ตอนที่ 32 ชายหญิงอยู่กันตามลำพังสองต่อสอง
พูดจบ ซูเจ๋อก็ยังนิ่งเฉยอยู่ ตั๋งไป๋จึงใช้สองมือไพล่หลัง ก่อนจะเดินจากไป
ซูเจ๋อได้สติกลับมา เขารู้ว่าคุณหนูน้อยผู้นี้คือแก้วตาดวงใจของตั๋งโต๊ะ จึงได้เดินตามหลังนางไป
คนหนึ่งอยู่ด้านหน้า อีกคนหนึ่งติดตามอยู่ด้านหลัง ทั้งสองเดินเข้าไปในจวนของใต้เท้า เลี้ยวไปมาตามทางเดินสองสามครั้ง ผ่านสนามหญ้าสองสามแห่ง จนมาถึงเรือนชั้นใน ซึ่งเป็นห้องพักส่วนตัวของตั๋งไป๋
ที่ด้านนอกประตู มีทหารหญิงหลายคนอาวุธครบมือ ยืนประจำการด้วยท่าทางเคร่งขรึม เมื่อพวกนางเห็นซูเจ๋อซึ่งเป็นคนแปลกหน้า พวกนางจึงจ้องมองเขาและอยู่ในท่าเตรียมพร้อมด้วยท่าทางระมัดระวังขึ้นมาทันที
ตั๋งไป๋เดินเข้าห้องไป แต่ซูเจ๋อยังคงยืนอยู่นอกธรรณีประตู มิได้ตามนางเข้าไป
“เจ้ายืนข้างนอกอยู่ทำไม เข้ามาสิ” ตั๋งไป๋หันกลับมามองและตะโกนเรียกเขา
ซูเจ๋อไอเบาๆ เขาหัวเราะแล้วพูดว่า “นี่เป็นที่พักส่วนตัวของคุณหนู จึงมิเหมาะที่ข้าน้อยจะเข้าไปขอรับ”
“ไร้สาระ ข้าบอกให้เจ้าเข้ามาเดี๋ยวนี้!” น้ำเสียงของตั๋งไป๋ดูร้อนใจอยู่เล็กน้อย
ซูเจ๋อชะงัก แต่ก็มิมีทางเลือก นอกจากเดินเข้าไปในห้องพักของนางอย่างเสียมิได้
ทันทีที่เข้าไป เขาถึงกับอ้าปากค้างด้วยความตกใจ
ห้องพักส่วนตัวของบุตรสาวบ้านอื่นมักตกแต่งให้ดูอบอุ่นน่ารัก แต่ห้องของตั๋งไป๋นั้น ทั่วทั้งห้องเต็มไปด้วยอาวุธ ยกเว้นเตียงนอน นี่มันคลังเก็บอาวุธชัดๆ
“คุณหนู ห้องของท่านช่างต่างจากสตรีทั่วไปจริงๆ” ซูเจ๋อพยายามพูดชมเชย โดยมิทำให้เสียบรรยากาศและลดความรู้สึกอึดอัดลง
“พวกเจ้าออกไปให้หมด แล้วปิดประตูให้ข้าด้วย!” ตั๋งไป๋มิได้สนใจเขาเลย แต่กลับตะโกนไล่ทหารองค์รักษ์ทั้งซ้ายและขวาแทน
องค์รักษ์หญิงเหล่านั้นถอยออกไป ประตูถูกปิดสนิท ในห้องจึงเหลือเพียงเขากับนางแค่สองคน
จู่ๆ ซูเจ๋อก็เริ่มรู้สึกกังวลขึ้นมา เมื่อเห็นว่าในห้องมิมีใครอื่นแล้ว นอกจากเขากับนาง และเห็นว่าตั๋งไป๋ยังคงหันหลังให้เขา เขาชักจะรู้สึกสังหรณ์ใจมิดีเลย
ทันใดนั้น ดวงตาของเขาถึงกับเบิกตากว้าง หายใจเข้าออกถี่ๆ
นั่นเป็นเพราะเขาเห็นตั๋งไป๋ที่ยังหันหลังให้เขาอยู่นั้น บัดนี้นางยกมือขึ้นปลดเข็มขัด และเริ่มถอดเสื้อผ้าของตัวเองออก ทำราวกับว่าเขามิได้อยู่ในห้องด้วย
นี่มันเรื่องอะไรกันเนี่ย!
นางไล่ผู้ติดตามออกไป แล้วยังเปลื้องผ้าของตัวเองอีก ดูแล้วเป็นไปได้ไหมว่านางจะมอบกายให้เขา?
ซูเจ๋อใจเต้นแรง เขารีบทักท้วง ก่อนจะพูดอย่างเขินๆ ว่า “เอ่อ คุณหนูขอรับ ข้าน้อยเป็นเพียงคนธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น พวกเราเพิ่งจะเคยพบกันเพียงแค่ครั้งเดียว คุณหนู ท่านรีบร้อนเกินไปหรือไม่ อย่างไรเสีย พวกเราควรจะทำความรู้สึกซึ่งกันและกันก่อน...”
ยังมิทันที่จะพูดจบ ตั๋งไป๋ก็สะบัดแขน และทันใดนั้นเองชุดชั้นในที่สวมอยู่ก็หลุดออกจากบ่าของนาง ก่อนจะเลื่อนลงพื้น
พริบตาเดียว หัวใจของซูเจ๋อก็แทบจะพุ่งออกมาจากคอด้วยความประหม่า
วินาทีต่อมา เขาก็รู้สึกว่าตัวเองโง่เขลาเหลือเกิน
ภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้ามิใช่อย่างที่เขาคิด เมื่อตั๋งไป๋ถอดกางเกงชั้นในออก ด้านในยังมีชุดเกราะชนิดอ่อน กับมีดสั้นแนบอยู่ที่เอวของนาง
‘ที่แท้นางก็แค่ถอดชุดแดงออกเพื่อจะอวดชุดเกราะนี่เอง ซูเจ๋อเอ้ย ซูเจ๋อ เจ้าคิดมากเกินไปแล้ว...’ ซูเจ๋อถอนหายใจอย่างโล่งอก เขาหัวเราะเยาะตัวเอง ทว่าในดวงตาปรากฏแววผิดหวังอยู่บ้าง
เขาเพิ่งจะสงบสติอารมณ์ลงได้ จู่ๆ ตั๋งไป๋ก็หันตัวกลับมา เขาถึงพบว่านางใช้กระบี่จี้ที่คอของเขาแล้ว โดยที่เขามิทันจะได้ตอบโต้เลยด้วยซ้ำ
ตั๋งไป๋เพียงแค่ออกแรงเบาๆ หากกระบี่แทงลึกเข้ามาหนึ่งนิ้วก็สามารถปลิดชีพเขาได้อย่างง่ายดายแล้ว
ซูเจ๋อถึงกับผวา คิ้วดาบของเขาขมวดขึ้นทันที เขาพูดด้วยน้ำเสียงเข้มขึ้นว่า”คุณหนู ท่านทำเช่นนี้หมายความอย่างไรกัน?”
ดวงตาคมกริบของตั๋งไป๋จ้องเขาอย่างเอาเป็นเอาตาย นางตวาดถามเขาว่า ” พูด! ทำไมเจ้าถึงต้องสมคบคิดกับนักโทษเพื่อลอบสังหารปู่ของข้า?”
ซูเจ๋อตกใจไปชั่วขณะ แต่เขาก็ยังคงมิได้ตอบคำถามในทันที
นี่มันเรื่องอะไรกัน เมื่อกี้นี้ นางยังพูดกับตั๋งโต๊ะอยู่เลย ว่าเขามิได้มีส่วนร่วมในการลอบสังหารตั๋งโต๊ะ แถมยังกล่อมตั๋งโต๊ะให้มอบรางวัลให้ตนเอง ทำให้ตัวเขาเองก็หลงเชื่อซะสนิทใจ
แต่ชั่วพริบตาเดียว นางก็เอากระบี่ชี้มาที่ตัวเขา ถามเขาว่าทำไมต้องคิดลอบฆ่าตั๋งโต๊ะอีก
นางนี่อารมณ์แปรปรวนเร็วกว่าเปลี่ยนหน้าหนังสืออีกนะเนี่ย!
ความคิดของซูเจ๋อเปลี่ยนไปมาเหมือนดั่งกระแสน้ำ สมองประมวลผลคำพูดทั้งหมดไปมาอย่างรวดเร็ว มินานก็ได้ข้อสรุป
เขาสูดหายใจเข้าเฮือกใหญ่ ชั่วครู่ เขาก็กลับมาสุขุมอีกครั้งหนึ่ง
เขาเผชิญหน้ากับคมกระบี่เย็นเฉียบตรงหน้าอย่างมิหวั่นเกรง แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า "ข้ามิได้สมรู้ร่วมคิดกับนักโทษที่มาลอบสังหารท่านใต้เท้า เมื่อกี้ตอนอยู่ในห้องโถง ข้าก็ได้ชี้แจ้งไปแล้ว คุณหนู ถ้าท่านมิได้ยินคำชี้แจงเหล่านั้น ข้าสามารถอธิบายให้ฟังอีกครั้งได้นะ”
“ข้าได้ยินคำอธิบายของเจ้า แต่ข้ามิเชื่อ!”
ข้อมือของตั๋งไป๋สั่นเล็กน้อย นางขยับคมกระบี่เข้าไปใกล้เขาขึ้นอีก แล้วพูดอย่างเย็นชาว่า "ข้ารู้ว่าเจ้าโกหก ตอนนี้ข้าต้องการให้เจ้ารับสารภาพมา มิอย่างนั้น ข้าจะฆ่าเจ้าในดาบเดียว!”
“ในเมื่อคุณหนูมิเชื่อข้า เหตุใด เมื่อครู่ ตอนอยู่ในท้องพระโรงถึงได้ช่วยแก้ต่างให้ข้าพ้นความผิดด้วยเล่า นั่นมิใช่สอนจระเข้ว่ายน้ำหรือไรกัน” ซูเจ๋อตั้งคำถามนางกลับไปบ้าง
ตั๋งไป๋ตอบโต้กลับไป "ข้าพูดไปแล้ว ว่าข้าตั๋งไป๋มิอย่าติดหนี้บุญคุณใคร ก่อนหน้านี้เจ้าช่วยชีวิตข้าไว้ ข้าก็แค่ตอบแทนบุญคุณเจ้า ตอนนี้เจ้ากับข้าหามีหนี้บุญคุณต่อกันไม่ เจ้าคิดทำร้ายปู่ของข้า ข้าต้องการชีวิตของเจ้า”
ที่แท้ก็อย่างนี้นี่เอง คุณหนูตั๋งผู้นี้ ตรงไปตรงมาดี มิพอใจก็แสดงออกมาตรงๆ ว่ามิพอใจ
ซูเจ๋อสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วพูดเสียงเรียบว่า “ข้ามิเคยทำเรื่องพวกนี้ สิ่งที่ข้ามิได้ทำ ข้าย่อมมิอาจยอมรับว่าข้าทำได้ หากคุณหนูตั๋งยังยืนกรานที่จะมิเชื่อ ข้าก็มิมีทางเลือกอื่น จะฆ่าก็ฆ่า สุดแต่ท่านก็แล้วกัน”
พูดจบ ซูเจ๋อก็หลับตาลง ยอมรับความตายอย่างสงบ โดยมิมีท่าทางหวาดกลัวแต่อย่างใด
เขาเดาว่า ตั๋งไป๋คงมิเชื่อว่าเขาจะมีส่วนร่วมในการลอบสังหารนี้เช่นกัน นางเพียงแค่อยากลองใจเขาเฉยๆ
เมื่อตั๋งไป๋เห็นซูเจ๋อมิมีท่าทางหวาดกลัวเลย ความรู้สึกอยากจะฆ่าที่แสดงออกใบหน้าของนางก็ดูผ่อนคลายลงเล็กน้อย นางถามเขาอีกครั้งว่า “ข้าจะถามเจ้าอีกครั้ง เจ้ามีส่วนร่วมในการลอบสังหารปู่ของข้าหรือไม่”
น้ำเสียงของนางอ่อนโยนขึ้นกว่าเดิม มิแข็งกระด้างเหมือนก่อนหน้านี้ แม้ว่าจะเป็นคำถามเดิมก็ตาม นั่นยิ่งทำให้ซูเจ๋อมั่นใจมากขึ้นว่า นางก็แค่ลองใจดูว่าเขาพูดจริงหรือไม่
เมื่อวิเคราะห์จิตใจของนางได้แล้ว ซูเจ๋อก็วางใจ เขาพูดด้วยน้ำเสียงปกติ โดยมิแม้แต่จะลืมตาขึ้นมา ”ข้าจะมิพูดซ้ำอีก คุณหนูเป็นสตรีที่ฉาญฉลาดเช่นนี้ ท่านก็น่าจะพิจารณาด้วยตนเองได้”
หลังจากจ้องมองเขาอยู่นาน คิ้วหนาของตั๋งไป๋ค่อยๆ คลายออกจากกัน จิตสังหารที่อยู่บนใบหน้าเย้ายวนของนางก็พลันมลายหายไป ความสงสัยในดวงตาของนางก็หายไปด้วย ดังนั้น นางจึงได้เก็บกระบี่กลับเข้าฝักดังเดิม
ซูเจ๋อถอนหายใจด้วยความโล่งอก พอเขาลืมตาขึ้นอีกครั้ง ก็แกล้งทำเป็นแปลกใจ แล้วตีหน้างุนงง "คุณหนู นี่มันหมายความอย่างไรกัน”
“ก็มิมีอะไร ข้าก็แค่ปลอดภัยไว้ก่อน เลยต้องทำเช่นนี้” ตั๋งไป๋ตอบเสียงเบาดูเป็นปกติ ราวกับมิได้สนใจว่าซูเจ๋อจะรู้สึกอย่างไร
“ข้าก็มิได้คิดว่าผลมันจะออกมาเป็นเช่นนี้นี่นา...”
ซูเจ๋อแอบยิ้มเยาะในใจ แต่ใบหน้าทำเป็นรำคาญ เขาทำทีเป็นพูดด้วยน้ำเสียงมิพอใจว่า "แม้ข้าน้อยแซ่ซูจะไร้ความสามารถ แต่ก็ยังพอมีความดีความชอบถึงสองครั้ง ที่เคยช่วยคุณหนูและใต้เท้าตั๋ง ถ้านี่ยังมิเพียงพอที่จะทำให้คุณหนูเชื่อใจได้ ข้าน้อยแซ่ซูก็จนใจแล้วจริงๆ ในเมื่อคุณหนูมิคิดจะฆ่าข้าน้อยแซ่ซูแล้วละก็ อย่างนั้น ข้าน้อยขอลา”
พูดจบ ซูเจ๋อก็รีบหันหลังกลับ และกำลังจะผลักประตูออกไป
“หยุดอยู่ตรงนั้น!” ตั๋งไป๋ตวาด
ซูเจ๋อหยุดเดิน เขาพูดเสียงเรียบโดยมิแม้แต่จะหันศีรษะมา “คุณหนูยังสงสัยเรื่องใดอีก?”
ทันใดนั้น ดวงตาเย็นชาของตั๋งไป๋ปรากฏแววขอโทษ นางกัดริมฝีปากก่อนจะถอนหายใจพูดว่า "จริงๆ แล้วข้ามิควรสงสัยเจ้า เพียงแต่ตระกูลตั๋งของข้าได้ล่วงเกินผู้คนใต้หล้านี้ ยิ่งในเมืองฉางอานนี้แล้ว มิรู้ว่ามีผู้คนมากน้อยเท่าไร ที่ต้องการชีวิตของท่านปู่ของข้า ข้าจึงต้องระมัดระวังมากเป็นพิเศษ หวังว่าเจ้าจะเข้าใจ”
น้ำเสียงของตั๋งไปที่กำลังพูดกับเขาในเวลานี้ ฟังดูอ่อนโยนขึ้น เขารู้ว่านี่คือคำขอโทษของนาง เพราะด้วยบุคลิกที่เย่อหยิ่งทะนงตนอย่างนาง การที่นางยอมทำถึงขั้นนี้แล้ว หากซูเจ๋อยังมิยอมให้อภัย มันก็ดูจะใจแคบเกินไปแล้ว
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง” ซูเจ๋อหันหลังกลับมา บนใบหน้ามิปรากฏการตำหนิใดๆ แล้วพูดว่า "ดูไปแล้ว คุณหนูก็เป็นเพียงบุตรีที่กตัญญูคนหนึ่งเท่านั้น ข้าน้อยแซ่ซูเข้าใจความรู้สึกของคุณหนูเป็นอย่างดี โปรดอย่างเก็บเรื่องนี้มาใส่ใจ ข้าลืมมันไปแล้ว”
“เอ๊ะ ค่อยโล่งใจหน่อย คนๆ นี้ ทั้งกล้าแค้นและสามารถปล่อยวางได้ เขาใจกว้างกว่าพวกแม่ทัพและขุนนางที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของท่านปู่ของข้าเสียอีก”
ตั๋งไป๋พยักหน้าให้ด้วยความชื่นชม ที่เขาเข้าใจ มิถือโทษโกรธนาง
บรรยากาศตึงเครียดภายในห้องส่วนตัวนี้ ถูกคลี่คลายลงในที่สุด
ซูเจ๋อยิ้มและพูดว่า “ขอบคุณคุณหนูที่ยกย่อง พูดกันตามตรงแล้ว เรื่องที่คุณหนูทำเรื่องเมื่อครู่นี้ ทำให้ข้าตกใจมาก เริ่มจากที่ข้าเห็นคุณหนูปลดเปลื้องเสื้อผ้า ยังคิดว่า...”
คำพูดที่เหลือยังมิทันหลุดออกจากปาก เขาก็รู้ถึงความผิดปกติบางอย่าง จึงมิได้พูดต่อ เพียงแค่ยิ้มเท่านั้น
“เจ้ายังอะไร?” ตั๋งไป๋มิเข้าใจความหมาย จึงถามเพราะความสงสัย
ซูเจ๋อมิต้องการพูดขยายความเหล่านั้นให้ชัดเจนไปกว่านี้ จึงทำเพียงโบกมือและพูดว่า "อันที่จริง ก็มิได้มีสิ่งใด”
ตั๋งไป๋มิยอม จึงมองเขาด้วยสายตาที่เย็นชา นางตวาดถามว่า "ข้าเกลียดพวกบัณฑิตที่รู้หนังสือ แต่พูดมิรู้เรื่องอย่างเจ้าที่สุด พูดมา เจ้าคิดว่าข้าจะทำอะไร?”
ตั๋งไป๋มิชอบคนพูดมาก เพราะความเคยชินตามประสาของผู้ฝึกยุทธ์ นางจึงเริ่มโมโหและกำลังจะชักดาบออกมาฟันซูเจ๋อ เพราะรำคาญที่พูดมาก มิเข้าประเด็นสักที
‘ยัยเด็กนี่ แม่นางตั๋งไป๋ผู้นี้ไร้เหตุผลกว่าแม่นางไช่ซูนั้นเสียอีก ถ้าเอามาเปรีบบเทียบกันแล้ว ไช่ซูกลายเป็นกุลสตรีตัวอย่างไปเลย...’
ซูเจ๋อแอบบ่น ได้แต่ไอแห้งๆ แล้วพูดว่า "นี่คือสิ่งที่คุณหนูบังคับให้ข้าพูด คุณหนูต้องรับปากกับข้าก่อนว่า ถ้าข้าบอกไปแล้ว ห้ามโกรธ และห้ามชักกระบี่มาฟันข้า”
“พูดเถอะ คุณหนูอย่างข้ามิใช่พวกคิดเล็กคิดน้อย” ตั๋งไป๋สังเกตเห็นอาการของเขา จึงได้รีบปล่อยมือจากด้ามกระบี่
“ได้ เช่นนั้น ข้าจะพูดตรงๆ เลยแล้วกัน”
ซูเจ๋อครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง มิมีทางเลือกอื่น จึงจำเป็นต้องพูดช้าๆ ว่า "คืออย่างนี้ คุณหนูพาบุรุษอย่างข้าที่มิได้คุ้นเคยกันเข้ามาในห้องส่วนตัวของตนเอง ไล่ทหารองค์รักษ์หญิงออกไปจนหมด แล้วปิดประตูอย่างแน่นหนา อยู่กันตามลำพังชายหญิง แล้วจู่ๆ คุณหนูก็ปลดเปลื้องเสื้อผ้าอย่างไร้เหตุผล ข้าเลยคิดว่าคุณหนูวางแผนจะใช้กำลังกับข้า เพื่อให้ข้า...แค่ก แค่ก คุณหนูเข้าใจความหมายแล้วใช่หรือไม่”
เล่ามาถึงตรงนี้ แม้แต่คนโง่ก็ยังเข้าใจว่าเขาหมายถึงเรื่องอะไร
ตั๋งไป๋ชะงักไปครู่หนึ่ง จึงกระจ่างชัดในเรื่องทั้งหมด จนกลั้นหัวเราะไว้มิอยู่
นางถึงกับหัวเราะออกมา
ใบหน้าเย็นชาราวกับกุหลาบมีหนามของคุณหนูใหญ่แห่งตระกูลตั๋ง บัดนี้กำลังยิ้มอย่างเบิกบานใจต่อหน้าเขา ช่างเป็นหญิงสาวที่ดูอบอุ่น สดใสสมวัยยิ่งนัก
ตอนนั้น ซูเจ๋อมองดูใบหน้าที่กำลังหัวเราะนั้นอย่างหลงใหล เขามิอยากจะเชื่อเลยว่า หญิงสาวที่กำลังหัวเราะดังลั่นคนนี้กับนักฆ่าหญิงเลือดเย็นโหดเหี้ยมเมื่อสองวันก่อนคนนั้น จะเป็นคนๆ เดียวกัน
“เจ้านี่นะ จริงจังเกินไปแล้ว ข้ามิได้คาดคิดเลยว่าเจ้าจะมีความคิดอกุศลเช่นนั้นได้” ตั๋งไป๋หยุดหัวเราะแล้วพูดเชิงประชดประชันไป
จู่ๆ ซูเจ๋อก็รู้สึกอับอาย จนถึงกับยิ้มแหยๆ ออกมา เขาเถียงกลับไปว่า "จะกล่าวอย่างนี้ก็มิถูก หากมีบุรุษใด มีโอกาสได้อยู่กับสตรีที่งดงามอย่างคุณหนูตามลำพังเช่นข้า ข้าเชื่อว่าบุรุษผู้นั้นก็ต้องเข้าใจผิดเช่นเดียวกันกับข้า”
คำว่า “สตรีที่งดงาม” ทำเอาตั๋งไป๋ฟังแล้วรู้สึกวาบหวามใจอยู่บ้าง ดวงตาที่เย็นชาปรากฏความพึงพอใจ ทำให้ปากที่กำลังเม้มมีรอยยิ้มน้อยๆ ปรากฏให้เห็น
แต่มินาน นางก็รีบหุบยิ้ม กลับมาทำตัวเย่อหยิ่งดังเดิมอีกครั้ง
นางมองซูเจ๋อด้วยสายตาที่บอกว่านางมิได้คิดอะไรกับเขาเลย แล้วยิ้มเยาะว่า "เจ้าอย่าหลงตัวเองไปหน่อยเลย คุณหนูอย่างข้า มิสนใจพวกบัณฑิตคร่ำครึเหล่านี้หรอก แม้แต่แรงเฉือดไก่ก็ยังมิมีเลย เจ้าคิดว่าข้าจะลวนลามเจ้าอย่างนั้นจริงน่ะหรือ น่าขันสิ้นดี”
“ใช่ ใช่แล้ว เป็นข้าน้อยที่คิดไปเอง ทำให้คุณหนูต้องขบขันแล้ว เช่นนั้น ถ้าคุณหนูมิได้มีเรื่องใดจะสนทนากับข้าน้อยแล้ว ข้าน้อยต้องของลาไปก่อนแล้วขอรับ”
เมื่อสบโอกาสที่จะหนีจาก “กรงเล็บปีศาจ” ของคุณหนูตั๋ง ซูเจ๋อจึงรีบขอตัวออกมา ด้วยการยกมือประสานคารวะเพื่อบอกลาอย่างรวดเร็ว
ตั๋งไป่ดูเหมือนจะเบื่อเขาเหมือนกัน อยากให้เขาออกไปไวๆ เลยโบกมือแล้วปล่อยเขาออกไป
แต่เมื่อซูเจ๋อเดินออกจากประตูห้องไป นางก็ทนมิไหว ต้องลุกขึ้นมายืนดูแผ่นหลังของซูเจ๋อที่ค่อยๆ เดินลับสายตาไป
ระหว่างที่ตั๋งไป๋มองชุดสีเขียวจากด้านหลังที่ค่อยๆ ห่างออกไป นางครุ่นคิดและพึมพำว่า “เจ้าบุรุษผู้นี้ มิเหมือนกับพวกบัณฑิตคร่ำครึเหล่านั้นจริงๆ…...”