px

เรื่อง : ข้ามีดาวเที่ยมในยุคสามก๊ก (นิยายแปล) ปลดล๊อคตอนฟรี 3 วัน 1 ตอน
ตอนที่ 34 เป็นฮองเฮา...มิใช่เรื่องง่าย


ตอนที่ 34 เป็นฮองเฮา...มิใช่เรื่องง่าย

 

กระแสลมหนาวที่พัดเข้ามาอย่างรุนแรงนี้ ทำให้อุณหภูมิลดลงอย่างรวดเร็ว

 

บรรดานางกำนัลรับใช้และขันทีล้วนแต่งกายด้วยเสื้อผ้าเพียงชั้นเดียว พวกเขาถึงกับพากันหนาวสั่นสะท้านขึ้นมา

 

เพราะความหนาวเย็น  ฮองเฮาถึงกับรวบเสื้อผ้าให้แน่นขึ้น พระนางตรัสสั่งให้นางกำนัลรับใช้รีบเติมถ่านในอ่างไฟเพื่อเพิ่มความอบอุ่น ทำให้อุณหภูมิในกระโจมหลวงค่อยๆ สูงขึ้นเล็กน้อย

 

แต่อ่างไฟมีจำนวนจำกัด ฮองเฮาฝูโซ่วมิได้นำเสื้อคลุมหนังสัตว์หนาๆ มาด้วย เนื่องจากหนาวมากจนจมูกเปลี่ยนเป็นสีแดง พระนางยังถูกพระหัตถ์ไปมาเพื่อให้อุ่นขึ้น

 

เวลานี้ มีแต่ซูเจ๋อที่สวมใส่เสื้อคลุมหนังสัตว์หนาๆ เนื่องจากอุณหภูมิลดลงอย่างรวดเร็ว ทำให้เหงื่อที่หน้าผากแห้งสนิทแล้วเช่นกัน ตอนนี้จึงรู้สึกสบายตัวเป็นอย่างมาก

 

ทุกคนรอบข้างพากันตัวสั่นเพราะความหนาว ซูเจ๋อนั่งตรงนั้นจิบสุราพระราชทานอย่างสบายใจ

 

เมื่อรู้สึกว่าอุ่นขึ้นเล็กน้อย ฮองเฮาฝูโซ่วก็สังเกตเห็นซูเจ๋อ เป็นอีกครั้งแล้วที่พระนางต้องแปลกใจอยู่ลึกๆ ความสงสัยปรากฎขึ้นในพระเนตรสดใสของพระนาง

 

“ในที่สุด ท้องฟ้าก็เปลี่ยนไปจริงๆ เป็นไปได้หรือไม่ว่าขุนนางซู ท่านจะสามารถทำนายล่วงหน้าว่าวันนี้อากาศจะเปลี่ยนแปลง?” พระนางฝูโซ่วตรัสถามด้วยความรู้สึกระแวง

 

ซูเจ๋อตอบเนิบๆ ว่า  “กระหม่อมเพิ่งดูท้องฟ้าเมื่อคืนนี้ เห็นว่าวันนี้อาจจะมีลมหนาว อุณหภูมิจะลดลงอย่างรวดเร็ว มิได้คาดคิดมาก่อนว่ามันจะเกิดขึ้นจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ”

 

“ขุนนางซู มีความรู้เกี่ยวกับสภาพอากาศ สามารถพยากรณ์อากาศ มิว่าจะเป็นลมพายุ หิมะ อากาศหนาวเย็น หรืออบอุ่นใช่หรือไม่?” พระนางฝูโซ่วยิ่งตรัสถามก็ยิ่งทรงประหลาดใจมากขึ้น

 

“กระหม่อมมีความรู้เพียงผิวเผินเท่านั้นเองพ่ะย่ะค่ะ ความสามารถอันน้อยนิด ทำให้ฮองเฮาต้องขบขันแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ซูเจ๋อมิได้พูดความจริง ดังนั้น เขาจึงหัวเราะกับตัวเองเบาๆ

 

พระนางฝูโซ่วทำเสียงจุ๊ๆ อุทานอย่างตื่นเต้นว่า  “แตกฉานดาราศาสตร์ พยากรณ์ลมฝน นี่คือพรสวรรค์ที่หาได้ยากในใต้หล้านี้ พูดมาได้อย่างไรว่าเป็นความรู้เพียงผิวเผินเท่านั้น ขุนนางซู ถ่อมตัวเกินไปแล้ว”

 

“ฮองเฮาทรงยกย่องเกินไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเป็นเพียงคนธรรมดาที่มิมีใครรู้จัก มาจากครอบครัวที่ยากจน จะมีพรสวรรค์ที่ฟ้าประทานมาได้เช่นไรกันพ่ะย่ะค่ะ” ซูเจ๋อยิ่งพู่ถ่อมตัวลงไปอีก

 

ฮองเฮาฝูโซ่วรู้สึกประหลาดใจมากยิ่งขึ้น พระเนตรสดใสของพระนางจ้องซูเจ๋อเขม็ง ราวกับกำลังสำรวจตรวจสอบคนธรรมดาคนหนึ่งที่มาจากจิงโจวผู้นี้อีกครั้ง

 

ทันใดนั้น พระเนตรของฮองเฮาฝูโซ่วก็มีประกายบางอย่าง ราวกับพระนางทรงคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้

 

พระนางทรงยืนขึ้นและสรวลน้อยๆ พลางตรัสว่า  “เดิมทีฝ่าบาทได้เตรียมของขวัญให้กับพระปิตุลาเล่าเปียว พระองค์ทรงตั้งพระทัยว่าจะนำมามอบให้ด้วยพระองค์เองเป็นการส่วนตัว ทว่าตอนนี้ฝ่าบาทออกไปล่าสัตว์กับใต้เท้าตั๋ง มิอาจรู้ได้ว่าพระองค์จะกลับมาเมื่อไหร่ ดังนั้น ขุนนางซู ท่านตามข้าเข้าไปที่กระโจมฝ่ายใน ข้าจะเป็นตัวแทนของฝ่าบาทมอบของขวัญให้กับท่านเอง”

 

ตรัสจบ พระนางฝูโซ่วก็หันพระวรกายเดินกลับเข้าไปที่กระโจมฝ่ายใน

 

ซูเจ๋อลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วค่อยลุกขึ้นยืน ตามเสด็จพระนางฝูโซ่วเข้าไปที่กระโจมฝ่ายใน

 

นางกำนัลรับใช้และขันทีทั้งหมดถูกสั่งให้รออยู่ข้างนอก ซูเจ๋อเดาว่า ฮองเฮาต้าฮั่นองค์นี้ ต้องมีความลับบางอย่างที่คิดจะบอกกับเขาเป็นแน่ จึงมิอยากให้ใครมาได้ยินหรือได้เห็น

 

เมื่อก้าวเข้าสู่กระโจมฝ่ายใน พระนางฝูโซ่วก็ประทับนั่งคุกเข่าลง ทรงโบกพระหัตถ์ให้เขานั่งลงฝั่งตรงข้ามกับพระนาง

 

“กระหม่อมมิบังอาจนั่งตรงข้ามกับพระนางได้พ่ะย่ะค่ะ” ซูเจ๋อรีบปฏิเสธ ยกมือขึ้นประสานถวายบังคมด้วยความลำบากใจ

 

ฮองเฮาฝูโซ่วทรงสรวลน้อยๆ ตรัสอย่างพอพระทัย ว่า    “ที่นี่มิมีคนนอก ขุนนางซู มิจำเป็นต้องมีพิธีรีตอง นั่งลงเถิด”

 

ซูเจ๋อมิสามารถปฏิเสธได้อีก จึงต้องลงนั่งคุกเข่าลงด้วยอาการสำรวม มีเพียงโต๊ะที่อยู่ตรงกลางเท่านั้นที่กั้นระยะห่างให้กับคนทั้งคู่

 

ในที่สุด ซูเจ๋อก็ได้เห็นพระพักตร์ของฮองเฮาฝูโซ่วชัดเจน เนื่องจากอยู่ใกล้กันมาก

 

พระพักตร์นั้น ช่างหมดจดงดงามมีออร่าอย่างแท้จริง กลางหว่างพระขนงคล้ายเปล่งรัศมีของความเป็นมารดาของแผ่นดินงามสง่าดูสูงส่ง ยากจะหาใครมาเทียบเทียมได้ มิว่าใครได้พบเห็น ก็ต้องอดรู้สึกมิได้ที่จะให้ความเคารพยำเกรง

 

เพียงแต่ พระนางยังทรงพระเยาว์นัก ยังมิทรงบรรลุนิติภาวะ จึงทำให้ออร่าที่ทรงมีอยู่นั้น เปล่งประกายออกมาได้มิเต็มที่นั่นเอง

 

เห็นได้ชัดว่าฮองเฮาฝูโซ่วรู้วิธีการทรงเครื่องพระสำอาง เพราะยังทรงพระเยาว์ พระนางจึงใช้เครื่องพระสุคนธ์ทาบางๆ เพื่อให้ดูว่ามีชันษามากกว่าชันษาจริง ถ้ามิสังเกตใกล้ๆ ก็ดูมิออก(ว่าจริงๆ แล้วยังเป็นเด็กอายุแค่สิบสี่เท่านั้น )

 

‘พระนางเป็นฮองเฮาตั้งแต่อายุยังน้อย และยังแต่เป็นฮองเฮาของฮ่องเต้ที่เป็นเพียงแค่หุ่นเชิดอีก สำหรับพระนางแล้ว มันมิใช่เรื่องง่ายๆ เลยนะ...’

 

สีหน้าของซูเจ๋อยังคงนิ่งเฉย แต่กลับลอบถอนหายใจในใจแทน

 

ผ่านไปสักพัก ฮองเฮาฝูโซ่วก็มีท่าทางเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมขึ้นมาอย่างกะทันหัน นางตรัสด้วยน้ำเสียงที่จริงจังว่า  “ขุนนางซู ท่านถือเครื่องบรรณาการที่พระปิตุลาเล่าเปียวส่งมา คิดว่าท่านคงเป็นคนสนิทที่ท่านลุงไว้ใจ ข้าอยากจะถามท่านว่า ระหว่างโอรสสวรรค์กับตั๋งโต๊ะ เล่าเปียวภักดีต่อใครกันแน่?”

 

ทันทีที่ซูเจ๋อได้ยินคำถามนี้ เขาก็เข้าใจในทันทีว่า ฮองเฮาเรียกเขามาที่นี่คนเดียว คงมิได้อยากจะให้ของขวัญเขากลับไปง่ายๆ แน่ๆ

 

ความหมายของพระนาง คือ ต้องการทดสอบว่าเล่าเปียวมีความคิดเห็นทางการเมืองอย่างไร

 

ทันทีที่ความคิดของซูเจ๋อเปลี่ยนไป เขาก็พูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า  “แม้ว่านายท่านของกระหม่อม ใต้เท้าเล่าเปียว ใต้เท้าตั๋งจะเป็นผู้แต่งตั้งก็ตาม แต่นายท่านของกระหม่อมก็อยู่ในตระกูลของเชื้อพระวงศ์ต้าฮั่นเช่นกัน ดังนั้นจึงต้องภักดีต่อโอรสสวรรค์อย่างแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”

 

ฮองเฮาฝูโซ่วยังคงตรัสถามอีกว่า  “ในเมื่อพระปิตุลาเล่าเปียวจงรักภักดีต่อโอรสสวรรค์ ถ้าวันหนึ่งฉางอานจะเปลี่ยนไป เขาจะช่วยโอรสสวรรค์หรือไม่?”

 

ฉางอานจะเปลี่ยนไป!

 

เมื่อซูเจ๋อได้ยินสี่คำนี้ ถึงกับใจสั่นเล็กน้อย เขาอดทบทวนประวัติศาสตร์ในช่วงเวลานี้มิได้ ว่าอ้องอุ้นวางแผนยุยงให้ลิโป้ลอบสังหารตั๋งโต๊ะที่ฉางอาน

 

นึกถึงประวัติศาสตร์ช่วงหลัง เล่าเปียวซ่อนพระราชโองการลับไว้ในกระเป๋าเสื้อผ้า ตังสินคนสนิทของเขา ฮกอ้วน ซึ่งเป็นพ่อของฮองเฮาฝูโซ่วและตระกูลของเขา มีการก่อกบฏหลายครั้งซ้ำแล้วซ้ำเล่า และยังรู้ด้วยว่า โอรสสวรรค์องค์นี้แม้แต่ปกป้องตัวพระองค์เองก็ยังทำมิได้เลย การที่อ้องอุ้นก่อกบฏด้วยการฆ่าตั๋งโต๊ะนั้น ยิ่งเป็นไปมิได้ว่าเล่าเหียบจะมีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องนี้ด้วย

 

แต่จู่ๆ ฮองเฮาฝูโซ่วก็ตรัสว่า “ฉางอานจะเปลี่ยนไป” นั้น ซูเจ๋อเดาว่าพระนางและโอรสสวรรค์ที่ดูอ่อนแอพระองค์นั้น กำลังร่วมมือกับอ้องอุ้นและคนอื่นๆ เตรียมวางแผนก่อกบฏต่อตั๋งโต๊ะอย่างลับๆ แน่นอน เพื่ออนาคต คำว่า “ฉางอานจะเปลี่ยนไป” เป็นไปได้ว่า แผนการต่างๆ ได้ถูกเตรียมการณ์ไว้แล้ว

 

“กระหม่อมมิเข้าใจ ที่พระนางตรัสว่า “ฉางอานจะเปลี่ยนไป” กระหม่อมโง่เขลา มิทราบว่ามันหมายถึงสิ่งใด ขอพระนางได้โปรดให้คำชี้แนะแก่กระหม่อมด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ” ซูเจ๋อมิได้ตอบคำถาม แต่เลือกที่จะถามคำถามกลับไปแทน

 

พระขนงของพระนางฝูโซ่วขมวดเข้าหากันเล็กน้อย นางตรัสอย่างมิค่อยพอใจว่า  “ขุนนางซู มาจากครอบครัวที่ยากจน แต่พระปิตุลาเล่าเปียวกลับให้ความสำคัญกับท่าน นั่นย่อมต้องหมายความว่า ท่านต้องมีพรสวรรค์ที่มิได้ธรรมดาทั่วไปเป็นแน่ ด้วยความฉลาดของขุนนางซู ยังจะต้องให้ข้าอธิบายความหมายอีกหรือ?”

 

ซูเจ๋อนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ได้แต่ยิ้มน้อยๆ แล้วตอบว่า  “ฮองเฮายังคงไว้ใจกระหม่อมจริง หรือ ถึงได้กล้าตรัสถามกระหม่อมเช่นนี้ ฮองเฮาคงจะเคยได้ยินว่า เมื่อหลายวันก่อน ที่จวนของใต้เท้าตั๋ง มีครั้งหนึ่ง กระหม่อมได้เคยเตือนใต้เท้าตั๋งเกี่ยวกับมือสังหารที่จะมาลอบสังหาร นอกจากใต้เท้าตั๋งจะรอดจากมือสังหารแล้ว ยังให้รางวัลกับกระหม่อมอีก ฮองเฮาทรงมิกลัวว่ากระหม่อมจะไปบอกใต้เท้าตั๋ง เพื่อจะได้ความดีความชอบและรางวัลอื่นๆ ใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”

 

ภายในกระโจมฝ่ายในเงียบลงทันที

 

จู่ๆ ดวงพระเนตรของฮองเฮาฝูโซ่วก็มีประกายเย็นวาบ จ้องเขม็งไปที่เขาอย่างเย็นชา

 

แต่เขายังคงดูสงบนิ่ง จ้องตาฮองเฮากลับไปอย่างเย็นชาและไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ

 

จ้องตากันอยู่แบบนี้สิบวินาทีเห็นจะได้ ราวกับกระโจมขนาดใหญ่นี้ถูกแช่แข็งทั้งหลัง

 

จากนั้น สายพระเนตรเย็นชาของฮองเฮาฝูโซ่วก็จางหายไป พระนางแย้มสรวล พลางตรัสอย่างมั่นใจในองค์เองว่า  “ข้ากล้าถามแบบนี้ แค่เดิมพันว่าขุนนางซู มิใช่คนเช่นนั้น ข้าชนะเดิมพันนี้ใช่หรือไม่?”

 

นี่คือฮองเฮาที่กล้าบ้าบิ่นที่สุดองค์หนึ่งเลยทีเดียว...

 

ซูเจ๋อประเมินฮองเฮาฝูโซ่วที่อยู่ตรงหน้าเขาใหม่ เขายิ้มและพูดชมเชยพระนางว่า ”ฮองเฮาทรงพระปรีชายิ่งพ่ะย่ะค่ะ”

 

เมื่อเขาพูดแบบนี้ ก็เท่ากับว่าเขากำลังสัญญากับนาง ว่าเขาจะมิบอกเรื่องนี้กับตั๋งโต๊ะ

 

ท่าทางของฮองเฮาฝูโซ่วดูเหมือนจะยังทรงมิพอใจกับคำตอบของซูเจ๋อเท่าใดนัก พระพักตร์ของนางปรากฏความเจ้าเล่ห์ แล้วตรัสว่า  “อันที่จริงแล้ว ถึงแม้ขุนนางซู จะบอกความลับนี้กับตั๋งโต๊ะ ข้าก็มิได้เกรงกลัวแต่อย่างใด ข้าก็แค่ยืนยันมิยอมรับ นอกจากนี้ ข้ายังจะบอกกับตั๋งโต๊ะด้วยว่า ท่านได้รับคำสั่งจากเล่าเปียว คิดจะร่วมมือสมคบคิดกับโอรสสวรรค์วางแผนกำจัดตั๋งโต๊ะทุกทาง ถึงตอนนั้น ขุนนางซูก็ลองเดาเล่นๆ ดูซิ ว่าเขาจะเชื่อใคร?”

 

จู่ๆ ซูเจ๋อก็รู้สึกเสียวสันหลัง ราวกับใครเป่าลมเย็นใส่ จนรู้สึกใจหวิวๆ

 

‘ฮองเฮาพระองค์นี้ นอกจากจะใจกล้าแล้ว ยังเจ้าแผนการ เอ๊ะ นี่มิใช่หญิงสาวที่จะจัดการได้ง่ายๆ เลยนะเนี้ย’

 

ซูเจ๋อหัวเราะเฮอะๆ เยาะเย้ยให้กับตัวเอง แล้วพูดว่า   “ดังนั้นคงต้องพูดว่า กระหม่อมมิมีใจและมิมีความกล้า”

 

ฮองเฮาฝูโซ่วรู้สึกละอายใจอยู่บ้างเล็กหน่อย เพราะนางอยากได้ซูเจ๋อมาช่วยงาน เลยใช้วิธีการสกปรกมาข่มขู่ กดดัน มุมพระโอษฐ์แย้มสรวลอย่างพึงพอใจ แล้วตรัสว่า  “คราวนี้ ขุนนางซู จะตอบคำถามของข้าได้แล้วหรือไม่”

 

เฮ้อ

 

ซูเจ๋อทำทีถอนหายใจยาว เพื่อจะซื้อเวลาว่าจะตอบยังไงให้ฮองเฮาฝูโซ่วมั่นใจในตัวเขาและมิทำให้ตัวเองต้องเดือดร้อน

 

การคุยกับฮองเฮาฝูโซ่วในครั้งนี้ แม้ว่ามันเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน โดยที่ซูเจ๋อเองก็มิได้คาดคิดมาก่อน แต่เขาก็รู้ว่าจะฉวยโอกาสนี้หาผลประโยชน์อะไรได้บ้าง จากความลับเหล่านี้

 

สุดท้ายแล้ว ฮองเฮาฝูโซ่วเป็นตัวแทนของโอรสสวรรค์ ถึงแม้ว่าโอรสสวรรค์จะเป็นแค่เพียงหุ่นเชิด เป็นฮ่องเต้แต่เพียงในนามเท่านั้น แต่ในสายตาของคนทั่วไปแล้ว เขาก็ถือว่าเป็นผู้ทรงอิทธิพลคนหนึ่งที่สามารถปลุกระดมราษฎรได้

 

‘ของหายากที่พอจะกักตุนเอาไว้เก็งกำไรได้!’

 

ขณะที่ความคิดของเขากำลังล่องลอยอยู่นั้น จู่ๆ ก็มีคำนี้ผุดขึ้นมาในใจของซูเจ๋อ จนทำให้ต้องเปลี่ยนความคิด เขากระพริบตาอยู่อย่างนั้นเงียบๆ

 

ตอนนี้ เขาจึงพูดด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูเศร้าว่า  “ในเมื่อฮองเฮาทรงเชื่อมั่นในตัวของกระหม่อมเช่นนี้ กระหม่อมก็จะขอทูลพระองค์ตามความจริงว่า ใต้เท้าเล่าเปียวของกระหม่อมเป็นลูกหลานของชาวฮั่น จึงเคารพโอรสสวรรค์เสมอมา และยังให้เกียรติด้วย ให้เขาถวายเครื่องบรรณาการก็มิใช่ปัญหา แต่ถ้าโอรสสวรรค์ต้องการให้เขาเป็นกำลังหลักในการสนับสนุนแล้วละก็ กระหม่อมเกรงว่ามันคงจะเป็นไปมิได้พ่ะย่ะค่ะ”

 

“พระปิตุลาเล่าเปียวเป็นเจ้าเมืองในจิงโจว มีกำลังทหารและเสบียงอาหารอย่างเพียงพอ นับเป็นเจ้าผู้ครองแคว้นที่มีเขตปกครองใหญ่ที่สุด ที่ดินของเขาในมณฑลยงจิ๋วก็อยู่ใกล้กับวังหลวงมาก อีกทั้งเขายังมีลักษณะของชาวฮั่นเหมือนกันกับคนทุกคนในตระกูลของเขา เรียกได้ว่าคุณสมบัติครบถ้วนเหมาะสม ถ้าได้แทนที่ตั๋งโต๊ะ มิมีเหตุผลใดให้เขาต้องปฏิเสธใช่หรือไม่?”

 

พระสุรเสียงของฮองเฮาฝูโซ่วมีความกระวนกระวายเจืออยู่ พระนางมิลังเลที่จะอธิบายรายละเอียดของแผนการที่ต้องการเชิญเล่าเปียวให้นำกองทัพจากจิงโจวเหนือเข้ามามณฑลยงจิ๋วเพื่อช่วยพระนางกำจัดตั๋งโต๊ะ

 

ซูเจ๋อถอนหายใจอีกครั้ง เขายิ้มอย่างขมขื่นแล้วพูดว่า  “ที่ฮองเฮาตรัสมา ใต้เท้าเล่าเปียวของกระหม่อมก็ต้องการความชัดเจนเช่นกัน แต่น่าเสียดายที่ฮองเฮายังมิทรงรู้ว่า ใต้เท้าเล่าเปียวของกระหม่อมนั้นมีปณิธานคือการปกป้องความสงบสุขของราษฎรทุกคน”

 

(เงียบ)

 

ฮองเฮาฝูโซ่วเงียบไปอีกครั้ง พระพักตร์ดูผิดหวัง จำต้องกลืนถ้อยคำมากมายที่อยู่ในก้นบึ้งของพระทัยลงไป เพราะคำพูดของซูเจ๋อ

 

หลังจากนั้นมินาน ฮองเฮาฝูโซ่วตรัสถามอย่างมิค่อยเต็มพระทัยอีกกครั้งว่า”จะเป็นไปได้ไหม ว่าเล่าเปียว มองอะไรตื้นๆ”

 

 “ถึงอย่างไร ก็ต่างคนต่างทะเยอทะยาน บางคนมีความทะเยอทะยาน บางคนก็อยากร่ำรวย ขอฮองเฮาโปรดเข้าใจด้วย พ่ะย่ะค่ะ” ซูเจ๋อกำลังหาข้ออ้างเพื่อปกป้องเล่าเปียว เพราะอย่างไรเสีย ที่สุดแล้วเขาก็ยังได้ชื่อว่าเป็นลูกน้องของเล่าเปียวอยู่ดี

 

“อืม...” ในที่สุด ฮองเฮาฝูโซ่วก็ถอนหายใจอย่างหมดหนทาง เห็นได้ชัดว่าพระนางหมดหวังที่จะดึงเล่าเปียวมาเข้าร่วมในแผนการของพระนาง

 

ตอนนี้ ข้างนอกกระโจมลมหนาวยิ่งพัดแรงกว่าที่พัดเข้ามาในกระโจมอุณหภูมิก็ลดลงอย่างรวดเร็วกว่าเมื่อครู่

 

ฮองเฮาฝูโซ่วอารมณ์เสียเป็นอย่างมาก มิรู้ว่าหลังจากนี้เมื่อใดถึงจะหาย ตอนนี้รู้แค่เพียงว่าหนาวสั่นไปถึงขั้วหัวใจ จนจามหลายครั้งติดๆ กัน

 

ซูเจ๋อเห็นแล้วก็มิได้คิดอะไรมากนัก ลุกขึ้นแล้วก้าวไปข้างหน้า แสดงความเป็นสุภาพบุรุษด้วยการถอดเสื้อคลุมหนังสัตว์ตัวหนาของเขาออก แล้วคลุมที่ไหล่ของฮองเฮาฝูโซ่วเบาๆ

 

ในฐานะข้าราชบริพารที่เป็นบุรุษ  มิอาจเข้าใกล้ชิดฮองเฮามากกว่านี้ได้ และมิอาจสวมเสื้อผ้าให้กับฮองเฮาด้วยมือของตนเองได้ แม้ว่าการกระทำในครั้งนี้ จะเป็นเรื่องที่มิสมควรและน่ากังวลอยู่บ้าง แต่ก็กระทำอย่างสุภาพ มิมีเจตนาล่วงเกิน

 

ฮองเฮาฝูโซ่วหันพระเศียรมาด้วยความประหลาดพระทัย เอื้อมพระหัตถ์ไปที่ไหล่ของพระนาง แม้อยากจะปฏิเสธ แต่ก็มิได้ทำ พระนางเพียงแตะพระหัตถ์ที่มือของซูเจ๋อ

 

ทันใดนั้นพระวรกายของฮองเฮาฝูโซ่วก็ถึงกับสั่นสะท้าน พระพักตร์รูปไข่พลันเปลี่ยนเป็นสีแดงแล้วซีดลง แล้วเปลี่ยนกลับมาแดงขึ้นอีกครั้ง

 

รีวิวผู้อ่าน