แต่เพื่อเป็นการถอนรากถอนโคนกบฏในราชสำนัก ช่วยเหลือประคับประคองบ้านเมือง ดังคำกล่าวที่ว่าหากจะกระทำการณ์ใหญ่ต้องมิใส่ใจเรื่องเล็กน้อย”
อ้องอุ้นนิ่งเงียบ
หลังจากนั้น เขาจึงถอนใจอย่างจนปัญญาว่า “เพื่อราชวงศ์ฮั่นและอาณาประชาราษฎร์ใต้หล้า ก็คงต้องว่าตามนั้นแล้วล่ะ”
หวังหลิงถอนหายใจแผ่วเบา แล้วรีบพูดว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ หลานต้องรีบไปฝึกอบรมนางแล้ว รอเพียงเวลาที่เหมาะสม เราก็จะส่งนางลงสนามได้”
อ้องอุ้นไม่พูด เพียงโบกมือเบาๆ เพื่อสื่อว่าให้เขาเป็นคนจัดการเรื่องทั้งหมด
ด้านนอกจวนอุปราช
ซูเจ๋อออกนอกประตูจวนมา พลิกตัวขึ้นม้า
“คุณชาย ท่านอุปราชอ้องอุ้นได้ตกลงช่วยแต่งตั้งให้คุณชายขึ้นเป็นเจ้าเมืองหนานหยางหรือไม่?” จิวฉองอดไม่ได้ที่จะถาม
ซูเจ๋อส่ายหน้า “ท่าทางของอ้องอุ้นที่แสดงออกต่อข้านั้นเรียบเฉยมาก อ้างว่าไม่สามารถเอาเรื่องส่วนตัวมาทำให้ส่วนรวมเสียหายได้ แล้วส่งจดหมายของเล่าเปียวกลับมา อีกอย่างหวังหลิงผู้เป็นหลานชายของเขานั้นยังมองข้าเป็นศัตรูของเขา ราวกับว่าข้าได้ไปล่วงเกินพวกเขาตรงไหน”
เมื่อจิวฉองได้ฟัง ก็โกรธขึ้นมาทันที เขากัดฟันด่าว่า “โจรเฒ่าแซ่หวังผู้นี้ช่างน่ารังเกียจยิ่งนัก คุณชาย ต้องการให้พี่น้องเราแอบเข้าจวนอุปราชแล้วฆ่าโจรเฒ่านั้นเลยดีไหม!”
ซูเจ๋อตกใจ รีบพูดว่า “ที่นั่นเป็นถึงจวนอุปราช ได้รับการคุ้มกันอย่าหนาแน่น เจ้าจะแอบเข้าไปฆ่าคนตามอำเภอใจได้อย่างไรกัน จื่อเฟิง ตอนนี้เราอยู่ในเขตซีเหลียง ไม่ใช่ปี๋หยาง เอะอะจะฆ่าฟันกันอย่างเดียวมิได้”
“อ้อ ข้าแค่รู้สึกถึงไม่ได้รับความเป็นธรรมแทนคุณชาย” จิวฉองระบายความโกรธออกมา แล้วถอดถุงน้ำข้างเอวออกมากระดกคำใหญ่
“ข้าเข้าใจที่เจ้าโกรธ แต่เราต้องหาจังหวะ ไม่สามารถ”
ยังพูดไม่ทันจบ ซูเจ๋อก็เหลือบไปเห็นคราบเลือดที่มุมปากของจิวฉอง จึงอดไม่ได้ที่จะสงสัยว่า “ฟังข้านะจื่อเฟิง ตอนนี้เจ้าไม่ใช่กบฏโพกผ้าเหลืองแล้ว ไม่ต้องแสร้งทำตัวโหดร้ายเพื่อทำให้ลูกน้องกลัวแล้ว และเหตุใดเจ้ายังดื่มเลือดมนุษย์อยู่อีก”
“เรื่องนี้หรือ......” จิวฉองยิ้มทำตัวไม่ถูก “ข้าแค่ชินกับมัน จนกลายเป็นความชอบไปแล้ว จึงอดไม่ได้ อยากจิบสักสองสามอึกก็เท่านั้นเอง คุณชายเห็นเป็นเรื่องขำขันก็พอ”
ซูเจ๋อไม่มีอะไรจะพูด แสดงความประหลาดใจอยู่ในใจว่า “บางคนชอบสูบบุหรี่ บางคนชอบดื่มเหล้า บางคนชอบเที่ยวโสเภณี ส่วนชอบดื่มเลือดนี่ข้าเพิ่งจะเจอเป็นครั้งแรก ช่างเป็นความชอบที่แปลกประหลาดจริงๆ.......”
“แค่กแค่ก คุณชาย เจ้าโจรเฒ่าอ้องอุ้นไม่ช่วยพวกเรา แล้วตอนนี้เราควรทำอย่างไรดี?” จิวฉองไอสองสามที แล้วรีบเปลี่ยนบทสนทนา
“ปัญหาทุกอย่างย่อมมีทางออก วันนี้กลับที่พักไปก่อน รอถึงพรุ่งนี้เราไปพบผู้ปกครองฉางอันตัวจริงแล้วค่อยว่ากัน!” ซูเจ๋อลงแส้ม้าแล้วควบออกไป
……
เช้าวันต่อมา ซูเจ๋อได้รับแจ้งจากฝ่ายที่เกี่ยวข้องว่า ใต้เท้าตั๋งได้เป็นเจ้าภาพจัดงานเลี้ยงที่จวนเจ้าเมือง เชิญขุนนางคนสำคัญมาร่วมงานเลี้ยง และซูเจ๋อได้รับอนุญาตให้เข้าพบ
จากนั้นซูเจ๋อก็ได้นำของกำนัลที่เล่าเปียวส่งมาให้ตั๋งโต๊ะ เดินทางออกจากที่พักมุ่งหน้าสู่จวนเจ้าเมือง
ว่ากันว่าจวนของเจ้าเมืองนั้น แท้จริงแล้วเป็นส่วนหนึ่งของพระราชวังมาก่อน ถูกตั๋งโต๊ะใช้อำนาจแบ่งออกมาจากพระราชวัง ตรงกลางมีการต่อเติมกำแพงขึ้นมาเพื่อแยกมันออกจากกัน แล้วกลายมาเป็นจวนเจ้าเมืองของเขา
ในช่วงสี่ร้อยปีของราชวงศ์ฮั่น มีเพียงฮ่องเต้และข้าราชบริพารเท่านั้นที่แย่งที่พักอาศัยกัน ข้าราชบริพารผู้นี้ใช้อำนาจแย่งที่พักอาศัยของฮ่องเต้มาเป็นจวนของตน ตั๋งโต๊ะผู้นี้ถือเป็นที่สุดของขุนนางผู้หนึ่ง
ในเมื่อเคยเป็นวังมาก่อน จึงสวยงามและโอ่อ่าเป็นธรรมดา ซูเจ๋อยืนอยู่หน้าประตูจวนที่ใหญ่โตโอ่อ่า เขาถอนใจหลังจากที่สัมผัสถึงอำนาจและความฟุ้งเฟ้อหรูหราของตั๋งโต๊ะ เขาเชิดหน้าขึ้น กล่าวรายงานตัวตน ขอเข้าพบใต้เท้าผู้ปกครองราชวงศ์คนปัจจุบัน
ข้าราชบริพารในราชวงศ์ล้วนเกลียดตั๋งโต๊ะเข้ากระดูก ก่อนหน้านี้ไม่ใช่ว่าไม่เคยเกิดการลอบสังหารขึ้น จึงทำให้ตั๋งโต๊ะระมัดระวังตัวมากขึ้น ณ จวนเจ้าเมืองแห่งนี้ เป็นธรรมชาติที่ต้องมีการคุ้มกันอย่างแน่นหนา
เหล่าทหารของซูเจ๋อถูกขวางไว้ที่ด้านนอก อนุญาตให้จิวฉองตามเข้าไปได้แค่คนเดียว เขาทั้งสองถูกปลดอาวุธบนตัวออก และถูกทหารยามค้นร่างกายจนทั่ว แทบจะให้พวกเขาต้องเปลือยกายตรวจอยู่แล้ว ตรวจซ้ำไปมาสักพักใหญ่จึงอนุญาตให้พวกเขาเข้าไป
เมื่อเข้าสู่ประตูจวน ต้องเดินผ่านป้อมคุ้มกันที่อยู่ติดกันเพียงไม่กี่ก้าวของจวนเจ้าเมือง ซูเจ๋อเข้าสู่โถงหลักที่เฉิดฉายงดงาม
เมื่อเงยหน้ามองภายในโถง เห็นแค่ข้าราชบริพารหลายสิบคนที่นั่งอยู่ในนั้น อ้องอุ้นก็อยู่ในนั้นด้วยเช่นกัน
เหนือขุนนางระดับสูงเหล่านั้น ในที่สุดซูเจ๋อก็เห็นตั๋งโต๊ะผู้มีชื่อเสียงโด่งดัง
เขาเป็นชายวัยกลางคนรูปร่างอวบอ้วน ใบหน้าเต็มไปด้วยเคราดกดำ เนื่องจากอ้วนเกินไป ตาทั้งสองของเขาจึงถูกเนื้อนูนบริเวณแก้มทำให้ดูดุดันขึ้นมา
เขากินเนื้อและดื่มเหล้าคำใหญ่ บางทีก็ใช้มือลูบคลำสะโพกและหน้าอกของสาวใช้ที่มาปรนนิบัติ พร้อมกับหัวเราะเสียงดังออกมาอยู่หลายครั้ง
ถึงแม้ว่าสภาพการกินของเขาจะดูแย่ กิริยาท่าทางอันหยาบคายดูไม่ได้ แต่พวกขุนนางที่สุภาพเหล่านั้นกลับไม่มีใครกล้าแสดงท่าทางรังเกียจออกมาสักคน แต่ละคนทำได้เพียงก้มหัวกินอาหารไม่กล้ามองตั๋งโต๊ะมากเท่าไหร่
หยาบคาย ป่าเถื่อน แต่กลับทำให้ผู้คนหวาดกลัว
จู่ๆ ซูเจ๋อก็ปรากฏภาพการประเมินค่าแบบนี้ขึ้นมาในหัว
จากนั้นเขาก็ก้าวเข้ามาด้วยท่าทางที่ถ่อมตัวและไม่เย่อหยิ่งจนเกินไป ยกมือขึ้นคารวะแล้วพูดขึ้นว่า “ข้าน้อยซูเจ๋อ ทูตถวายเครื่องบรรณาการจากจิงโจว ขอคารวะใต้เท้า”
ทันใดนั้นภายในห้องโถงก็เงียบกริบ สายตาของทุกคนต่างจ้องมายังซูเจ๋อ
สายตาสงสัยเหล่านั้น แสดงให้เห็นว่าในใจของพวกเขาล้วนประหลาดใจ ว่าเหตุใดหลิวจิ่งเซิงผู้ที่พึ่งพาอาศัยตระกูลใหญ่เสมอมาถึงได้ส่งชายหนุ่มที่ไม่รู้ที่มาที่ไปแบบนี้มาเป็นทูตถวายเครื่องบรรณาการได้
ตั๋งโต๊ะไม่ได้สนใจเขา เขาเพียงเคี้ยวเนื้อเต็มปากอย่างช้าๆ ราวกับไม่เห็นว่าเขาอยู่ตรงนี้
หลังจากนั้นครู่ใหญ่ รอจนกระทั่งตั๋งโต๊ะกลืนเนื้อในปากทั้งหมดลงไปแล้ว จึงเลียนิ้วที่มันแผล็บ แล้วกล่าวว่า “หลิวจิ่งเซิงกำจัดโจรกบฏกงซุนจ้านเพื่อข้า ตอนนี้ยังส่งทูตนำของบรรณาการมาส่งตรงเวลาอีก ช่างเป็นแบบอย่างที่ดีแก่เหล่าขุนนาง ดีมาก ข้าพอใจมาก!”
ในปีนั้นที่ตั๋งโต๊ะยังไม่ได้ย้ายเมืองหลวง เขาได้ถูกกงซุนจ้านตีพ่ายครั้งแล้วครั้งเล่าที่ด่านหน้าของลั่วหยาง ทางเลือกสุดท้ายจึงได้ออกคำสั่งให้ย้ายมาที่ฉางอัน เป็นธรรมดาที่เขาจะเกลียดชังกงซุนจ้านเป็นอย่างมาก
เมื่อก่อนหยวนซู่ทำตามคำสั่งของกงซุนจ้าน ลงใต้ไปแย่งชิงเซียงหยางจากเล่าเปียว แต่กลับถูกเล่าเปียวฆ่าตาย แม้จะกล่าวว่านี่เป็นการตอบโต้กลับเพื่อป้องกันตัวเองของเล่าเปียว แต่ขณะเดียวกันก็เป็นการกำจัดเสี้ยนหนามในตาของตั๋งโต๊ะทางอ้อมอีกด้วย ตั๋งโต๊ะย่อมพอใจเป็นธรรมดา
“ใต้เท้าโจวมู่ได้กล่าวไว้ว่า การขจัดกบฏของบ้านเมือง ถือเป็นเรื่องของเขา ใต้เท้าชื่นชมเกินไป”
ซูเจ๋อกล่าวถ่อมตัวแทนเล่าเปียว แล้วพูดต่ออีกว่า “นอกจากเรื่องถวายเครื่องบรรณาการแก่ฮ่องเต้แล้ว ใต้เท้าโจวมู่ยังได้เตรียมสมบัติล้ำค่าหายากจำนวนมากให้ใต้เท้าอีกด้วย เพื่อแสดงความขอบคุณและหวังว่าท่านใต้เท้าจะรับไว้”
ขณะที่พูด ซูเจ๋อก็ตบมือ เหล่าทหารยามที่อยู่ด้านนอกก็ยกหีบใบใหญ่เข้ามาในโถง
เขาเปิดฝาหีบด้วยตัวเอง แสงสีทองก็ส่องประกายระยิบระยับออกมา ของล้ำค่าอย่างชามหยก ไหเหล้าทองคำ เครื่องลายคราม ภาพวาดต่างๆทุกอย่างล้วนมีอยู่ในนั้น
ตั๋งโต๊ะพอเห็นของล้ำค่าหายากเหล่านี้ ก็อดที่จะหัวเราะเสียงดังออกมาไม่ได้ แล้วพูดว่า “ดีดี ดูท่าว่าหลิวจิ่งเซิงจะใส่ใจจริงๆ หวูเสี่ยวเว่ย รีบไปยกหีบสมบัติขึ้นมาให้ข้าดูสิว่าหลิวจิ่งเซิงนำอะไรมามอบให้ข้าบ้าง”
สิ้นเสียงคำสั่ง เงาฮู ทหารชั้นยอดที่อยู่หน้าจวนก็รีบเรียกทหารยามให้ยกหีบสมบัติขึ้นมา แล้วยกสมบัติล้ำค่าหายากขึ้นมาวางตรงหน้าขอตั๋งโต๊ะทีละชิ้น
ตั๋งโต๊ะหยิบมันขึ้นมาด้วยความตื่นเต้น ชื่นชมไม่ขาดปาก อดที่จะชื่นชมเล่าเปียวไม่ได้
ซูเจ๋อรู้แน่อยู่แล้วว่า ตั๋งโต๊ะสามารถขุดได้แม้แต่สุสานของฮ่องเต้เหลี่ยงฮั่น สมบัติล้ำค่าเหล่านั้นทั้งหลายล้วนถือว่าเป็นของตน ของล้ำค่าที่เล่าเปียวนำมามอบให้เหล่านี้ย่อมเข้าตาเขาอย่างแน่นอน
อาการดีใจของตั๋งโต๊ะนี้ ก็เป็นเพียงการแสดงความพอใจและชื่นชมต่อเล่าเปียวเท่านั้น แสดงให้แก่เหล่าเจ้าของแคว้นได้เห็น แต่ถึงอย่างไร ท่ามกลางเจ้าของแคว้น เล่าเปียวถือเป็นเจ้าของแคว้นในจำนวนไม่มากที่ส่งของบรรณาการมาให้เขาก่อน
“ใต้เท้า ชื่อของภาพผืนนี้มีความเกี่ยวข้องกับชื่อของท่าน ชื่อว่า《ภาพใต้เท้าตั๋งผู้ปราบกบฏ》” เงาฮูหยิบภาพม้วนหนึ่งขึ้นมาจากหีบ
พอตั๋งโต๊ะได้ยินชื่อของภาพผืนนี้ ทันใดนั้นสายตาก็เป็นประกาย หัวเราะด้วยความพอใจยิ่งขึ้นกว่าเดิม
เห็นได้ชัดว่า จากชื่อของภาพนี้สามารถตัดสินได้ว่า เนื้อหาในภาพจะต้องเป็นการสรรเสริญคุณธรรมของตั๋งโต๊ะ คิดว่าเล่าเปียวจะต้องจงใจให้คนมาวาดภาพเหล่านี้เพื่อเป็นการประจบตั๋งโต๊ะอย่างแน่นอน
ในแง่มูลค่า ภาพผืนนี้ย่อมด้อยค่ากว่าแก้วแหวนเงินทอง แต่ทว่าชื่อของภาพผืนนี้กลับได้ใจของตั๋งโต๊ะไปเต็มๆ
“เร็วเข้า รีบกางมันออกมาให้ข้าดู” ตั๋งโต๊ะสั่งความใจร้อน
เงาฮูรีบคลี่ม้วนภาพออก แล้วค่อยๆ กางมันลงตรงหน้าตั๋งโต๊ะ ภาพตั๋งโต๊ะผู้พิชิตศัตรูที่สง่างามผ่านตาไปทีละภาพ
ตั๋งโต๊ะหัวเราะอย่างมีความสุขขึ้นเรื่อยๆ ขนาดที่ไม่เห็นเขากระพริบตาด้วยซ้ำ
ทว่าซูเจ๋อกลับรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ ในใจคิดว่าของกำนัลที่มอบให้แก่ตั๋งโต๊ะเหล่านี้ เขาได้ตรวจมันมาก่อนหน้านี้อย่างละเอียดแล้ว เพราะเกรงว่าในนั้นจะมีของอะไรที่ไม่เหมาะสมหรือล่วงเกินตั๋งโต๊ะ แล้วตัวเองจะทำให้เล่าเปียวกลายเป็นแพะรับบาป
เขาพอจำได้เลือนรางว่า ในนั้นมีภาพวาดอยู่หลายผืนจริงๆ แต่เขากลับจำไม่ได้ว่ามีภาพที่ชื่อว่า《ภาพใต้เท้าตั๋งผู้ปราบกบฏ》ด้วยหรือ
“ข้าจำไม่ผิดแน่ เหตุใดถึงได้มีภาพเพิ่มขึ้นมาเช่นนี้?”
ซูเจ๋อแตะหน้าผากย้ำๆ พยายามคิดย้อน ทันใดนั้นเองในหัวของเขาก็ผุดความคิดที่ทำให้คนต้องตกใจขึ้นมา
พอความคิดนี้ปรากฏขึ้นมา ซูเจ๋อก็สูดหายใจเย็นๆ ไม่ได้คิดอะไรมาก แล้วตะโกนขึ้นว่า “ระวังขอรับใต้เท้า!”
ทันทีที่สิ้นเสียง กริซคมเล่มหนึ่งก็ปรากฏขึ้นมาที่มุมของรูปภาพอย่างพอดิบพอดี
ทันใดนั้นนัยน์ตาของเงาฮูก็มีแสงสะท้อนแห่งความตกใจขึ้น