px

เรื่อง : ข้ามีดาวเที่ยมในยุคสามก๊ก (นิยายแปล) ปลดล๊อคตอนฟรี 3 วัน 1 ตอน
ตอนที่ 33 หุ่นเชิด


ตอนที่ 33 หุ่นเชิด

 

หลังจากนั้นสามวัน ณ ชานเมืองทางเหนือของเมืองลั่วหยาง

 

กองทัพทหารม้าที่แข็งแกร่งของซีเหลียงนับพันได้เคลื่อนทัพใหญ่อย่างเอิกเกริกนี้เดินทางเข้าสู่ทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่ กระโจมหลวงของฮ่องเต้รายล้อมด้วยทหารราชองครักษ์คุ้มกันอย่างแน่นหนา ด้านหน้ามีธงผืนใหญ่ปักตัวอักษร “ตั๋ง” ดูสะดุดตายิ่งนัก

 

ตั๋งโต๊ะที่มีรูปร่างอ้วนฉุ ขี่ม้าล้ำค่าจากซีเหลียงอยู่ด้านหน้าของเหล่าทหารด้วยท่าทางกระฉับกระเฉงเบิกบานใจ

 

ตอนนี้เป็นช่วงเข้าต้นฤดูใบไม้ผลิแล้ว อากาศเริ่มอบอุ่นขึ้น เนื่องจากมิมีสงครามมาเป็นระยะเวลานาน ตั๋งโต๊ะที่มิได้ออกรบมานาน เพื่อแสดงให้ฮ่องเต้ได้เห็นถึงความแข็งแกร่ง จึงได้อาสาออกลาดตระเวนนำทางให้ก่อน

 

ทหารแนวหน้าเดินทางขึ้นเหนือไปกว่าสามสิบลี้ บริเวณนี้มีผู้คนอาศัยอยู่น้อย จำนวนสัตว์ที่ต้องการล่า เช่น กวาง แกะป่า ก็ยิ่งมีเพิ่มมากขึ้น ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่เหมาะแก่การล่าสัตว์

 

ตั๋งโต๊ะจึงสั่งให้แม่ทัพตั้งค่ายพักแรม ณ บริเวณนี้ เพื่อความสะดวกในการล่าสัตว์ในช่วงเวลากลางวัน และเลี้ยงฉลองในเวลากลางคืน เหยื่อที่ล่าได้จะถูกนำมาปรุงเป็นอาหาร และจะดื่มกินกันอย่างสำราญใจ

 

เช้าตรู่ของวัน

 

ภายในค่าย ซูเจ๋อกำลังนั่งดื่มสุราชั้นเลิศแกล้มกับถั่วปากอ้าอย่างสบายอารมณ์

 

“ฮู่ๆ” ซูเซี๋ยวเสี่ยวหอบเสียงดัง เนื่องจากนางวุ่นอยู่กับการขนย้ายกระเป๋าสัมภาระต่างๆ เข้ามาทีละใบ แล้วจัดเก็บทั้งหมดให้เป็นระเบียบเพื่อสะดวกในการใช้สอย กว่าจะเสร็จก็เล่นเอาเหนื่อยอยู่มิใช่น้อย

 

“คุณชายเจ้าค่ะ ตอนนี้อากาศก็เริ่มร้อนขึ้นแล้ว ทุกคนเปลี่ยนไปใส่เสื้อชั้นเดียวกันหมดแล้ว ท่านให้ข้าเอาเสื้อหนังสัตว์ที่ทั้งหนา ทั้งหนักมาทำไมตั้งมากตั้งมายเจ้าค่ะ ท่านมิกลัวว่าข้าจะเหนื่อยตายหรือไงกันเจ้าค่ะ”

 

ซูเซี๋ยวเสี่ยวปากก็บ่นพึมพำ ตาก็มองไปที่กระเป๋าที่เต็มไปด้วยเสื้อคลุมหนังสัตว์ที่หนาและหนักจำนวนมากเหล่านั้น

 

ดวงตาของซูเจ๋อเป็นประกาย เขายิ้มแล้วกล่าวว่า  “ถ้าเจ้ามิเตือน ข้าก็เกือบลืมไปแล้วซิ เจ้าเอาเสื้อคลุมหนังสัตว์พวกนี้มาใส่ไว้ซะก่อน เดี๋ยวข้าค่อยใส่”

 

“คุณชาย ท่านจะเล่นตลกอะไรอีกเจ้าค่ะ” ซูเซี๋ยวเสี่ยวทำหน้าประหลาดใจ “ตอนนี้พระอาทิตย์ส่องแสงอบอุ่นขนาดนี้ ใกล้จะเข้าฤดูร้อนแล้วนะเจ้าค่ะ ท่านจะให้ข้าใส่เสื้อคลุมหนังหนาๆ แบบนี้ มิกลัวข้าเหงื่อออกท่วมตัวจนตัวเหม็นหรือเจ้าค่ะ”

 

ซูเจ๋อแย้งกลับไปว่า  “เจ้านี่มิรู้อะไร ฤดูใบไม้ผลิอากาศเปลี่ยนแปลงเร็วที่สุด เดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาว ข้าเดาว่าอีกมินาน ท้องฟ้าจะเปลี่ยน”

 

“ท้องฟ้าเปลี่ยนหรือ? มิมีทางหรอกเจ้าค่ะ” ซูเซี๋ยวเสี่ยวเหลือบมองดวงอาทิตย์ที่กำลังส่องสว่างอยู่ด้านนอก อย่างมิอยากจะเชื่อ

 

“ใช่แล้ว รีบไปบอกจิวฉองและพี่น้องของเขาให้ใส่เสื้อคลุมหนังสัตว์ด้วย แล้วให้ระวังอาการบาดเจ็บพุพองที่เกิดจากความหนาวเย็นด้วย” ซูเจ๋อออกคำสั่งอย่าง “เข้มงวด” โดยมิได้สนใจคำทัดทานของซูเซี๋ยวเสี่ยวเลย

 

ซูเซี๋ยวเสี่ยวมิมีทางเลือกอื่น นอกจากทำตามคำสั่งเท่านั้น

 

เวลานี้ ที่ด้านนอกกระโจมมีเหล่าข้าราชบริพารของฮ่องเต้มาแจ้งว่า ฮ่องเต้มีราชโองการให้เขาเข้าเฝ้า เพื่อถวายเครื่องบรรณาการที่กระโจมหลวงโดยด่วน

 

ดวงตาของซูเจ๋อเป็นประกาย เขาลุกขึ้นยืน ยกมือประสานคารวะแล้วพูดว่า  “ในที่สุดเวลานี้ก็มาถึงซะที รีบไปบอกจิวจื่อเฟิ่ง บอกให้เขานำเครื่องบรรณาการมาในทันที แล้วตามข้าไปเข้าเฝ้าด้วยกัน”

 

ตั้งแต่เขามาถึงฉางอาน มีหลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้นกับเขา พลิกไปพลิกมา จนเกือบจะเอาชีวิตมิรอด เขาถึงได้รู้ว่าฉางอานเป็นเมืองที่มีอันตรายอยู่รอบด้านเต็มไปหมด ถ้ามิจำเป็นก็มิควรอยู่ที่ฉางอานนานเกินไป

 

ในที่สุดก็ได้เข้าเฝ้าฮ่องเต้ซะที เขาถวายเครื่องบรรณาการให้กับพระองค์ รีบทำภารกิจให้เสร็จ แล้วรีบออกจากฉางอานให้เร็วที่สุด จะได้พ้นภัยจากสงครามที่จะเกิดขึ้นเร็วๆ นี้

 

ซูเจ๋อคว้าเสื้อคลุมหนังสัตว์ขึ้นมาคลุมแล้วเดินออกจากกระโจมไป

 

ที่ด้านนอกกระโจม จิวฉองกับทหารทั้งหมดสวมเสื้อคลุมหนังสัตว์ ทุกคนเริ่มร้อนเพราะมีเหงื่อออกจนเปียกชื้นตัวไปหมด

 

 “คุณชาย พวกเราต้องใส่เสื้อคลุมหนังสัตว์นี้ไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้จริงๆ หรือขอรับ?” จิวฉองถามอย่างสงสัย มือก็พลางดึงเสื้อคลุมหนังสัตว์ที่สวมอยู่อย่างมิค่อยสบายตัวนัก

 

“อย่าบ่น เดี๋ยวพวกเจ้าก็จะต้องขอบคุณข้า พวกเราไปกันได้แล้ว” ซูเจ๋อมิพูดอะไรอีก เขารีบก้าวยาวๆ ไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้

 

จิวฉองมิมีทางเลือก นอกจากเรียกทหารมาช่วยกันขนเครื่องบรรณาการ ตามเขาไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้

 

ตอนนี้เป็นเวลาบ่าย แดดก็ร้อน อากาศกำลังอบอุ่น ทุกคนในค่ายพักแรม มิว่าชายหรือหญิง ล้วนสวมใส่เสื้อผ้าเพียงชั้นเดียว ดูทะมัดทะแมง มิบางมิหนาจนเกินไป ล้วนกำลังดี

 

ซูเจ๋อและผู้ติดตามของเขา สวมเสื้อคลุมหนังสัตว์หนาๆ เดินผ่านไป จึงดูสะดุดตายิ่งนัก

 

คนอื่นต่างพากันมองด้วยสายตาที่ดูถูกและเหยียดหยาม

 

“ดูคนพวกนั้นสิ ทั้งที่วันนี้อากาศออกจะอบอุ่นขนาดนี้ ทำไมถึงใส่เสื้อผ้าหนาขนาดนี้กันด้วย มิร้อนกันบ้างหรืออย่างไรกัน”

 

“จริงด้วย เหตุใดพวกเขาถึงได้โง่เขลาเช่นนี้ ”

 

“ได้ยินมาว่า พวกเขามาจากเมืองจิงโจว พวกคนป่าเถื่อนจากทางใต้น่ะ อาจจะกลัวหนาว”

 

……

 

รอบด้านต่างพากันหัวเราะเยาะ ทำให้จิวฉองและคนของเขาได้ยินแล้วก็รู้สึกทั้งหงุดหงิดทั้งอับอาย ถ้าที่นี่มิใช่เขตหวงห้ามแล้วล่ะก็ ด้วยนิสัยของจิวฉอง ป่านนี้เขาคงลงมือฆ่าคนเหล่าอยู่เป็นแน่

 

ซูเจ๋อไมได้สนใจเรื่องพวกนี้ เขาเพียงเคี้ยวถั่วปากอ้าไปตลอดทาง จนมาถึงด้านนอกของกระโจมหลวง

 

เขาเพิ่งมาถึง อ้องอุ้นก็ตามด้านหลัง เมื่อเขาเห็นชุดที่ซูเจ๋อสวม ก็อดหัวเราะมิได้  “ท่านทูตซูท่านผ่ายผอมลงเหลือแต่กระดูก จนถึงขั้นกลัวความหนาวขนาดนี้เลยหรือ”

 

“ข้าน้อยนี้มิได้กลัว แค่กลัวท้องฟ้าเปลี่ยนแปลงเท่านั้นเอง ดังนั้นจึงได้สวมเสื้อผ้าให้อบอุ่นหน่อย” ซูเจ๋อชี้ไปยังท้องฟ้า

 

”วันนี้พระอาทิตย์ส่องสว่างขนาดนี้ ท่านทูตซูยังกลัวว่าท้องฟ้าจะเปลี่ยนแปลงอย่างนั้นหรือ ท่านช่างมีอารมณ์ขันจริงๆ เลย ฮ่าฮ่า...”

 

อ้องอุ้นจบบทสนทนาของตน ด้วยการหัวเราะ “ฮ่าฮ่า” ถือเป็นการแสดงการเยาะเย้ยได้เป็นอย่างดี แต่การกระทำเหล่านี้ของเขา มิอาจรอดพ้นสายตาของซูเจ๋อไปได้เลยแม้แต่น้อย

 

ซู่เจ๋อขี้เกียจอธิบายให้เขาฟังมากไปกว่านี้ จึงได้แต่หัวเราะโดยมิพูดอะไรอีก

 

ผ่านไปครู่หนึ่ง ขันทีคนหนึ่งก็ออกมาถ่ายทอดราชโองการ ว่าฮ่องเต้ทรงตรัสเรียกให้ซูเจ๋อเข้าเฝ้าก่อน และขอให้อ้องอุ้นรออยู่ที่ด้านนอกก่อน

 

ซูเจ๋อสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เฮือกหนึ่ง จัดแจงเสื้อผ้าให้เรียบร้อย แล้วก้าวเข้าไปด้านในเพื่อเข้าเฝ้าและรายงานตัว

 

บรรยากาศเย็นยะเยือก

 

นี่คือความประทับใจแรกของซูเจ๋อ เมื่อได้เข้าไปในกระโจมหลวง

 

เมื่อมองไปรอบๆ ภายในกระโจมหลวงมีขนาดใหญ่ มีนางกำนัลและขันทีเพียงมิกี่คนที่ยืนกระจัดกระจายกันอยู่ เครื่องใช้และการตกแต่งนั้นแสนเรียบง่าย ความงดงามก็ยังห่างไกลจากจวนของตั๋งโต๊ะเสียอีก ข้ารับใช้ที่มีก็น้อย มิคึกคักครื้นเครงดูตื่นตาตื่นใจเท่ากับข้ารับใช้ที่ตั๋งโต๊ะมี

 

เขาเงยหน้าขึ้น เห็นฮ่องเต้หนุ่มท่าทางซูบซีดแห้งเหี่ยวนามว่าเล่าเหียบ1ประทับนั่งอยู่บนบัลลังก์

 

และคนที่นั่งข้างฮ่องเต้ ดูแล้วมีสง่าราศี เป็นหญิงสาวที่งดงาม คิดว่าน่าจะเป็นฮกเฮา2

 

ตามข้อมูลที่ซูเจ๋อรู้มาจากชาติที่แล้ว ตอนนี้เล่าเหียบอายุยังมิถึงสิบปี ฮกเฮามีอายุมากกว่าเล่าเหียบมิกี่ปีเห็นจะได้ ดูจากโหวเฮ้งของนางแล้ว ก็ดูเป็นหญิงสาวที่มีสติปัญญาอยู่บ้าง ซึ่งก็ค่อนข้างตรงกับที่มีบันทึกไว้ในพงศาวดาร

 

ซูเจ๋อคิดในใจอยู่ครู่หนึ่ง ก็กลับมาที่ปัจจุบัน สงบใจลง แล้วก้าวไปข้างหน้า ยอบตัวลงถวายบังคม   “กระหม่อมซูเจ๋อ ขอถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมได้รับคำสั่งจากใต้เท้าเล่าเปียวแห่งเมืองจิวโจวให้มาที่นี่เพื่อถวายเครื่องราชบรรณาการแด่ฝ่าพระบาทพ่ะย่ะค่ะ และเพื่อส่งคำทักทายแด่ฝ่าพระบาทและฮองเฮาฝูโซ่ว ในนามของราษฎร์เมืองจิงโจวพ่ะย่ะค่ะ”

 

“มิต้องมากพิธี” เล่าเหียบโบกมือเล็กน้อย น้ำเสียงเบาคล้ายไร้เรี่ยวแรง

 

“ขอพระทัยฝ่าพระบาทพ่ะย่ะค่ะ” ซูเจ๋อลุกขึ้นยืน “นี่คือเครื่องบรรณาการทั้งหมดที่ท่านใต้เท้าเล่าได้มอบหมายให้กับกระหม่อม นำมามอบถวายแด่พระองค์ ขอพระองค์ได้โปรดให้คนมาตรวจนับจำนวนได้ นี่คือชื่อรายการทั้งหมด ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนานพ่ะย่ะค่ะ”

 

เล่าเหียบมิได้ตอบรับ ท่าทางของเขาทั้งดูเฉื่อยชา ทั้งสับสนคล้ายกังวลใจ ดูใจลอยเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่

 

“อะแฮ่ม ฝ่าบาทเพคะ” ฮองเฮาฝูโซ่วที่ชันษาแก่กว่าเขาก้มหน้ากะแอมเบาๆ เพื่อปลุกเขาให้รู้สึกตัว

 

 เล่าเหียบกลับมารู้สึกองค์เองอีกครั้ง แล้วรับรายการเครื่องบรรณาการที่ขันทีส่งให้ เขาพยักหน้าขณะดูรายการ แล้วพูดว่า  “ เยี่ยม ท่านลุงใส่ใจข้าเสมอ ข้าพอใจเครื่องบรรณาการของเขามาก ท่านกลับไปจิงโจวแล้ว ฝากท่านช่วยขอบคุณเขาแทนข้าด้วย”

 

“กระหม่อมน้อมรับพระบัญชาพ่ะย่ะค่ะ” ซูเจ๋อประสานมือคำนับเพื่อรับคำสั่ง

 

เมื่อซูเจ๋อรับคำสั่ง เขาก็เหลือบมองไปที่ฮองเฮาฝูโซ่วอีกครั้ง ซึ่งเขาบังเอิญเห็นฮองเฮาขยิบตาให้เล่าเหียบพอดี

 

“เล่าเหียบคนนี้ยังเด็กเกินไป ดูเหมือนยังมิมีความคิดเป็นของตัวเอง ต้องอาศัยฮองเฮาคอยตัดสินใจแทนเขา เอ๊ะ ถึงฮองเฮาจะแก่กว่าเขามิกี่ปี แต่นางก็มิใช่หญิงสาวธรรมดาๆ ทั่วไปนี่นา...”

 

ซูเจ๋อลอบสำรวจ เล่าเหียบดูเหมือนจะเห็นท่าทางของฮองเฮาแล้ว จึงอ้าปากเพื่อเตรียมจะพูดอะไรบางอย่าง

 

ตอนนั้นเอง ม่านกระโจมก็ถูกเปิดเข้ามา พร้อมเสียงของตั๋งโต๊ะที่รีบเดินเข้ามาในกระโจมหลวงโดยพลการ

 

แถมยังสวมชุดเกราะและพกดาบ ทำท่าทางวางอำนาจยิ่งนัก

 

เมื่อเล่าเหียบเห็นตั๋งโต๊ะบุกเข้ามา เขาก็มีท่าทางตกใจเหมือนหนูเจอแมว ตัวของเขาสั่นเพราะความหวาดกลัว ราวกับมันฝังอยู่ในจิตใต้สำนึกของเขามาโดยตลอด

 

“ฝ่าบาทเพคะ!” ฝูโซ่วรีบกุมมือเขา กระซิบเพื่อปลอบเขาให้มิตื่นกลัว

 

เล่าเหียบถึงเริ่มพยายามให้ตัวเองสงบใจลงได้เล็กน้อย เขารีบยิ้มออกมาอย่างมิค่อยเต็มใจนัก พร้อมถามว่า  “ใต้เท้าตั๋งรีบมาหาข้าเช่นนี้ มีเรื่องสำคัญหรือไม่?”

 

“ทำไม กระหม่อมมิมีธุระด่วน จะเข้าเฝ้าฝ่าบาทมิได้หรือ?” ตั๋งโต๊ะถามกลับอย่างหยาบคาบ

 

“ได้ซิ ทำไมจะมิได้เล่า” เล่าเหียบพยักหน้าหงึกๆ พร้อมกับยิ้มให้เขา แล้วพูดว่า “ข้าก็หวังว่าข้าจะได้รับคำแนะนำจากใต้เท้าเกี่ยวกับการปกครองประเทศนี้ตลอดเวลา”

 

สำหรับฮ่องเต้แล้ว มันมิใช่เรื่องง่ายเลยที่จะชมตั๋งโต๊ะด้วยวิธีนี้เพื่อทำให้เขาพอใจได้ ฮองเฮาฝูโซ่วที่อยู่ข้างๆ เผยแววตาอัปยศและโศกเศร้าโศกที่เห็นพระสวามีของตนเป็นเช่นนี้

 

ตั๋งโต๊ะหัวเราะแล้วพูดอย่างประชดประชัดว่า   ”ทุกคนทั่วหล้าบอกว่าข้าเป็นขุนนางของซีเหลียงที่เชี่ยวชาญแต่การรบและฆ่าฟันเท่านั้น มิรู้จักการปกครองประเทศ ฝ่าบาทตรัสถามกระหม่อมเช่นนี้ มิใช่เป็นการสอพลอกระหม่อมดอกหรือ?”

 

เล่าเหียบตะลึง ทำหน้าเขินๆ สิ่งที่เขาทำได้คือการยิ้มกับหัวเราะแก้เก้อเท่านั้น เพราะมิรู้ว่าจะตอบโต้ “ความอัปยศอดสู” ที่เกิดจากการกระทำของตั๋งโต๊ะอย่างไรดี

 

“ซูเจ๋อยินดีที่ได้พบใต้เท้าตั๋งอีกครั้งขอรับ” ซูเจ๋อรู้สึกถึงบรรยากาศที่อึดอัดเช่นนี้ จึงสบโอกาสพูดคุย รีบโค้งคารวะให้กับตั๋งโต๊ะ

 

ตั๋งโต๊ะเพิ่งจะสังเกตเห็นเขา จึงได้ถามว่า  “ที่แท้ก็ซูจือหมิงนี่เอง ทำไมเจ้ามาอยู่ที่นี่ได้เล่า?”

 

ซูเจ๋อตอบ  “เรียนใต้เท้า ข้าน้อยมาเข้าเฝ้าฝ่าบาทก่อนที่ใต้เท้าจะมาถึงนานแล้วขอรับ เพื่อนำเครื่องบรรณาการมาถวายแด่ฝ่าบาท ตอนนี้กำลังรอฟังพระดำริจากฝ่าบาทอยู่ขอรับ”

 

“โอ้ ใช่ๆ ท่านสามารถอยู่ร่วมฟังพระดำริของฝ่าบาทด้วยกันได้” ตั๋งโต๊ะรีบโบกมือปฏิเสธเป็นการใหญ่ แต่พูดด้วยน้ำเสียงเชิงบังคับว่า  “ไปกันเถอะฝ่าบาท พระองค์โปรดเสด็จไปสวมชุดเกราะของพระองค์ แล้วเอาพระแสงธนูกับลูกศรมาด้วย จากนั้นจะได้ไปล่าสัตว์กับข้าพระองค์”

 

เมื่อเล่าเหียบได้ยินว่าต้องไปล่าสัตว์ ก็ปวดหัวขึ้นมาทันที เขายิ้มเจื่อนแล้วพูดว่า  “ข้าขี่ม้ามิยิงธนูเก่ง ข้ามิไปหรอก!”

 

“มิได้เด็ดขาด!”

 

ใบหน้าของตั๋งโต๊ะมิค่อยสบอารมณ์นัก เขาพูดปรามขึ้นมาว่า  “วีรบุรุษอย่างข้า ใช้กำลังทหารต่อสู้เพื่อสร้างชาตินี้ขึ้นมา ฝ่าบาททรงเป็นถึงจักรพรรดิกลับพูดว่าทรงขี่ม้ายิงพระแสงธนูมิเก่ง เช่นนี้แล้ว วันนี้ กระหม่อมจะสอนพระองค์ให้เก่งเลย ให้ทุกคนในใต้หล้านี้รู้ว่าฮ่องเต้ของกระหม่อมมิใช่คนมิเอาไหน มิใช่คนที่ขี่ม้ายิงพระแสงธนูมิเป็น”

 

พูดจบ ตั๋งโต๊ะก็เดินไปข้างหน้า คว้าตัวเล่าเหียบ แล้วใช้กำลังลากตัวเล่าเหียบออกมาจากกระโจมทันที

 

ที่ด้านนอกกระโจมหลวง อ้องอุ้นเห็นเหตุการณ์ดังนั้น ก็ถามด้วยความสงสัยว่า  “ใต้เท้าจะพาพระองค์เสด็จไปไหนกันขอรับ?”

 

“ข้าจะพาฝ่าบาทไปเรียนล่าสัตว์ ท่านอุปราช ข้าขอรบกวนเวลาของเจ้าสักครู่แล้วกัน” ตั๋งโต๊ะพูด แล้วก็หันตัวขึ้นม้า สั่งให้ทหารที่อยู่รอบๆ ตรงนั้นจับเล่าเหียบขึ้นม้า แล้วให้พวกเขาขี่ม้าศึกตามไปติดๆ ทีละคน

 

อ้องอุ้นยังคงยืนอยู่ตรงนั้น มองดูฮ่องเต้กับตั๋งโต๊ะค่อยๆ ขี่ม้าห่างไกลออกไป ถึงกับต้องลอบขมวดคิ้ว แต่เขาก็พูดอะไรมากไปกว่านี้มิได้ ทำได้แค่ยืนรออยู่ที่หน้ากระโจมหลวงต่อไป

 

‘เป็นถึงจักรพรรดิทั้งที น่าเบื่อชะมัด แต่ทำไงได้ เขาเพิ่งจะสิบชันษาเอง เอ๊ะ ดูๆ ไปแล้วฮ่องเต้องค์นี้ แม้จะเป็นเพียงแค่หุ่นเชิดเท่านั้น ก็ดูจะมีชีวิตที่มิได้ง่ายเลยนะ...’

 

ซูเจ๋อลอบถอนหายใจ แล้วหันตัวกลับมา มองดูฝูโซ่วอย่างเงียบๆ

 

แต่กลับเห็นฮองเฮาที่มีอายุเพียงสิบสี่ปี หน้าตาหมดจดงดงามดูมีสง่าราศีผู้หนึ่ง หน้ากำลังแดงก่ำ หน้าอกกระเพื่อมขึ้นๆ ลงๆ อย่างถี่แรง เห็นได้ชัดว่ากำลังโกรธที่เห็นพระสวามีถูกกระทำหยาบคาบอย่างมิให้เกียรติกันเช่นนั้น

 

มินาน พระนางก็สูดหายใจเข้าลึกๆ เพียงมิกี่ครั้ง แป๊บเดียวก็กลับมานิ่งเฉยดังเดิม ใบหน้ามิแสดงอาการขุ่นเคืองใจใดๆ อีกเลย

 

พระนางเปลี่ยนมาสรวลบางๆ ให้กับซูเจ๋อ ทรงมีพระเสาวนีย์ว่า “ฝ่าบาททรงเสด็จไปล่าสัตว์กับใต้เท้าแล้ว มิรู้ว่าพระองค์จะเสด็จกลับมายามใด ขุนนางซูจะรออยู่ที่นี่ก่อนก็ได้”

 

“พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมน้อมรับพระราชเสาวนีย์” ซูเจ๋อประสานมือโค้งคำนับ

 

ฝูโซ่วสั่งให้ซูเจ๋อนั่งลง แล้วจึงประทานสุราให้กับเขา เพื่อเป็นรางวัล

 

ซูเจ๋อมิได้พูดอะไรอีก เพียงแค่ดื่มสุราพระราชทานอย่างเงียบๆ ในใจพลางคิดอย่างสงสัยว่าจะมีวิธีไหนที่จะออกไปจากสถานที่นี้ให้เร็วที่สุดได้บ้าง

 

เวลานี้ ฝูโซ่วก็สังเกตเห็นเสื้อคลุมหนังสัตว์บนตัวเขา พระนางสรวล แล้วอดที่จะตรัสถามมิได้ว่า

 “ตอนนี้อากาศอบอุ่นนัก ขุนนางซูใส่เสื้อคลุมหนังสัตว์หนาเช่นนี้ เจ้ามิร้อนหรือ”

 

“ร้อนอย่างนั้นหรือ” ซูเจ๋อปาดเหงื่อที่หน้าผากออก เขาหัวเราะเยาะกับตัวเอง แล้วพูดว่า  “กระหม่อมมาจากเมืองทางใต้ กลัวอากาศเดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาว ความขี้หนาวของกระหม่อม ทำให้พระนางต้องขบขันแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

 

ฝูโซ่วทรงสรวล และตรัสว่า  “วันนี้แดดออกแรงนัก ท้องฟ้าจะเปลี่ยนแปลงได้อย่างไรกัน ขุนนางซูกังวลเกินไปแล้ว”

 

เมื่อพระนางตรัสจบ ที่ด้านนอกกระโจมใหญ่นี้ จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงลม “วู้ๆ” ดังขึ้นมา พริบตาเดียวมันก็ทวีความรุนแรงขึ้น จนกระโจมหลวงถึงกับสั่นไปหมดทั้งหลัง

 

ทันใดนั้น ก็มีลมแรงพัดม่านกระโจมหลวงให้เปิดออก มันเป็นลมหนาวที่พัดเข้ามาใส่ผู้ที่สวมเสื้อผ้าเพียงชั้นเดียว มิเว้นแม้กระทั่งฝูโซ่วด้วย มันเย็นมากถึงกับทำให้สั่นสะท้านไปทั่วตัว

 

ที่ด้านนอกกระโจมหลวง จากเดิมที่ท้องฟ้ามีแดดออกจ้า ตอนนี้มีเมฆดำปกคลุมไปในชั่วพริบตา ลมเย็นยะเยือกพัดมาจากทางทิศเหนือ พัดมาอย่างมิมีปี่มีขลุ่ย

 

ใช้เวลามินาน อุณหภูมิก็ลดลงอย่างรวดเร็ว

 

 

รีวิวผู้อ่าน