px

เรื่อง : ข้ามีดาวเที่ยมในยุคสามก๊ก (นิยายแปล) ปลดล๊อคตอนฟรี 3 วัน 1 ตอน
ตอนที่ 36 ใช้เสน่ห์ล่อลวง


ตอนที่ 36 ใช้เสน่ห์ล่อลวง

 

ตั๋งโต๊ะเหลือบมองไปที่เฮาเฉียครู่หนึ่ง แล้วจึงโบกมืออย่างมิคิดมากอันใด  “คนไร้ค่าเช่นนี้ ถ้าจื่อหมิงอยากจะได้มัน ผู้อาวุโสอย่างข้าก็จะยกให้เจ้า”

 

น้ำเสียงที่เขาใช้เรียกเฮาเฉียราวกับเห็นอีกฝ่ายเป็นเพียงขยะไร้ค่าที่ต้องการจะทิ้งจริงๆ ขณะที่พูดยังมิแม้แต่จะเหลือบตาแลเลยสักนิด

 

“ขอบคุณใต้เท้ามากขอรับ” ซูเจ๋อรีบขอบคุณ

 

ตั๋งโต๊ะสั่งให้ตัดเชือกที่มัดเฮาเฉียออก แล้วโยนเขาให้กับซูเจ๋อ แล้วตัวเองก็พาฮ่องเต้ไปพร้อมกับเหล่าองครักษ์ปลายแถวที่กำลังตัวสั่นเทาเพราะความหนาว ขบวนเสด็จประพาสมุ่งหน้าไปยังกระโจมหลวงที่ค่ายพักแรม

 

ทันทีที่ตั๋งโต๊ะเดินทางไป ซูเจ๋อก็กระโดดลงจากหลังม้า และถอดเสื้อคลุมหนังสัตว์ของตนออก คุกเข่าลงกับพื้นเพื่อคลุมเสื้อหนังสัตว์ให้กับเฮาเฉียที่กำลังจะตัวแข็งเพราะความหนาว

 

เฮาเฉียคิดว่าเขาจะต้องตายแน่แล้ว แต่เขามิคิดว่าจะได้พบกับซูเจ๋อ ทั้งอีกฝ่ายยังได้ช่วยชีวิตเขาจากตั๋งโต๊ะ เขารู้สึกซาบซึ้งจนมิอาจกลั้นน้ำตามิให้ไหลลงมาได้

 

เขาก้มลงกับพื้นทั้งที่ตัวยังคงสั่นอยู่ จนฟันกระทบกันมิหยุด คำนับและละล่ำละลักพูดว่า  “ข..ขอบพระคุณคุณชายมาก ที่ช่วยชีวิต จ...จากวันนี้...เป็นต้นไป ชีวิตนี้ของเฉียจะขอมอบให้กับคุณชาย คุณชายให้ข้าไปตาย เฉียก็จะมิ..มิปฏิเสธเลยขอรับ”

 

“เอาล่ะ ไว้ค่อยพูดกันคราวหลังเถิด ตอนนี้รีบกลับไปที่กระโจมกับข้าและผิงไฟทำให้ร่างกายอบอุ่นเสียก่อน”

 

ซูเจ๋อตบไหล่เขาเบาๆ อย่างโล่งอก แล้วช่วยพยุงเขาขึ้นมา บอกให้จิวฉองช่วยพาเขาขึ้นม้า มุ่งหน้ากลับไปยังที่ตั้งกระโจมหลวง

 

หลังจากนั้น ซูเจ๋อก็พาเฮาเฉียกลับไปด้วยกัน เมื่อกลับถึงกระโจมของตัวเองแล้ว ซูเจ๋อก็บอกให้ซูเซี๋ยวเสี่ยวรีบเติมไฟในเตา นอกจากนี้ ยังให้ไปต้มเหล้ามาให้เฮาเฉียดื่มเพื่อทำให้ร่างกายอบอุ่นอีกด้วย

 

ครู่ใหญ่ หลังจากนั้นเฮาเฉียก็มิหนาวและหยุดตัวสั่นแล้ว ใบหน้าซีดจนเขียวเริ่มกลับมามีเลือดฝาดอีกครั้ง สติสัมปชัญญะและประสาทสัมผัสต่างๆ กลับมาสู่ภาวะปกติ

 

เขากระโดดขึ้นมา แล้วหมอบลงแทบเท้าซูเจ๋ออีกครั้งหนึ่ง พร้อมกล่าวอย่างกระตือรือร้นว่า “บุญคุณอันใหญ่หลวงของคุณชาย ข้าน้อยมิมีอะไรจะตอบแทน ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปขอแค่คุณชายมีคำสั่ง มิว่าจะต้องผ่านภูเขาและเปลวเพลิง มิว่าจะมีอันตรายมากมายเพียงใด ข้าน้อยก็ยินดีปฏิบัติตามคำสั่งขอรับ”

 

“ดี ดีมาก เจ้ามีใจเช่นนี้ ดีจริงๆ” ซูเจ๋อโบกมือบอกให้เขาลุกขึ้น เขายิ้มบางแล้วพูดว่า   “ข้าซูเจ๋อต้องพึ่งพาเจ้าเพื่อช่วยข้าทำงานให้สำเร็จ พวกเราจะต้องผ่านภูเขาและเปลวเพลิงไปด้วยกัน สิ่งที่รอพวกเราอยู่คือความรุ่นโรจน์และมั่งคั่ง”

 

เฮาเฉียกราบกรานอยู่หลายครั้งก่อนจะลุกขึ้น เมื่อยืนขึ้น เขายิ้มซื่อๆ แล้วถามว่า    “คุณชายขอรับ ข้าน้อยหิวแล้ว มิทราบวาที่นี่มีเนื้อให้กินหรือไม่ขอรับ”

 

ซูเจ๋อชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะหัวเราะแล้วพูดว่า  “มีอยู่แล้ว เจ้าอยากกินเท่าไหร่เล่า”

 

พูดจบ ซูเจ๋อบอกให้ซูเซี๋ยวเสี่ยวรีบส่งเนื้อแกะนึ่งชามใหญ่ที่ยังเหลือจากอาหารตอนบ่ายไปให้กับเขา

 

เฮาเฉียอาจจะหิวจนตาลาย พอเห็นเนื้อดวงตาจึงเป็นประกาย จนมิสนใจเรื่องมารยาทอีกต่อไป เขากระโจนเข้าใส่ไวปานพายุ ใช้เวลามินานก็จัดการเนื้อแกะนึ่งชามใหญ่จนเกลี้ยง

 

แต่เฮาเฉียยังมิรู้สึกอิ่ม ระหว่างที่กำลังเช็ดคราบมันที่มุมปาก เขาก็ถามอย่างมิเกรงใจว่า  “คุณชายขอรับ ยังมีเหลืออีกหรือไม่ เฉียยังมิอิ่มเลยขอรับ”

 

จิวฉองกับซูเซี๋ยวเสี่ยวเห็นแล้วถึงกับตกใจจนพูดมิออก ทั้งสองคนหันมาสบตากัน อ้าปากค้างด้วยความประหลาดใจ คิดในใจว่าเนื้อนั้นกินได้ถึงสามคนเชียวนะ แต่ชายผู้นี้กลับกินหมดคนเดียวภายในพริบตา แล้วยังบอกว่ามิอิ่มอีก!

 

เขากินจุขนาดนี้เลยหรือนี่

 

ซูเซี๋ยวเสี่ยวอดที่จะบ่นมิได้ว่า   “  ข้าจะถามเจ้าหน่อยว่า กระเพาะของเจ้ามันจะใหญ่เกินไปหรือเปล่า ถึงได้กินจุกว่าหมูซะอีกเนี้ย”

 

เฮาเฉียหน้าแดง เกาหลังศีรษะตัวเอง แล้วพูดอย่างอายๆ ว่า   “ข้าเป็นคนที่กระเพาะใหญ่มาตั้งแต่เกิดแล้ว ทำให้พวกเจ้าต้องขบขันแล้วสินะ”

 

ซูเจ๋อมิได้สนใจ เขาเพียงแค่ยิ้มและโบกมือพูดว่า   “มิเป็นไร ถ้าเจ้ากินเยอะ ก็แปลว่ามีพละกำลังเยอะด้วยเช่นกัน เซี๋ยวเสี่ยว ไปทำชามใหญ่มาอีกชาม”

 

ซูเซี๋ยวเสี่ยวมิมีทางเลือกอื่น นอกจากต้องออกไปพร้อมกับบ่นพึมพำไปด้วย มินานนัก นางก็กลับมาพร้อมชามใบใหญ่และเสียงบ่นพึมพำ

 

พลั่ก!

 

นางกระแทกชามใส่เนื้อลงบนหีบและเตือนเฮาเฉียว่า   “ข้าขอเตือนว่า เจ้าต้องกินให้ช้าๆ หน่อย อย่าทำเป็นเหมือนผีขี้ตะกละ เข้าใจไหม?”

 

“ได้ๆ ต้องได้…...”

 

ทันทีที่เฮาเฉียเห็นเนื้อ ก็พุ่งมาก่อนจะพูดรับปากจบเสียอีก เขากระโจนไปที่ชามเนื้อ จิ้มมันขึ้นมากินอีกครั้ง

 

ซูเซี๋ยวเสี่ยวโกรธจนควันออกหู จึงแยกออกไปด้านข้างมองอย่างเหยียดหยามพลางบ่นมิหยุด แต่เฮาเฉียทำเป็นเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา เอาแต่กัดแทะกินเนื้ออย่างเมามัน

 

หลังจากนั้นมินาน เฮาเฉียก็แทะเนื้อแกะนึ่งจนเกลี้ยงชามอีกครั้ง

 

เฮาเฉียสะอึกขณะถือชามเปล่ายื่นให้ซูเซี๋ยวเสี่ยว ขอร้องนางอย่างเจี๋ยมเจี้ยมว่า”ข้าขอร้องล่ะ แม่นางซู อา...คนสวย ข้าขออีกชามได้หรือไม่ ข้ายังหิวอยู่อีกนิดหน่อย”

 

“เจ้ายังมิอิ่มอีกอย่างงั้นหรือ? เจ้านี่มันหมูชัดๆ!” ซูเซี๋ยวเสี่ยวประหลาดใจมากจนตาถลนแถบจะออกมานอกเบ้า

 

ที่ด้านข้าง จิวฉองทนมองต่อไปมิไหวแล้ว จึงได้ตำหนิ   “ข้าจะบอกอะไรให้นะ เจ้าเตี้ย อย่าให้มันมากเกินไปนัก เจ้ายังมิได้ตอบแทนให้คุณชายเลย ก็ทั้งกินทั้งดื่มจนหนำใจแล้ว เจ้าคิดว่ามันถูกต้องแล้วหรือ”

 

ซูเซี๋ยวเสี่ยวโวยวายใส่เขา เขาก็ทนได้ จิวฉองโวยวายใส่เขา เขาถึงกับโกรธเป็นฟืนเป็นไฟขึ้นมาทันที

 

พลั่ก!

 

เขาทุบชามที่อยู่ในมือ แล้วกระโดดขึ้นแล้วตวาดว่า  “เจ้าถ่านหน้าดำ ข้าจะกินเนื้อ ใครจะทำไม ชีวิตข้ามอบให้แก่คุณชายแล้ว ถ้าข้าอิ่ม ข้าก็สามารถทำงานหนักให้คุณชายได้ คุณชายยังมิว่าอะไรข้าเลย แล้วเจ้าจะโวยวายทำไมกัน”

 

“เจ้าเตี้ย เจ้ามิอยากมีชีวิตอยู่แล้วใช่หรือไม่” จิวฉองโกรธจัด

 

“เจ้าถ่านหน้าดำ  ข้าก็กลัวแต่ว่าเจ้าจะมิกล้า!” เฮาเฉียมิยอมแพ้ พับแขนเสื้อขึ้นเตรียมเปิดศึก

 

ลูกน้องทั้งสองคนมีนิสัยหยาบคาบ มิมีใครยอมใคร ตั้งท่าจะสู้กันในกระโจมที่พักนี้

 

ซูเจ๋อมองดูชายหยาบคายสองคนทะเลาะแล้ว รู้สึกตลกอยู่ในใจ แต่เขาจะปล่อยไว้แบบนี้มิได้ จึงกระแอมไอขึ้นมาครั้งหนึ่ง แล้วพูดอย่างมิค่อยพอใจว่า  “เจ้าสองคนทำแบบนี้หมายความว่าอย่างไร  ในสายตาของพวกเจ้า ยังมีคุณชายอย่างข้าอยู่หรือไม่”

 

ทันใดนั้น เสียงทะเลาะวิวาทภายในกระโจมใหญ่ ก็หยุดลงในทันที

 

เฮาเฉียถึงกับสะดุ้ง รีบคุกเข่าลงละล่ำละลักพูดว่า  “เฉียผิดไปแล้วขอรับ เฉียเป็นคนหยาบกระด้าง เวลาโมโหหิวขึ้นมาก็จะขาดสติ ทำอะไรมิคิด รบกวนคุณชาย ขอคุณชายได้โปรดให้อภัยแก่ข้าน้อยด้วยขอรับ”

 

จิวฉองก็ประสานมือคำนับ แล้วพูดว่า  “บ่าวอารมณ์มิดี ควบคุมตัวมิอยู่ ขอคุณชายได้โปรดให้อภัยด้วยขอรับ”

 

ซูเจ๋อพยักหน้าเล็กน้อย สีหน้าอบอุ่นอ่อนโยนดูผ่อนคลายขึ้นบางส่วน

 

เมื่อเห็นชายท่าทางดุร้ายสองคนคุกเข่าอยู่บนพื้นเพื่อขอรับโทษ ซูเจ๋อก็รู้สึกใจหายวาบ เขากล่าวว่า  “เจ้าทั้งสองเป็นเหมือนแขนซ้ายและแขนขวาของข้า ที่ข้าจะต้องพึ่งพาในวันข้างหน้า พอเจอหน้ากันก็มิชอบหน้ากันเช่นนี้ แล้วในวันข้างหน้าข้าจะวางใจให้พวกเจ้าร่วมกันสู้ศึกได้อย่างไรกัน เอาอย่างนี้แล้วกัน วันนี้ ข้าจะเป็นพยานให้กับพวกเจ้าทั้งสองคน พวกเจ้าทั้งสองจงสาบานเป็นพี่น้องกัน นับจากนี้ไป จะร่วมแรงร่วมใจกันช่วยเหลือข้า”

 

สาบานเป็นพี่น้องกัน?

 

จิวฉองและเฮาเฉียทั้งสองคน ถึงกับชะงักงันไปเกือบจะพร้อมๆ กัน ทั้งคู่หันมาสบตากันอย่างมิอยากจะเชื่อสายตาตัวเอง

 

“ทำไม พวกเจ้าต่างก็บอกว่าจะบุกน้ำลุยไฟเพื่อข้าซูเจ๋อมิใช่หรือ ตอนนี้แค่ขอให้พวกเจ้าสองคนสาบานเป็นพี่น้องกันก็ทำมิได้แล้วหรือ?” ซูเจ๋อจงใจทำหน้าเคร่งขรึม ให้เห็นว่ากำลังมิพอใจอยู่

 

ร่างของจิวฉองชะงักไป เขากัดฟันกรอดแล้วพูดอย่างมิค่อยเต็มใจนักว่า  “หากเป็นคำสั่งของคุณชายแล้ว บ่าวมิอาจมิทำตาม ข้าขอสาบานว่าจะเป็นพี่น้องกับเจ้าเตี้ยนี้”

 

“ถึงแม้ว่าเจ้าหน้าถ่านจะน่ารำคาญ แต่ตราบใดที่เป็นคำสั่งของคุณชาย เฮาเฉียก็จะทำตามขอรับ” เฮาเฉียก็พูดอย่างมิค่อยจะเต็มใจนัก

 

ซูเจ๋อทำทีเป็นพอใจ แล้วก็หัวเราะออกมา  “ดีมาก ในเมื่อพวกเจ้าต่างก็เห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกันอย่างนี้ ทุกอย่างราบรื่นก็ดีแล้ว เซี๋ยวเสี่ยว รีบไปเอาธูปหอมมา วันนี้ข้าจะให้พวกเขาสาบานเป็นพี่น้องกัน”

 

ในใจจิวฉองและเฮาเฉียต่างก็รู้สึกกลัดกลุ้มและรู้ตัวดีว่าถูกบังคับ จะเอาอะไรมาเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกันเล่า

 

พวกเขามิได้รู้สึกมีความสุขเลยสักนิด เพราะเป็นคำสั่งของซูเจ๋อจึงมิกล้าปฏิเสธ ทั้งสองคนจุดธูปหอม เพื่อกราบไหว้ฟ้าดิน แล้วสาบานเป็นพี่น้องกัน โดยมีซูเจ๋อเป็นสักขีพยาน

 

“ดี ดีมาก นับแต่นี้เป็นต้นไป เจ้าสองคนก็คือพี่น้องกัน ต้องช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ช่วยให้ข้าทำการณ์ใหญ่ให้สำเร็จ” ซูเจ๋อตบไหล่ทั้งสองข้างของทั้งสองคนอย่างพึงพอใจ

 

จิวฉองประสานมือคำนับแล้วพูดว่า    “คุณชายโปรดวางใจ บ่าวยังยืนยันคำเดิม บ่าวยินดีบุกน้ำลุกไฟเพื่อคุณชายอย่างมิลังเลขอรับ”

 

“เฉียก็เช่นกันขอรับ!”

 

เฮาเฉียนั้นยังรู้สึกหิวอยู่ จึงได้รีบหันมายิ้มอย่างออดอ้อนแล้วพูดว่า “ถ้าอย่างนั้น คุณชายจะให้เนื้อแกะนึ่งอีกชามกับข้าได้หรือไม่ เฉียยังมิอิ่มเลยขอรับ”

 

“ยังจะกินอีก เจ้ามันหมูชัดๆ!”

 

เสียงตวาดของซูเซี๋ยวเสี่ยวดังขึ้นอีกครั้ง จากภายในกระโจม

 

……

 

หลังจากการล่าสัตว์สามวัน ตั๋งโต๊ะกลับเมืองหลวงไปพร้อมกับโอรสสวรรค์ ส่วนซูเจ๋อก็ตามเขากลับไปที่เมืองฉางอานด้วย

 

หลังจากถวายเครื่องบรรณาการเสร็จ ซูเจ๋อบอกให้ซูเซี๋ยวเสี่ยวรีบเตรียมเก็บสัมภาระและกระเป๋าเดินทางให้เรียบร้อย เพียงแค่รอราชโองการแต่งตั้งจากราชสำนัก จากนั้นพวกเขาก็จะรีบเดินทางกลับเมืองจิงโจวทันที

 

ช่วงบ่ายของวัน

 

จิวฉองรีบร้อนจากด้านนอกเข้ามา หันซ้ายหันขวา เมื่อเห็นว่ามิมีผู้ใดอยู่แถวนี้จึงกระซิบว่า  “คุณชายขอรับ ข้าทำตามที่ท่านสั่ง สะกดรอยตามหวังหลิง พวกเรารู้ที่ซ่อนพ่อแม่ของหญิงสาวผู้นั้นแล้วขอรับ”

 

“แล้วคนเล่า?” ซูเจ๋อตาเป็นประกาย

 

“คุณชายโปรดวางใจขอรับ ข้าพาพี่น้องจำนวนหนึ่ง ปลอมตัวเป็นโจรเข้าไป แล้วช่วยชีวิตสามีภรรยาคู่นั้น ตอนนี้พวกเขาซ่อนตัวอยู่ในที่ปลอดภัยนอกเมืองขอรับ” จิวฉองตอบแล้วยิ้ม

 

ซูเจ๋อพยักหน้าอย่างพอใจ ถามว่า  “แล้วเจ้าได้เปิดเผยตัวตนหรือไม่?”

 

“คุณชายโปรดวางใจ ข้าทำทุกอย่างตามที่คุณชายได้บอกไว้ล่วงหน้าแล้ว พวกเขามิมีทางรู้แน่ว่าพวกเราอยู่เบื้องหลังเรื่องทั้งหมดนี้”

 

ซูเจ๋อชอบใจ ชมเชยว่า “ทำได้ดีมาก”

 

“แล้วจะให้พวกเราทำอย่างไรต่อไปขอรับ” จิวฉองถาม

 

“ตอนนี้ ต้องรอข่าวจากเฮาเฉียก่อน ข้าต้องรู้ความเคลื่อนไหวของอุปราชหวังก่อน ถึงจะตัดสินใจได้ว่าจะต้องทำอย่างไรต่อไป”

 

……

 

ณ จวนอุปราช

 

ในห้องโถงใหญ่อันว่างเปล่า มองเห็นแค่เพียงอ้องอุ้น กำลังจดจ่ออยู่กับกระดานหมากล้อม ในมือซ้ายถือหมากขาว มือขวาถือหมากดำ กำลังเดินหมากกับตนเองอยู่

 

ช่วงเวลาที่กำลังเข้าด้ายเข้าเข็มนี้ เสียงฝีท้าที่ดูรีบร้อนดังขัดจังหวะการใช้ความคิดของเขา เขาเหลือบมองหวังหลิง หลานชายของตัวเองที่รีบร้อนวิ่งเข้ามา

 

“ท่านลุง เกิดเรื่องแล้วขอรับ !”

 

หวังหลิงก้าวยาวๆ เข้ามาอย่างกับผีพุ่งไต้ พร้อมกับใบหน้าเคร่งเครียด  “หลานเพิ่งได้ข่าวมาว่า เรือนอีกหลังของพวกเราถูกโจรปล้น พ่อแม่ของนางถูกโจรลักพาตัวไปแล้วขอรับ”

 

“อะไรนะ!” อ้องอุ้นที่กำลังเดินหมากกับตัวเองอยู่นั้นพลันมีสีหน้าเปลี่ยนไป มือกำเม็ดหมากแน่นขึ้นมาทันที

 

วินาทีถัดมา อ้องอุ้นก็กลับมานิ่งเฉยดังเดิม เพียงแต่ขมวดคิ้วเล็กน้อย ถามด้วยน้ำเสียงสุขุมว่า  “พวกโจรมีที่มาอย่าไร เหตุใดจึงได้พุ่งเป้าไปที่พ่อแม่นาง?”

 

หวังหลิงส่ายศีรษะ  ”หลานมองมิเห็น โจรพวกนี้ มิเพียงแต่ลักพาตัวเขาไป แต่ยังรื้อค้นทรัพย์สินในบ้านหลังอื่น แล้วทิ้งจดหมายขู่ก่อนจะจากไปด้วย ว่าให้พวกเราเตรียมเงินไว้หนึ่งแสนตำลึงเพื่อไถ่ตัวพวกเขา ตามความเห็นของหลาน โจรพวกนี้คงคิดว่าพ่อแม่นางเป็นคนในตระกูลที่ร่ำรวย”

 

อ้องอุ้นที่กำลังขมวดคิ้วเล็กน้อย จู่ๆ ก็ค่อยๆ คลายออก ลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก

 

“เรื่องนี้ เจ้าอย่าให้ใครรู้” อ้องอุ้นที่สวมเสื้อชั้นเดียวกล่าวเสียงเบา

 

“ท่านลุงโปรดวางใจขอรับ” ดวงตาของหวังหลิงปรากฏแววเย็นชาขึ้น “บ่าวรับใช้ในบ้านที่รอดตาย หลานจัดการฆ่าปิดปากหมดแล้ว มิให้เหลือรอดแม้แต่ผู้เดียว  รับรองว่าจะมิมีใครรู้เรื่องนี้แน่นอนขอรับ”

 

“เจ้าฆ่าพวกมันหมดแล้ว?” อ้องอุ้นที่สวมผ้าชั้นเดียวมีสีหน้าประหลาดใจ น้ำเสียงที่ถามจึงมีความประหลาดใจปนอยู่ด้วย

 

หวังหลิงถอนหายแล้วพูดว่า  “ก็หลานถูกบังคับนี่ขอรับ เรื่องสำคัญขนาดนี้ จะต้องมิมีพิรุธ มิให้พลาดอย่างแน่นอน หลานก็ทำได้เท่านั้นจริงๆ ขอรับ"

 

“อืม..”

 

อ้องอุ้นถอนหายใจยาวๆ อย่างช่วยมิได้ เขาลุกขึ้นยืน ยกมือขึ้นประสานคารวะให้กับฟ้า  “บรรพบุรุษที่อยู่ด้านบน อุ้นเป็นบุตรชายของคนสกุลหวัง ได้กระทำการหลายสิ่งหลายอย่างเป็นที่น่าอับอาย ทำให้บรรพบุรุษต้องเสื่อมเสียชื่อเสียง แต่หาได้มีเจตนาที่จะกระทำเพราะความเห็นแก่ตัวไม่ มันเป็นเพียงแผนการใหญ่ในการช่วยเหลือค้ำจุนราชวงศ์ฮั่น ขอบรรพบุรุษทั้งหลายได้โปรดยกโทษให้กับอุ้นด้วยเถิดขอรับ”

 

“ท่านลุงเป็นขุนนางที่ทำเพื่อต้าฮั่น เขาจำเป็นต้องทำ เชื่อว่าบรรพบุรุษจะมิลงโทษท่านลุง” หวังหลิงที่อยู่ด้านข้างพูดปลอบใจ

 

อ้องอุ้นตำหนิตัวเอง จากนั้นสีหน้าที่คอยตำหนิตัวเองอยู่นั้นได้จางหายไปในที่สุด

 

หวังหลินก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก แล้วพูดว่า  “ท่านลุงขอรับ ถ้าอย่างนั้น พรุ่งนี้ข้าวางแผนจะเชิญคนแซ่ซูผู้นั้นมา แล้วลองให้นางเกลี้ยงกล่อม เพื่ออาศัยความสามารถของเขาดูดีไหมขอรับ?”

 

“ก็ดี” อ้องอุ้นบอก เขาพูดด้วยน้ำเสียงเฉียบขาดว่า “คนแซ่ซูผู้นี้นับว่าตัวละครที่มีอิทธิพล เขาเคยช่วยหลานของตระกูลตั๋ง ทำให้เป็นที่โปรดปรานของโจรชั่วตั๋ง ข้าจะลองหยั่งเชิงดูว่าได้เบาะแสอะไรจากเขาบ้าง เขาได้บอกอะไรกับโจรชั่วตั๋งหรือไม่?”

 

ทันทีที่บทสนทนาถูกเปลี่ยนไป อ้องอุ้นก็พูดติดตลกและเย้ยหยันอีกครั้งว่า  “ข้าก็อยากจะรู้เหมือนกันว่า เสน่ห์ของนางฝึกไปถึงขั้นไหนแล้ว แล้วจะใช้กับคนแซ่ซูผู้นี้ได้ผลหรือไม่”

 

รีวิวผู้อ่าน