ตอนที่ 31 ความโชคดีในความโชคร้าย
เสียงตะโกนนั้นตัดบทของตั๋งโต๊ะ และทำให้ผู้ที่อยู่ในห้องโถงทั้งหมดตกใจ สายตาทั้งหมดมองไปทางประตูโถงอย่างมิได้นัดหมาย
ซูเจ๋อเองก็หันหน้ามาเช่นกัน สุดสายตากลับเห็นหญิงสาวที่งดงามและมีเสน่ห์สวมชุดแดงเดินเข้ามาในห้องโถงอย่างสง่างาม
บนตัวของเธอปกคลุมไปด้วยความเย่อหยิ่งและถือดี สายตามองไปยังเหล่าขุนนางซ้ายขวาด้วยความดูถูก ราวกับว่าเห็นพวกเขามิมีค่าอะไรเลย
“เป็นนาง!” นัยน์ตาของซูเจ๋อเผยความประหลาดใจ
หญิงสาวตรงหน้าคนนี้ก็คือแม่ทัพหญิงที่เขาได้ช่วยเหลือที่ในป่าวันนั้นนั่นเอง แต่คิดมิถึงว่านางจะมาปรากฏตัวที่นี่
“ขอคารวะคุณหนู”
“ขอคารวะคุณหนู”
เมื่อขุนนางเหล่านั้นเห็นหญิงสาวคนนี้ ต่างเกิดความหวาดกลัวขึ้นมาอย่างมิได้นัดหมาย พวกเขาต่างพากันก้มหัวลงต่ำ พร้อมกับส่งเสียงเรียกด้วยความเคารพว่า “คุณหนู”
“คุณหนู หากเรียกเช่นนี้ นางก็เป็นหลานสาวของตั๋งโต๊ะอย่างนั้นหรือ?” ซูเจ๋อรู้สึกตัวขึ้นมา
ในวันนั้นเขาก็เดาว่า แม่ทัพหญิงที่มิธรรมดาและเย่อหยิ่งถือตัวขนาดนี้ จะต้องเป็นคนในตระกูลของตั๋งโต๊ะเป็นแน่ แต่กลับคิดมิถึงว่านางจะเป็นถึงหลานสาวของตั๋งโต๊ะ
ซูเจ๋อหวนคิดถึงข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับตั๋งโต๊ะขึ้นมา จำได้เลือนรางว่าบุตรชายเพียงคนเดียวของตั๋งโต๊ะเสียชีวิตตั้งแต่วัยหนุ่ม ทิ้งไว้เพียงหลานสาวเพียงคนเดียว ตั๋งโต๊ะรักและทะนุถนอมนางเป็นอย่างมาก เมื่อเห็นความหวาดกลัวของเหล่าขุนนางที่มีต่อหญิงสาวคนนี้แล้ว นางก็น่าจะเป็นหลานสาวสุดล้ำค่าของตั๋งโต๊ะอย่างแน่นอน
ซูเจ๋อยืนอยู่ตรงนั้น มองดูหญิงสาวเดินเข้ามาหาตนด้วยสายตาที่ประหลาดใจ ในหัวยังคงปรากฏภาพนางฆ่าคนอย่างเยือกเย็นในป่าวันนั้น
ทว่าหญิงสาวเพียงแค่ชายตามองเขาหนึ่งที แล้ววางมาดเดินผ่านเขาไป ขึ้นไปหาตั๋งโต๊ะที่แท่นที่นั่งด้านบน
“ไป๋เอ๋อร์ เจ้ามาได้อย่างไร?” ตั๋งโต๊ะมีสีหน้าประหลาดใจ รีบลุกขึ้นยืนแล้วก้าวลงมาต้อนรับด้วยตัวเอง
ที่แท้หญิงสาวมีนามว่า ตั๋งไป๋
นางรีบก้าวขึ้นไป แล้วกอดแขนตั๋งโต๊ะ พูดด้วยใบหน้าเอาอกเอาใจว่า “หลานได้ยินว่าท่านปู่ถูกคนลอบสังหาร จึงรีบมาหา ท่านปู่มิเป็นอะไรใช่ไหมเจ้าคะ?”
“เป็นหลานรักของปู่ที่ยังคงเป็นห่วงปู่ที่สุด วางใจเถอะ ชะตาสวรรค์ลิขิตชีวิตของปู่ โจรกระจอกเหล่านั้นจะทำร้ายปู่ได้อย่างไร มือสังหารได้ถูกจับแยกเป็นชิ้นๆ ไปแล้วล่ะ” ตั๋งโต๊ะหัวเราะอย่างมีความสุข และโอบกอดตั๋งไป๋เดินขึ้นไปที่แท่นนั่งด้านบน แล้วให้นางนั่งลงที่ด้านข้าง
“เช่นนั้นก็ดีแล้ว ทำเอาข้าเป็นห่วงแทบแย่” ตั๋งไป๋ลูบอกถอนหายใจ แล้วพูดอย่างมิพอใจว่า “โจรกบฏที่สมควรตายพวกนั้น คิดมิถึงว่าจะกล้าลอบสังหารท่านปู่ จะต้องสอบสวนให้ได้ว่าใครเป็นผู้สั่งการ หากสืบหาตัวได้ให้ฆ่าทิ้งเก้าชั่วโคตร!”
ในคำพูดของตั๋งไป๋ มีเจตนาฆ่าแผ่ออกมาอย่างรุนแรง ขุนนางที่ฟังอยู่ด้านล่างเหล่านั้นต่างพากันขนพองสยองเกล้าไปตามๆกัน
ตั๋งโต๊ะหัวเราะ แล้วชี้มายังซูเจ๋อที่อยู่เบื้องหน้าแล้วพูดว่า “ไป๋เอ๋อร์พูดถูก ผู้ต้องสงสัยตอนนี้ ก็คือชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้เอง ดังนั้นปู่จึงได้เตรียมที่จะนำเขาไปขังคุกเพื่อทำการไต่สวน มิคิดว่าจู่ๆเจ้าจะเข้ามา”
“เขา?” ตั๋งไป๋เหลือบมองซูเจ๋อ นางส่ายหัวแล้วพูดว่า “เขามิใช่ผู้สมคบคิดในการลอบสังหารนี้แน่นอน”
ตั๋งโต๊ะชะงักไป แล้วพูดด้วยความประหลาดใจว่า “ไป๋เอ๋อร์ เจ้าก็มิได้รู้จักเขา แล้วเหตุใดถึงได้แน่ใจขนาดนี้?”
ตั๋งไป๋ขัยับเข้ามาใกล้ตั๋งโต๊ะ แล้วกระซิบที่ข้างหูของตั๋งโต๊ะ
เมื่อฟังจบ ตั๋งโต๊ะก็อดที่จะตกใจมิได้ เขาตะโกนขึ้นว่า “คิดมิถึงว่าจะมีเรื่องแบบนี้? เหตุใดเจ้าจึงมิรีบบอกปู่?”
ตั๋งไป๋ทำหน้ามุ่ย แล้วบ่นว่า “เดิมทีหลานคิดว่าจะรอให้เขามาเข้าพบท่านปู่ แล้วค่อยบอกเรื่องนี้ แล้วให้ท่านปู่ประทานรางวัลให้แก่เขาอย่างดี มิคิดเลยว่าท่านปู่จะจับผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตหลานผู้นี้ไปขังคุก หากเรื่องนี้แพร่ออกไป ตระกูลตั๋งของเราคงต้องแบกรับความอับอายว่าเป็นพวกลืมบุญคุณอย่างนั้นหรือ!”
ตั๋งไป๋รู้สึกขุ่นเคืองใจอย่างเห็นได้ชัด สีหน้าของตั๋งโต๊ะทำตัวมิถูกขึ้นมาทันที
หลังจากหรี่ตาสองสามรอบ ตั๋งโต๊ะก็ตบขาแล้วตะโกนเสียงดังว่า “หลิวจิงเซิงเป็นขุนนางผู้ภักดีของบ้านเมือง มิมีทางสมคบกับเงาฮูเพื่อลอบสังหารข้าอย่างแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้นซูเจ๋อผู้นี้ก็มีโอกาสน้อยที่จะสมคบคิดกับเรื่องนี้อีกด้วย แล้วจะให้โทษขุนนางผู้ภักดีว่าเป็นกบฏในการวางแผนครั้งนี้ได้อย่างไรกัน”
คำพูดออกมาเช่นนี้ เท่ากับว่าปฏิเสธการประนามซูเจ๋อ ยอมรับว่าเขามิมีส่วนเกี่ยวข้องกันกับการลอบสังหาร
‘โชคดีที่คุณหนูตั๋งพูดแทนข้า มิเช่นนั้นข้าคงต้องถูกขังคุกอย่างแน่นอน หากตั๋งโต๊ะถูกสุมไฟให้โกรธไปกว่านี้ มิแน่ว่าเขาอาจสับสนแล้วจับข้าฆ่าทิ้งก็เป็นได้’
ซูเจ๋อถอนหายใจ แอบยินดีกับตัวเอง พร้อมกับมองไปยังตั๋งไป๋ด้วยสายตาขอบคุณ
ทว่าตั๋งไป๋กลับเมินเฉย ราวกับว่าทำตามคำที่ได้พูดไว้ ข้าเพียงช่วยเจ้า มิได้เกี่ยวอะไรกับเจ้า
แต่อ้องอุ้นกลับขมวดคิ้ว สายตาเผยให้เห็นความโกรธที่ยังมิสายเกินไปออกมา เห็นได้ชัดว่าเขาเองก็คิดมิถึงว่าตั๋งไป๋จะมาปรากฏตัวแก้ต่างให้ซูเจ๋อในช่วงเวลาที่สำคัญเช่นนี้
แน่นอนว่าเขารู้อยู่แก่ใจ ว่าเหตุใดตั๋งไป๋ถึงได้พูดแทนซูเจ๋อ เป็นเพราะเรื่องแผนการลอบสังหารตั๋งไป๋เมื่อวันก่อนที่ถูกซูเจ๋อทำลายไปอย่างแน่นอน
แม้ในใจจะโกรธ ทว่าอ้องอุ้นก็กลับมาสงบได้อย่างรวดเร็ว เขาหันไปมองรอบๆ แล้วรีบพูดขึ้นว่า “ใต้เท้าชาญฉลาดยิ่งนัก เมื่อครู่นี้ข้าน้อยได้ลองไตร่ตรองดูแล้ว มิมีเหตุผลอันใดที่หลิวจิงเซิงจะลอบสังหารใต้เท้า หากเราจับทูตของเขาผู้นี้ขังคุก ก็เท่ากับว่าเราสงสัยในตัวเขา กลับกันอาจทำให้เขาคับแค้นใจอีกด้วย”
เมื่อคำพูดนี้ออกมา ซูเจ๋ออดที่จะชายตามองอ้องอุ้นด้วยสายตาเหยียดหยามมิได้ ในใจคิดว่าเจ้าจิ้งจอกเฒ่านี้ช่างปรับตัวได้ทันสถานการณ์ดีเหลือเกิน พอตั๋งไป๋ลงมือก็รีบกลับคำทันที
ตั๋งไป๋ในตอนนี้ ใบหน้าสวยเปลี่ยนจากขุ่นมัวเป็นสดใส ทว่ายังคงมิพอใจ แล้วพูดขึ้นอีกว่า “ท่านปู่ เมื่อครู่นี้ข้ายังได้ยินว่า เป็นเพราะซูเจ๋อร้องเตือนได้ทันเวลา ถึงทำให้ท่านปู่หลบเลี่ยงจากการถูกลอบสังหารได้ เช่นนั้นก็เท่ากับว่าเขาเป็นผู้มีพระคุณต่อท่านสิ ท่านปู่ควรจะตบรางวัลให้เขาถึงจะเหมาะสม”
“คำพูดของไป๋เอ๋อร์มีเหตุผล มีเหตุผลยิ่งนัก” ตั๋งโต๊ะพยักหน้าตาม โบกมือแล้วกล่าว่า “ทหารรีบไปนำทองคำร้อยแท่งเข้ามา ตบรางวัลให้ซูจื่อหมิง”
ทองคำหนึ่งร้อยแท่ง!
นี่ป็นรางวัลมิน้อยเลย ในหัวของซูเจ๋อรีบคำนวณทองเหล่านี้เป็นทหาร อาหารและอาวุธทันที
ในใจของเขาอดที่จะดีใจมิได้ พลางคิดว่าช่างเป็นเส้นทางที่พลิกผันจริงๆ ก่อนหน้านี้มินาน ตัวเองยังเกือบจะได้กลายเป็นนักโทษอยู่แล้ว แต่เพียงชั่วพริบตาก็กลายเป็นผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตตั๋งโต๊ะเอาไว้ และได้รับรางวัลอีกต่างหาก
“ชีวิตคนช่างเหมือนละคร เรื่องราวต่างๆ ยากที่จะคาดเดาเหลือเกิน......”
แม้ว่าในใจจะมีความสุขจนหุบยิ้มมิได้ แต่บนใบหน้าของเขากลับมิได้แสดงอาการใดออกมา เขารีบโบกมือแล้วพูดว่า “ใต้เท้าถือเป็นเสาหลักของราชวงศ์ฮั่นที่ยิ่งใหญ่ การที่ข้าน้อยได้ช่วยใต้เท้า ถือเป็นหน้าที่ มิกล้าที่จะหวังรางวัลแม้แต่น้อย ขอให้ใต้เท้าถอนคำสั่งเถิดขอรับ”
ตั๋งโต๊ะถูกประจบ ก็อดมิได้ที่จะหัวเราะขึ้นมาเสียงดัง แล้วกล่าวด้วยความยินดีขึ้นว่า “คิดมิถึงเลยว่าเจ้าจะมิลละโมบในเงินทอง ดีมาก เช่นนั้นข้าจะเพิ่มรางวัลให้เจ้า ทหาร นำทองสองร้อยแท่งเข้ามาให้ซูจื่อหมิง”
“ใต้เท้า......” ซูเจ๋อแสร้งทำเป็นประหลาดใจหลังจากที่ได้รับรางวัลใหญ่ แล้วรีบปฏิเสธอีกครั้ง
แต่ตั๋งโต๊ะกลับทำหน้านิ่ง แล้วกล่าวว่า “ข้าปูนบำเหน็จความดีความชอบและลงโทษอย่างชัดแจ้งและยุติธรรมเสมอมา เจ้ามีความดีความชอบ หากยังปฏิเสธอีก ข้าคงจะมิสบายใจแล้วนะ!”
พูดมาถึงตรงนี้ หากเขายังมิยอมรับไว้ ก็จะดูมิสมเหตุสมผลสักเท่าไหร่ ซูเจ๋อเข้าใจเรื่องนี้เป็นอย่างดี
ตอนนี้เขามิได้ปฏิเสธต่อ ยกมือคารวะแล้วพูดว่า “เช่นนั้นผู้น้อยต้องขอขอบคุณใต้เท้าที่ปูนบำเหน็จให้ การเคารพเทียบมิได้กับการเชื่อฟังอีกแล้ว”
ตั๋งโต๊ะพอใจมาก พร้อมกับหัวเราะเสียงดัง
ทว่าตั๋งไป๋กลับมิพอใจ พูดขึ้นมาอีกว่า “ท่านปู่ หลานเชื่อว่าความดีความชอบของซูเจ๋อยิ่งใหญ่ยิ่งนัก การปูนบำเหน็จเงินทองแก่เขาเห็นจะมิพอ ต้องเลื่อนตำแหน่งให้เขาถึงจะถูกต้อง”
“อืม ไป๋เอ๋อร์พูดได้มิเลว ข้าว่าเขาก็เป็นผู้มีพรสวรรค์ มิสู้เก็บไว้ในฉางอัน ควรแต่งตั้งตำแหน่งอะไรให้เขาดีนะ......”
ตั๋งโต๊ะเชื่อฟังคำของหลานสาวสุดที่รักอย่างว่าง่าย จากนั้นลูบหนวดเครา ขบคิดว่าจะแต่งตั้งตำแหน่งอะไรให้แก่ซูเจ๋อ
ทว่าซูเจ๋อกลับรู้สึกตื่นตระหนก
ฉางอันถือว่าเป็นสถานที่แห่งความถูกและผิด วันข้างหน้ามิช้าเร็วก็จะกลายเป็นสนามรบนองเลือด หากถึงตอนนั้นกลุ่มต่อต้านตั๋งโต๊ะได้รับชัยชนะ ตัวเองในฐานะ “ผู้ช่วยชีวิตที่มีพระคุณ” มิถูกประหารตามไปด้วยคงจะแปลก
ถึงแม้ว่าตั๋งโต๊ะจะหนีไปได้ แล้วตัวเองติดอยู่ภายใต้การปกครองของชาวซีเหลียง คงมิมีโอกาสต่อสู้ขยายกำลังของตัวเอง
การอยู่ฉางอัน มีผลประโยชน์เป็นร้อยอย่าง แต่ก็มีอันตรายแฝงอยู่มิน้อยเช่นกัน
เขาหันไปมาแล้วรีบยกมือคารวะพร้อมพูดขึ้นว่า “แน่นอนว่าข้าน้อยย่อมยอมเป็นม้ารับใช้ใต้เท้า เพียงแต่ก่อนที่จะจากมา ใต้เท้าหวังจิงโจวฝากความหวังไว้กับข้า บอกว่าหลังจากที่กลับไปที่จิงโจวแล้ว จะแต่งตั้งให้ข้าเป็นเจ้าเมืองปกครองหนานหยาง เก็บกวาดเรื่องยุ่งเหยิงที่หยวนซู่ได้ทิ้งเอาไว้ ข้าน้อยได้รับปากว่าจะแบกรับหน้าที่อันสำคัญนี้แล้ว หากตอนนี้อยู่ฉางอันมิกลับไป ก็เท่ากับว่าผิดคำสัญญาที่ได้ให้ไว้กับใต้เท้าหลิวจิงโจว ข้าน้อยมิอยากเป็นคนที่เชื่อถือมิได้ หวังว่าใต้เท้าจะเห็นใจ”
“เช่นนี้เอง ที่แท้เจ้าก็เป็นคนที่มีสัจจะ ช่างหายากโดยแท้ นี่ยิ่งทำให้ข้าลำบากขึ้นไปอีก......” ตั๋งโต๊ะขมวดคิ้วเข้าหากันอีกครั้ง
ตอนนี้เอง ลิยูที่เงียบมาตลอด กลอกสายตาพร้อมกับยกมุมปากยิ้มอย่างประหลาด
เขาขยับเข้ามาใกล้ตั๋งโต๊ะ แล้วกระซิบว่า “ใต้เท้า หนานหยางทางเหนือติดกับหว่านลั่ว ตะวันตกเชื่อมกับกวนจง ทิศใต้ยังเป็นป้อมปราการจิงโจวอีกด้วย ถือเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญจริงๆ ในเมื่อเล่าเปียวเข้าครอบครองแล้ว พวกเราก็จนปัญญา ซูเจ๋อผู้นี้เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของเล่าเปียว เหตุใดเรามิใช้โอกาสนี้แต่งตั้งเขาเป็นเจ้าเมืองปกครองหนานหยางในนามของราชสำนัก ด้วยวิธีนี้ เท่ากับว่าแสดงความเมตตาต่อซูเจ๋อ จะมิเป็นการดีกว่าหรือ หากเราจะใช้คนที่มีใจซาบซึ้งในใต้เท้าไปเป็นเจ้าเมืองปกครองหนานหยาง”
คำพูดของลิยู ทำให้ตั๋งโต๊ะรู้สึกตัวขึ้นมา ดวงตาทั้งสองบนแก้มอ้วนของเขากลอกไปมา มุมปากค่อยๆ ยกขึ้น
ทันใดนั้นเขาก็ตบโต๊ะ แล้วกล่าวชื่นชมว่า “ในเมื่อเป็นอย่างนี้ ข้าก็คงต้องขอให้ฮ่องเต้มีพระราชโองการ แต่งตั้งให้เจ้าเป็นเจ้าเมืองปกครองเมืองหนานหยาง เจ้าสามารถกลับไปที่จิงโจวอย่างเต็มภาคภูมิ กลับไปรับใช้หลิงจิงโจวและมิเป็นคนที่มิรักษาคำพูด”
เป็นไปตามที่คิดเอาไว้
นัยน์ตาของเขาเปล่งประกายด้วยรอยยิ้มที่แปลกประหลาด เขามองไปยังอ้องอุ้น เห็นนัยน์ตาของเขาฉายแววตกใจปนโกรธแค้นขึ้นมาตามที่คิดเอาไว้
‘อ้องอุ้น ท่านมิสนับสนุนข้าให้เป็นเจ้าเมืองปกครองหนานหยาง เป็นธรรมดาที่จะมีคนช่วยข้า ท่านคงคิดมิถึงว่า คนนั้นจะเป็นตั๋งโต๊ะล่ะสิ......’
ในใจหัวเราะอย่างเย็นชา ทว่ากลับแสดงออกด้วยการคารวะเขา ยกมือขึ้นกล่าวขอบคุณว่า “ขอบพระคุณใต้เท้าที่ไว้วางใจข้าน้อย ข้าน้อยจะช่วยใต้เท้าโจวมู่ปกครองบ้านเมืองอย่างสุดความสามารถ เพื่อปกครองหนานหยางให้ดี”
“ดีดีดี ดีมาก” ตั๋งโต๊ะพยักหน้าอย่างพอใจ จากนั้นโบกมือหัวเราะว่า “หลังจากนี้อีกสามวันข้าจะได้ไปล่าสัตว์ทางตอนเหนือกับฝ่าบาท ถึงตอนนั้นข้าจะแนะนำเจ้าให้ได้เข้าเฝ้าฝ่าบาท เพื่อถวายเครื่องบรรณาการ จากนั้นเจ้าก็กลับจิงโจวไปเป็นเจ้าเมืองปกครองหนานหยางได้”
“ข้าน้อยน้อมรับทุกอย่างที่ใต้เท้ารับสั่ง” ซูเจ๋อรับปาก
ทันใดนั้นตั๋งโต๊ะก็สั่งให้ยุติงานเลี้ยง แล้วโอบเหล่านางกำนัลกลุ่มหนึ่งเดินกลับเข้าด้านในอย่างคึกคัก เพื่อไปหาความสุข
เหล่าขุนนางพากันแยกย้าย ซูเจ๋อถอนหายใจให้กับเหตุการณ์ที่พบเจอในวันนี้ มันช่างพลิกผัน โชคดีที่มิมีอันตรายและเขาผ่านมันมาอย่างปลอดภัย มิเพียงแต่ได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าเมืองปกครองหนานหยางเท่านั้น เขายังได้รับทองคำเป็นรางวัลอีกสองร้อยแท่ง เขารวยแล้ว!
ขณะที่ถอนใจให้กับตัวเองอยู่นั้น อ้องอุ้นกลับเดินผ่านมาจากด้านข้าง ก่อนจะหัวเราะเบาๆ แล้วพูดว่า “ทูตซูผู้ถวายเครื่องบรรณาการช่วยใต้เท้าได้สำเร็จ และยังได้รับปูนบำเหน็จนี้จากใต้เท้า ช่างน่ายินดีจริงๆ ข้าขอแสดงความยินดีด้วย”
“ใต้เท้ายกย่องเกินไปแล้ว” ซูเจ๋อตอบกลับอย่างเย็นชาแต่ยังมีมารยาท มองสำรวจอ้องอุ้นด้วยแววตาที่เฉียบแหลม
ใบหน้ายิ้มแย้มที่ดูจริงใจนั้น มิได้มีความเป็นศัตรู มิมีความโกรธเคืองย้อนหลัง หลังจากที่แผนการถูกทำลายใดๆ ทำให้คนรู้สึกว่าความยินดีของอ้องอุ้นนี้มาจากใจจริงๆ
“คำพูดเมื่อสักครู่นี้ของข้า ก็เพียงแค่ทำให้มันเป็นธรรมเท่านั้น มิได้ชี้เป้าไปที่ทูตซูเจ๋อ ยิ่งไปกว่านั้นก็มิได้ชี้เป้าไปที่หลิวจิงโจวด้วย และยังหวังว่าทูตซูเจ๋อจะมิถือสา”
“หามิได้ หามิได้ ท่านมหาอุปราชทำสิ่งที่เที่ยงตรง มิเห็นแก่เรื่องส่วนตัว หากข้าน้อยจะชื่นชมก็สายไป จะตำหนิได้อย่างไร”
“ก็ดี ก็ดี” อ้องอุ้นหัวเราะอย่างปลื้มปีติ “ตอนที่ทูตซูเจ๋อจะกลับไปที่จิงโจว ข้าจะจัดงานเลี้ยงส่งท่านที่จวน ถึงตอนนั้นขอเรียนเชิญท่านทูตมาให้ได้”
“แน่นอนขอรับ นี่ถือเป็นเกียรติของข้าน้อยยิ่งนัก” ซูเจ๋อเองก็ยิ้มตอบรับไปเช่นกัน
หลังจากสนทนาพอเป็นพิธีรีตองแล้ว อ้องอุ้นจึงได้บอกลา
มองอ้องอุ้นจากไปที่ด้านหลัง ซูเจ๋อแอบคิดในใจว่า ‘อ้องอุ้นผู้นี้ ช่างเกิดมาเพื่อเป็นนักแสดงโดยแท้จริง แสดงได้อย่างแนบเนียน มิแปลกที่เขาจะได้รับความไว้วางใจจากตั๋งโต๊ะ ผู้ที่มีชื่อเสียงในประวัติศาสตร์แต่ละคนนั้นล้วนมิใช่เล่นๆ เลย......’
ขณะที่เขาขบคิดอยู่นั่นเอง ด้านหลังก็มีเสียงกระแอมใสๆ ของหญิงสาวดังขึ้น
ซูเจ๋อหันกลับมา เห็นว่าตั๋งไป๋มิได้จากไปไหน มิรู้ว่านางมายืนอยู่ด้านหลังของเขาตั้งแต่เมื่อใด
เขารีบทำความเคารพ ขณะที่กำลังจะกล่าวขอบคุณตั๋งไป๋นั้น ตั๋งไป๋ก็ได้ตบไหล่เขา แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่เหมือนกับออกคำสั่งว่า “เจ้า มากับข้า!”