ตอนที่ 35 มีพรสวรรค์
ฮองเฮาฝูโซ่วชักพระหัตถ์กลับไปอย่างรวดเร็วราวกับถูกไฟช็อต พระนางจ้องมาที่เขาทั้งที่พระพักตร์ยังคงแดงก่ำ พร้อมตรัสกับเขาเบาๆ ว่า "ซูเจ๋อ ท่านจะทำอันใด?”
ซูเจ๋อชะงักไปครู่หนึ่ง ก็แค่จะสวมเสื้อคลุมกันลมให้กับฮองเฮาฝูโซ่ว เพื่อแสดงความเป็นสุภาพบุรุษเท่านั้นเอง แต่จู่ๆ นึกขึ้นมาได้ว่าตอนนี้เขาอยู่ในยุคโบราณ แล้วอีกฝ่ายยังเป็นถึงฮองเฮาด้วยซิ นี่เขากำลังทำพฤติกรรมที่น่ารังเกียจอะไรแบบนี้เนี้ย
‘ให้ตายซิ สันดานเดิมจากยุคปัจจุบันมันแก้มิหายจริงๆ เล๊ย...’
ซูเจ๋อรีบปล่อยมือและประสานมือโค้งคำนับเพื่อขอโทษ และพูดว่า "กระหม่อมเห็นว่าฮองเฮาทรงกำลังหนาว คิดจะสวมเสื้อคลุมหนังสัตว์นี้ให้ด้วยความรู้สึกเป็นห่วง เพราะความรีบร้อน จึงมิได้ใคร่ครวญให้ดีเสียก่อน ขอฮองเฮาทรงโปรดประทานอภัยแก่ข้ากระหม่อมด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
ฮองเฮาฝูโซ่วทรงมีพระเนตรฉับไว ทันทอดพระเนตรว่าเขามิได้ตั้งใจล่วงเกินจริงๆ อย่างที่เขากล่าว พระนางจึงโบกพระหัตถ์เบาๆ แล้วตรัสว่า "ก็ได้ ในเมื่อเจ้ามีน้ำใจ คราวนี้ข้าจะยกโทษให้เจ้า”
“ขอบพระทัยฮองเฮาพ่ะย่ะค่ะ” ซูเจ๋อถอนหายใจอย่างโล่งอก แล้วถอยหลังไป
ฮองเฮาฝูโซ่วรวบเสื้อคลุมหนังสัตว์เข้ามาห่อองค์เองแน่น รู้สึกว่าร่างกายอบอุ่นขึ้น ทรงทอดพระเนตรไปที่ซูเจ๋อที่สวมเสื้อผ้าเพียงชั้นเดียว ในพระทัยรู้สึกผิด จึงตรัสว่า "ขุนนางซู ท่านเอาเสื้อคลุมหนังสัตว์ให้ข้าแล้วท่านมิหนาวหรือ?”
“ขอบพระทัยฮองเฮาที่ทรงห่วงใย กระหม่อมมิเป็นไร กระหม่อมเป็นบุรุษ ความเย็นเล็กๆ น้อยๆ นี้ทนได้พ่ะย่ะค่ะ” ซูเจ๋อยืดตัวตรง จงใจแสดงให้เห็นว่ามิกลัวหนาว
น่าเสียดาย ที่จู่ๆ เขาก็จามออกมา “คนแกร่ง” ที่เพิ่งจะลุกขึ้นยืดอกโชว์แมน แต่กลับจามสนั่นหวั่นไหวอย่างห้ามมิอยู่แบบนี้ นี่มันทำลายลุคที่สร้างขึ้นเสียป่นปี้
ฮองเฮาฝูโซ่วที่กำลังทรงมิเบิกบานพระทัยอยู่นั้น พอได้ทรงทอดพระเนตรเห็นเขาในสภาพนี้แล้ว ก็อดสรวลออกมามิได้
“นี่ ดูเหมือนจะหนาวจริงๆ แล้ว” ซูเจ๋อค่อยๆ เช็ดจมูกของเขา
ฮองเฮาฝูโซ่วกลั้นหัวเราะ และทรงตรัสอย่างเป็นห่วงเป็นใยว่า "ข้าได้พูดทุกอย่างที่ต้องการพูดกับขุนนางซูไปหมดแล้ว ขุนนางซูกลับไปก่อนเถิด เดี๋ยวจะมิสบายไปเสียก่อน”
ซูเจ๋อลุกขึ้น แต่จู่ๆ ก็นึกขึ้นได้ว่าเขายังมีอะไรบ้างอย่างที่ยังพูดมิจบ จึงได้นั่งลงอีกครั้ง
“ขุนนางซู ยังมีเรื่องอันใดที่จะกล่าวอีกหรือ?” ฮองเฮาฝูโซ่วทรงทอดพระเนตรออกว่า เขายังมีเรื่องคาใจ
ซูเจ๋อพูดเสียงเบาลง ดวงตาสื่อความนัย ขณะกล่าวว่า "กระหม่อมอยากจะทูลว่า ยามใดที่ฉางอานเกิดการเปลี่ยนแปลง จนมิสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ ถ้าฝ่าพระบาทและฮองเฮาทรงเชื่อในคำพูดของกระหม่อม สามารถไปที่หนานหยางได้ กระหม่อมจะพยายามปกป้องฝ่าพระบาทและฮองเฮาอย่างสุดความสามารถพ่ะย่ะค่ะ”
ทันทีที่เขาพูดออกมา แววประหลาดพระทัยก็ปรากฏขึ้นในดวงพระเนตรของฮองเฮาฝูโซ่ว พระนางทรงทอดพระเนตรไปที่ซูเจ๋ออย่างตื่นเต้นและพึงพอใจ แต่ก็มิได้ทรงตรัสสิ่งใดออกมา
พระนางทรงรู้ว่าตั๋งโต๊ะได้แต่งตั้งเขาไปเป็นเจ้าเมืองหนานหยาง เนื่องจากมิสามารถพูดให้ชัดเจนไปกว่านี้ได้ แต่พระนางก็ทรงเข้าพระทัยความนัยที่ซ่อนอยู่ในคำพูดเหล่านี้ของเขาเป็นอย่างดี
บัญฑิตยากจนผู้นี้ชื่อซูเจ๋อ ที่จริงแล้วตั้งใจจะใช้เมืองหนานหยาง อาศัยความแข็งแกร่งสยบความอ่อนแอ เพื่อปกป้องพระนางกับโอรสสวรรค์ ผู้เป็นพระสวามีของพระนางนั่นเอง
ฮองเฮาฝูโซ่วจ้องซูเจ๋อเขม็ง หลังจากมองเขาอยู่ครู่ใหญ่ๆ จึงทรงพยักพระพักตร์อย่างพึงพอใจ และตรัสว่า “ดีจริงๆ ที่ขุนนางซูจงรักภักดีต่อราชวงศ์ฮั่นและโอรสสวรรค์ ข้าจะจดจำสิ่งที่ท่านพูดในวันนี้ แต่ข้าหวังว่า วันหนึ่งท่านจะมิหายตัวไปเสียก่อน
แม้ว่าคำพูดของฮองเฮาฝูโซ่วจะดูเหมือนกำลังชมเชยเขา แต่ซูเจ๋อก็ฟังออกว่ามันมีความหมายอื่นซ่อนอยู่ด้วยเช่นกัน เขาคิดว่าความแข็งแกร่งของเขาอ่อนแอเกินไป มิเพียงพอจะเป็นขุนนางที่พระนางและเล่าเหียบจะพึ่งพาได้ และยังรอบคอบมิพอที่จะปกป้องพวกพระนางได้
“ที่ฮองเฮาตรัสมาคือ กระหม่อมก็หวังว่าวันหนึ่งจะมิหายตัวไปเช่นกันพ่ะย่ะค่ะ” ซูเจ๋อพูดด้วยน้ำเสียงสงบนิ่งเรียบเฉย
จริงๆ แล้ว ซูเจ๋อมิเชื่อว่าในอนาคตเล่าเหียบจะตกต่ำจนถึงขั้นต้องลี้ภัยไปที่หนานหยางที่เขาดูแลปกครองอยู่ เมื่อกี้เขาก็แค่พูดเพื่อสร้างโอกาสให้กับตัวเองเท่านั้น
เขาก็แค่อยากเป็นเจ้าเมืองหนานหยางเท่านั้นเอง เขามิใช่วีรบุรุษ มีกำลังทหารเพียงเล้กน้อย ชื่อเสียงก็มิได้โด่งดังอะไร เพราะมาจากครอบครัวที่ยากจน มิค่อยมีใครรู้จัก การที่จะให้เขาบากหน้าไปขอร้องให้คนอื่นช่วยเหลือก็ยิ่งเป็นเรื่องที่ยากมาก ใครจะยอมมาช่วยเขา นอกจากต้องบุกน้ำลุยไฟฝ่าฟันไปด้วยตัวเองเท่านั้น
ถ้าเขาสามารถทำให้โอรสสวรรค์ เชื่อมั่นในตัวเขาได้ ทุกอย่างก็จะเปลี่ยนไปในทันที อนาคตของเขาจะสดใสแน่นอน เขาสามารถเลียนแบบสิ่งที่โจโฉทำในประวัติศาสตร์ได้ คัดเลือกผู้ที่มีความสามารถภายใต้ธง ของโอรสสวรรค์ เขาจะใช้เวลาให้น้อยที่สุด มอบความมั่งคงแข็งแกร่งให้กับโอรสสวรรค์
นี่คือความตั้งใจที่แท้จริงของเขาที่จะพูดกับฮองเฮาฝูโซ่ว
แม้เล่าเหียบจะมองว่าเขามีกำลังทหารที่น้อยและดูอ่อนแอ คงจะช่วยอะไรเขามิได้ แต่ก็ยังถือว่าพอจะมีโอกาสอยู่บ้าง ถึงแม้โอกาสจะน้อยก็เถอะ แต่ซูเจ๋อจะยอมแพ้ได้ไง
“สิ่งที่กระหม่อมอยากกราบทูลต่อฮองเฮา กระหม่อมก็ได้กราบทูลไปหมดแล้ว ถ้าหากฮองเฮามิได้มีสิ่งใดจะทรงรับสั่งกับกระหม่อมอีก กระหม่อมขอทูลล่าพ่ะย่ะค่ะ” ซูเจ๋อลุกขึ้นโค้งคำนับก่อนจะขอตัวออกมา
“ขุนนางซู กลับมาก่อน อย่าเพิ่งไป” ฮองเฮาฝูโซ่วกวักพระหัตถ์ห้ามและเรียกกลับมาอย่างกังวล
ซูเจ๋อโค้งมือประสาน ก่อนจะหันหลังกลับไป
ฮองเฮาฝูโซ่วมองซูเจ๋อจากไป เมื่อทอดพระเนตรเห็นหลังของเขาลับตาไปต่อหน้าต่อตา ความห่วงใยที่ปรากฏบนพระพักตร์ของฮองเฮาฝูโซ่วก็จางหายไปอย่างรวดเร็ว แต่ดวงพระเนตรสดใสกลับปรากฎความสงสัยขึ้นมาแทนที่
“ซูจือหมิงผู้นี้ แม้จะมาจากครอบครัวที่ยากจน ก็หาใช่คนธรรมดาทั่วไปอย่างแน่นอน เพียงแต่มิรู้ว่าที่เขาพูดมานั้นเป็นความจริงมากเพียงใด ยิ่งมิรู้ว่าต่อหน้าข้าเขาเสแสร้งแกล้งทำมากเพียงใด”
ด้านนอกกระโจมหลวง
ซูเจ๋อยกม่านขึ้นและเดินออกไป จิวฉองที่รออยู่ด้านนอกเมื่อเห็นซูเจ๋อมิได้สวมเสื้อคลุมหนังสัตว์ เขาก็รีบถอดเสื้อคลุมหนังสัตว์ของตนออกมาอย่างรวดเร็ว แล้วรีบคลุมให้กับเขา
เขารวบเสื้อคลุมหนังสัตว์เข้ามาให้แน่นขึ้น แล้วเงยหน้าขึ้น ก็เห็นอ้องอุ้นที่สวมใส่เสื้อผ้าเพียงชั้นเดียว ตัวสั่นเหมือนแมวอยู่ที่หน้าประตูทางเข้ากระโจมหลวง หน้าซีดจนเป็นสีม่วงเพราะความหนาว ปากสั่นจนได้ยินเสียงฟันกระทบกัน
เมื่อเห็นหน้าของเขาแข็งอย่างนั้น ซูเจ๋อก็แอบหัวเราะ แล้วแกล้งทำเป็นแปลกใจ พลางพูดว่า "ไอ๊หยา ใต้เท้าอ้องอุ้น ท่านหนาวขนาดนี้เลยหรือ ข้าน้อยบอกท่านตั้งแต่แรกแล้วว่าวันนี้อากาศจะเปลี่ยน ใต้เท้าอ้องอุ้นท่านก็มิเชื่อ มาๆ รีบสวมเสื้อคลุมหนังสัตว์ของข้าน้อยก่อนเถิด อย่าปฏิเสธเลย เดี๋ยวจะป่วยเอาได้”
อ้องอุ้นรู้สึกอับอายขึ้นมาในทันที นึกเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ได้ ข้าเพิ่งจะถากถางซูเจ๋อเรื่องที่เขาใส่เสื้อคลุมหนังสัตว์ทั้งที่แดดจ้าไปเอง พริบตาเดียวเท่านั้น บัดซบ..นี่มันเหมือนเขาถูกตบหน้าฉากใหญ่จึงได้ทำให้อากาศเปลี่ยนแปลงไปมากขนาดนี้
เมื่อได้ยินคำพูดที่ห่วงใยของซูเจ๋อ เขากลับรู้สึกว่าซูเจ๋อกำลังเยาะเย้ยเขา ถึงมันจะหนาวขนาดไหน เขาก็สะบัดมืออย่างแรง ยึดอกหลังตั้งตรงเหมือนไม้กระดาน พูดเสียงเย็นชาว่า "ก็แค่ลมเย็น หาใช่เรื่องใหญ่อะไร ข้ามิหนาว เสื้อคลุมหนังสัตว์ของซูกงนี่ท่านเก็บไว้ใส่เองเถอะ ข้าเห็นว่ารูปร่างของท่านเล็กกว่าของข้ามาก อย่าทำให้ตัวเองต้องเจ็บป่วยเลย”
“ใต้เท้าอ้องอุ้นสุขภาพแข็งแรงดีจริงๆ เช่นนี้ ข้าน้อยก็จะเก็บเสื้อคลุมหนังสัตว์นี้ไว้ใส่เองแล้วกัน” จากนั้นซูเจ๋อก็สวมเสื้อคลุมหนังสัตว์ที่เพิ่งถอดออก กลับเข้ามาใหม่อีกครั้ง แล้วประสานมือกล่าวยิ้มๆ พูดกับเขาว่า "เช่นนั้น ข้าน้อยต้องขอกลับไปก่อน ใต้เท้าอ้องอุ้นค่อยๆ รออยู่ที่นี่ก็แล้วกันนะขอรับ”
พูดจบ ซูเจ๋อก็ยิ้มให้ แล้วหันหลังเดินจากไป
ทันทีที่เขาหันหลับไป อ้องอุ้นก็ฝืนทนมิไหวอีกต่อไป หดตัวเป็นก้อนกลมอีกครั้งทันที จ้องมองไปที่ร่างของซูเจ๋อที่ค่อยๆ ไกลออกไป สีหน้าของเขาทั้งหงุดหงิดทั้งแปลกใจ เขาพึมพำว่า “เจ้าเด็กแซ่ซูผู้นี้ ทำไมถึงได้คาดเดาได้แม่นยำถึงเพียงนี้ ว่าวันนี้อากาศจะเย็นอย่างกะทันหัน อีกทั้งยังอุณหภูมิยังลดลงอย่างรวดเร็วอีกด้วย เป็นไปได้ไหมว่าเขาจะสามารถพยากรณ์อากาศได้?”
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ อ้องอุ้นก็รู้สึกหวาดหวั่นใจขึ้นมาทันที แต่ก็ส่ายศีรษะขึ้นมาอีกครั้งทันที “มันจะเป็นไปได้อย่างไรกัน พยากรณ์อากาศ นี่นับเป็นความสามารถที่คนทั้งใต้หล้าพากันแสวงหา เขาที่มาจากครอบครัวยากจน ทำไมถึงได้มีความสามารถเช่นนี้ได้ หรือเขาก็แค่โชคดี...”
ซูเจ๋อเดินเล่นอย่างสบายๆ อยู่ที่ลานค่ายพัก มินานก็หายไปจากสายตาของอ้องอุ้น
หลังจากกลับถึงกระโจมที่พักในค่ายแล้ว ซูเจ๋อกระซิบถามว่า "ตั๋งโต๊ะพาฝ่าบาทไปที่ใด?”
จิวฉองรีบตอบ "พวกเขาน่าจะมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือขอรับ”
“ตอนนี้พวกเขาคงกำลังอยู่ระหว่างเดินทางกลับ ยังพอมีเวลาขอรับ” หลังจากซูเจ๋อคำนวณดูแล้ว จึงสั่งว่า "ท่านรีบพาพี่น้องสักสองสามคนไปนำเสื้อคลุมหนังสัตว์ที่เหลือของเราทั้งหมดออกมา แล้วนำมันตามข้ามุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือเพื่อรอต้อนรับตั๋งโต๊ะและฝ่าบาท”
จิวฉองรีบไปทำตามคำสั่ง หลังจากนั้นมินาน ซูเจ๋อก็ถือเสื้อคลุมหนังสัตว์สิบกว่าตัวที่เหลืออยู่ เดินตรงไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของพื้นที่ล่าสัตว์
เมื่อออกจากค่ายมิถึงสองลี้ ก็เจอขบวนเสด็จประพาสกำลังมุ่งหน้ามาทางกระโจมหลวง ซูเจ๋อสังเกตเห็นร่างอวบอ้วนของตั๋งโต๊ะและพระวรกายบอบบางและอ่อนแอของเล่าเหียบได้อย่างชัดเจนในทันที
นอกจากตั๋งโต๊ะที่มีดูหนังหนาแล้ว คนส่วนใหญ่ต่างก็รู้สึกถึงความหนาวเย็นที่จู่ๆ ก็ลดลงอย่างกะทันหันนี้เช่นกัน โดยเฉพาะโอรสสวรรค์ ที่มีพระวรกายบอบบางกำลังตัวสั่นเนื่องจากความหนาวเย็นนี้
“อย่างที่ข้าคิดไว้จริงๆ..."
รอยยิ้มเยาะเย้ยปรากฏบนริมฝีปากชองซูเจ๋อแวบหนึ่งแล้วจางหายไป เขาหยุดยืนอยู่ข้างทาง โค้งทำนับเพื่อรับเสด็จกลับ
“ซูจื่อหมิง เจ้ามาทำอะไรที่นี่?” ตั๋งโต๊ะหยุดม้าศึกของเขา และใช้สายตามมองเขาด้วยความหวาดระแวง
ซูเจ๋อประสานมือคารวะแล้วตอบว่า " เรียนใต้เท้า ข้าน้อยเห็นว่าอากาศจู่ๆ ก็หนาวเย็นขึ้นมา เกรงว่าจะทำให้ฝ่าบาทล้มป่วยลงได้ ข้าน้อยได้นำเสื้อคลุมหนังสัตว์หนามาด้วยหลายตัว เลยรีบนำมามอบให้กับใต้เท้าและถวายแด่ฝ่าบาทเพื่อป้องกันความหนาวเย็นขอรับ”
ตั๋งโต๊ะรู้สึกชอบใจเป็นอย่างมาก จึงได้กล่าวชมเชยว่า “จื่อหมิง เจ้าคือน้ำทิพย์ชโลมใจของข้าจริงๆ แม่งเอ๊ย เจ้านี่มันเป็นเทพแห่งการทำนายจริงๆ เจ้าบอกว่าจะหนาวก็หนาวจริงๆ ข้าหนาวจะตายอยู่แล้ว เร็ว เอาเสื้อคลุมหนังสัตว์ของเจ้ามาให้ข้า”
ซูเจ๋อรีบสั่งให้จิวฉองนำเสื้อคลุมหนังสัตว์นั้นมอบให้ ตั๋งโต๊ะและเล่าเหียบรีบสวมแล้วกระชับมันให้แน่นหนามิดชิดขึ้น ส่วนที่เหลือ ก็แจกจ่ายให้กับองค์รักษ์คนอื่นอีกคนละตัวเช่นกัน ส่วนพวกลูกน้องหางแถวพวกนั้น ก็คงต้องปล่อยให้ทนหนาวไปก่อน
ทันทีที่ตั๋งโต๊ะรู้สึกอบอุ่นขึ้น เขาจึงอารมณ์ดีขึ้นด้วยเช่นกัน เขาตบบ่าซูเจ๋อ พลางหัวเราะเสียงดังแล้วพูดว่า “ซูจื่อหมิง เจ้าทำได้ดีมาก ข้าจะมอบรางวัลแก่เจ้าเป็นอย่างงามเลย”
“ทั้งหมดนี้ ล้วนเป็นสิ่งที่ข้าน้อยสมความทำแล้วขอรับ ดังนั้น ใต้เท้าอย่าได้เกรงใจเลย” ซูเจ๋อปฏิเสธไปตามมารยาท
“มิได้!” ตั๋งโต๊ะโบกมือเป็นอย่างใหญ่ “พวกเศษสวะรอบตัวข้าพวกนี้ มิมีใครมีสมองคิดได้อย่างเจ้าเลย ข้าต้องให้ของดีๆ แก่เจ้าเป็นรางวัลอย่างแน่นอน จะได้เป็นตัวอย่างกับพวกสวะพวกนี้ได้เรียนรู้จากเจ้าบ้าง พูดมา เจ้าอยากได้อะไรเป็นรางวัล?”
ตั๋งโต๊ะมีอำนาจเหนือกว่าเขามาก อีกทั้งยังมีนิสัยเอาแต่ใจตัวเองอีกด้วย ดึงดันจะมอบรางวัลให้กับซูเจ๋อให้ได้ มิเอาก็ต้องเอา ห้ามปฏิเสธ
ซูเจ๋อมิมีทางเลือกอื่น นอกจากต้องรับไว้ เขาหลับตาลงแล้วคิดว่าต้องการอะไรเป็นรางวัลถึงจะดี ซึ่งต้องทำให้ตั๋งโต๊ะพอใจ และมิทำให้ตั๋งโต๊ะเห็นว่าตัวเขาเป็นคนโลภมาก
ทันใดนั้น เขาก็เหลือบมองไปด้านหลังตั๋งโต๊ะที่มิไกลกันมากนัก มีองครักษ์คนหนึ่ง ที่ร่างกายอ้วนท้วน ดูแล้วเหมือนมีวิทยายุทธ์ แต่มิรู้ว่าเขาทำอะไรผิดมา ถึงโดนมัดให้ม้าลากมา เนื้อตัวล่อนจ้อนแบบนี้
อากาศหนาวขนาดนี้ องครักษ์ผู้นี้จะต้องหนาวมากแน่ๆ เพราะตัวเขาสั่นไปหมดแล้ว หนาวจนตัวซีดเขียวแล้ว
ซูเจ๋อเริ่มสงสัย จึงได้ถามว่า ”ใต้เท้า มิทราบว่านักโทษผู้นั้น ทำอะไรผิดหรือขอรับ?”
ตั๋งโต๊ะเหลือบมองไปที่ชายผู้นั้น ถึงกับโมโห แล้วพูดว่า "ผู้นี้คือเฮาเฉีย มันมิเห็นข้าอยู่ในสายตา กล้าแย่งเหยื่อของข้า ข้าจะแช่แข็งมันให้ตายทั้งเป็น”
เฮาเฉีย...
ชื่อนี้ทำไมมิค่อยคุ้นเลย ซูเจ๋อรีบรื้อฟื้นประวัติศาสตร์จากความทรงจำในสมองทันที
เขาจำได้เลือนรางว่าในประวัติศาสตร์ เฮาเฉียคนนี้เคยเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของเตียวสิ้ว อ้างว่า “มีพลังมหาศาล สามารถแบกของหนักห้าร้อยชั่ง เดินทางวันละเจ็ดร้อยหลี่” เขาเป็นแม่ทัพภายใต้บังคับบัญชาของเตียวสิ้ว หลังจากที่เตียวสิ้วยอมสวามิภักดิ์ต่อโจโฉแต่โดยดีแล้ว โจโฉก็คิดจะติดสนิทด้วย
เนื่องจากเขาภักดีต่อเตียวสิ้ว เมื่อเตียวสิ้วยอมสวามิภักดิ์ เขาจึงมิได้กระทำการใดๆ กับโจโฉอีก แต่หลังจากเตียวสิ้วก่อกบฏ เขาก็เป็นคนไปขโมยทวนคู่ของเตียนอุย เพื่อช่วยเตียวสิ้วทำสงครามกับโจโฉ
เมื่อคนนี้เป็นแม่ทัพที่เก่งกาจขนาดนี้ มันน่าเสียดายถ้าเขาจะต้องมาถูกแช่เข็งจนตายทั้งเป็น เพียงเพราะแย่งเหยื่อของตั๋งโต๊ะโดยมิได้ตั้งใจแบบนี้
‘ข้ายังขาดแม่ทัพอยู่ แม้ว่าเฮาเฉียผู้นี้จะมิใช่แม่ทัพใหญ่ที่เก่งกาจแต่อย่างใด แต่ก็จัดอยู่ในระดับเดียวกันกับจิวฉอง เนื่องจากใต้เท้าตั๋งโต๊ะต้องการจะมอบรางวัลให้แก่ข้าด้วยใจจริง ถ้าหากว่า...’
ซูเจ๋อหันศีรษะไปมอง ประสานมือคารวะแล้วพูดว่า "ตอนที่ข้าน้อยอยู่ที่ฉางอานเคยช่วยนายท่านปราบโจรกบฎ ทำให้พวกมันโกรธแค้น เกรงว่าระหว่างทางที่ข้าต้องเดินทางกลับเมืองจิงโจว พวกโจรกบฏเหล่านั้นจะกลับมาแก้แค้น ข้าจึงอยากขอใต้เท้าได้โปรดไว้ชีวิตเฮาเฉียผู้นี้ แล้วมอบเขาให้แก่ข้า เพื่อให้เขาอารักขาข้ากลับไปที่เมืองจิงโจว ด้วยเถิดขอรับ”