ตอนที่ 37 สุภาพบุรุษมิคิดล่วงเกินสตรี
“อืม...ท่านลุงพูดมีเหตุผลขอรับ เช่นนั้น หลานจะให้คนส่งเทียบเชิญไปให้คนแซ่ซูขอรับ” หวังหลิงโค้งคำนับ แล้วรีบถอยออกไปอย่างดีใจ
อ้องอุ้นเอามือลูบเครายาวของเขา ยืนหยัดอย่างภาคภูมิใจเฉกเช่นต้นไผ่ตั้งลำ คิ้วที่เดี๋ยวขมวดเดี๋ยวคลายคล้ายกับกำลังวางแผนลับๆ
พวกเขามิได้รับรู้เลยว่า ที่ข้างกำแพงมีเงาดำกำลังดักฟังบทสนทนาระหว่างลุงกับหลาน ที่ได้ยินอย่างครบถ้วนชัดเจน
“ต้องรีบไปรายงานคุณชายแล้ว”
เงาดำย่องเสียงเบาออกไปเพียงมิกี่ก้าว ราวกับสายลมพัดผ่านลาน เดินหันออกไปทางกำแพงสูงของจวนอุปราชแล้วหายลับตาไป
“นั่นอะไร ดูเหมือนว่าข้าจะเห็นเงาบางอย่างบินผ่านไปต่อหน้าต่อตา!”
“มิน่าจะมีนะ คนที่ไหนกันจะว่องไวได้ขนาดนั้น เจ้าคงจะต้องตาฝาดไปแล้วแน่ๆ”
“อ่อ อาจจะจริงอย่างที่ท่านลุงว่าขอรับ ข้าน่าจะตาฝาด ต้องโทษแม่นางฮัวจากหอนางโลมที่ตรอกด้านข้าง นางสุดยอดไปเลยนะขอรับ เราอยู่ด้วยกันเกือบครึ่งคืน จนข้าแทบมิได้นอนเลยขอรับ”
“เจ้าเด็กบ้านี่ แอบไปมีความสุขอยู่ที่หอนางโลมด้านข้างมิบอกข้าเลย มันน่าโมโหนัก”
……
ณ จวนรับรอง
ขณะที่ซูเจ๋อกำลังฟังจิวฉองรายงาน ก็มีลมพัดเข้ามา เฮาเฉียก็มายืนอยู่ตรงหน้าพวกเขาแล้ว
“เจ้าเตี้ย จู่ๆ เจ้าก็โผล่มาอย่างกับผี จะแกล้งกันให้ตายหรือไง!” จิวฉองบ่นพร้อมกับจ้องเขาตาแถบถลน
เฮาเฉียมองค้อนเขาแล้วพูดว่า “ข้าก็เป็นคนว่องไวอย่างนี่แหละ เจ้าหน้าถ่าน เจ้าจะโวยวายอะไร”
ซูเจ๋อส่ายศีรษะอย่างจนใจกับสองพี่น้องคู่นี้ ถึงแม้จะเป็นเพียงแค่พี่น้องร่วมสาบานกันก็เถอะ แต่จะทะเลาะกันอยู่ทั้งวันแบบนี้มิได้หรอกนะ มิรู้จะทำอย่างไรกับพวกเขาแล้วจริงๆ
“เฮาเฉีย เจ้าได้ข่าวอะไรมาบ้าง?” ซูเจ๋อจงใจถามขัดจังหวะการทะเลาะของพวกเขา
เฮาเฉียสามารถเดินได้เร็ว วันละเจ็ดร้อยลี้ต่อวัน มีวิชาตัวเบา ดังนั้นจึงเหมาะที่ซูเจ๋อจะใช้เขาไปสอดแนมที่จวนของอุปราชอ้อง
เฮาเฉียจึงได้รายงานว่า ”เรียนคุณชาย เฉียเห็นอ้องอุ้นคุยกับหลานชายของเขา พวกเขาบอกว่าวันนี้จะส่งเทียบเชิญมาให้คุณชาย และจะส่งหญิงสาวที่มีเสน่ห์มากนางหนึ่งออกมา ได้ยินว่าจะให้นางหว่านเสน่ห์ยั่วยวนคุณชายให้หลงใหลนาง เพื่อจะดูว่าคุณชายรู้แผนการอะไรของพวกเขาบ้าง แล้วได้เปิดเผยความลับใดให้กับใต้เท้าตั๋งรู้หรือไม่”
“ส่งนางออกมาทำไมกัน จะใช้ข้ามาเป็นตัวทดสอบเสน่ห์ของนางอย่างงั้นหรอ...” ซูเจ๋อพึมพาพร้อมกับเยาะเย้ยเขา เดาว่าอ้องอุ้นคงคิดจะเตรียมการบางอย่างไว้อย่างแน่นอน”
เมื่อเสียงสนทนาจบลง ซูเซี๋ยวเสี่ยวก็ก้าวเข้าไปในโถงกลางทันที นางนำเทียบเชิญเข้ามาส่งให้ “คุณชายเจ้าค่ะ มีคนจากจวนของท่านอุปราชส่งเทียบเชิญมาให้คุณชายเจ้าค่ะ บอกว่าเชิญคุณชายไปงานเลี้ยงส่งในวันพรุ่งนี้เจ้าค่ะ
“มันมาแล้ว” ซูเจ๋อยิ้ม มิลังเลเลยสักนิด เขายื่นมือไปรับแล้วพูดว่า “กลับไปบอกคนส่งเทียบเชิญว่าพรุ่งนี้ข้าจะไปงานเลี้ยงตรงเวลา”
ซูเซี๋ยวเสี่ยวรับคำและเดินไปให้คำตอบคนส่งเทียบเชิญ
จิวฉองถามขึ้นว่า “คุณชายขอรับ เจ้าอ้องอุ้นนั้น พุ่งเป้ามาที่คุณชายอยู่หลายครั้ง ตอนนี้ก็ยังจะแสร้งทำเป็นจัดเลี้ยงให้กับคุณชายอีก แล้วเหตุใดคุณชายต้องเห็นแก่หน้ามันด้วย ท่านมิจำเป็นต้องไปงานเลี้ยงนั้นเลยก็ได้”
“นั่นเป็นเพราะว่า ข้าเห็นอ้องอุ้นผู้นั้นพุ่งเป้ามาที่ข้าหลายครั้ง เพียงอยากจะฆ่าข้าให้ตาย แล้วถ้าข้าปฏิเสธมิไปงานเลี้ยงนี้ นั่นมิเท่ากับมีพิรุธหรอกหรือ?” ซูเจ๋ออธิบายให้เข้าใจง่ายๆ แล้วจึงยิ้ม
ทั้งจิวฉองและเฮาเฉียพากันตกใจ พวกเขามิเข้าใจความหมายที่ซูเจ๋อพูดอยู่พักหนึ่ง
ซูเจ๋อเรียกทหารทั้งสองคนที่อยู่ตรงหน้าให้เขยิบเข้ามา สั่งการว่า “พรุ่งนี้ตอนที่ข้าไปงานเลี้ยง ให้เจ้าสองคนแยกย้ายกันไปทำงาน พรุ่งนี้พวกเราจะทำอย่างนี้...”
……
วันรุ่งขึ้น
ประมาณเที่ยงตรง รถม้าคันหนึ่งได้ออกไปจากโรงจอดรถม้า ใช้เวลามินาน รถม้าก็แล่นมาถึงหน้าประตูจวนของอุปราชแล้ว
ซูเจ๋อกระโดดลงจากรถม้า จัดแจงเสื้อผ้าให้เข้าที่เข้าทาง สูดหายใจลึกๆ และก้าวขึ้นบันไดเดินเข้าไปในจวนอุปราชอย่างมิสะทกสะท้านแต่อย่างใด
โดยมีบ่าวรับใช้คอยนำทางให้ ซูเจ๋อเข้ามาในห้องโถงที่สว่างไสวสวยงามนี้เป็นครั้งที่สองแล้ว
ครั้งล่าสุดที่มาในนี้ สีหน้าของอ้องอุ้นผู้เป็นลุงและหลานคู่นี้ มิพอใจเขาและมิได้ช่วยพูดแก้ต่างให้กับเขา ทั้งยังมิได้ยินดีอย่างจริงใจที่เขาเป็นเจ้าเมืองหนานหยาง ซึ่งเป็นรางวัลที่ช่วยชีวิตตั๋งโต๊ะและหลานสาวเอาไว้
แต่ครั้งนี้ อ้องอุ้น กลับตั้งใจเชิญเขามาเป็นแขกในงานเลี้ยงครั้งนี้ ทั้งยังให้นั่งตำแหน่งของบุคคลสำคัญ
เมื่อก้าวเข้าไปในห้องโถง ด้านในอวบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของสุราชั้นเลิศและเนื้อหอมๆ ทุกเมนูล้วนเป็นอาหารชั้นเลิศที่ได้ถูกจัดเตรียมไว้ล่วงหน้าเป็นอย่างดี รอเพียงแค่การมาถึงของเขาเท่านั้น
เมื่ออ้องอุ้นเห็นซูเจ๋อมาถึง เขาก็ลุกขึ้นและลงไปที่ห้องโถงเพื่อกล่าวทักทายเขาอย่างเป็นกันเองว่า ”จื่อหมิง ในที่สุดเจ้าก็มา ข้ายังคิดว่าเจ้าจะมิมาเสียแล้ว”
“จะเป็นไปได้อย่างไรกัน อุปราชหวังเชิญมางานเลี้ยงทั้ง นับเป็นเกียรติแก่ข้าน้อยเป็นอย่างยิ่ง จะมิมาได้อย่างไรกันขอรับ” ซูเจ๋อประสานมือคำนับ เขาพูดด้วยรอยยิ้มที่ดูสุภาพ
หลังจากจบการทักทายปราศรัยกันอย่างสุภาพแล้ว ทั้งสองคนก็นั่งลงประจำตำแหน่งของตน คือที่นั่งสำหรับแขกและเจ้าบ้าน
หลังจากดื่มทักทายกันพอเป็นพิธีแล้ว อ้องอุ้นแสร้งทำเหมือนจู่ๆ ก็นึกอะไรขึ้นมาได้ จึงพูดว่า “ตอนนี้แขกที่รอคอยมาถึงจวนแล้ว ยังมิรีบไปเชิญคุณหนูเข้ามาดื่มคารวะคุณชายซูอีก”
สาวใช้ที่อยู่ด้านข้างรับคำสั่งแล้วรีบออกไป ใช้เวลามินาน ก็มีเสียงฝีเท้าดังมาจากด้านหนึ่งของม่าน
อีกด้านของม่าน มองเห็นเงาสีชมพูลางๆ ค่อยๆ เดินออกมา
ทั้งที่คนยังมิได้เดินเข้ามา ก็ได้กลิ่นของแป้งหอมจางๆ ลอยเข้าจมูกมา เมื่อได้สูดดม ซูเจ๋อรู้สึกผ่อนคลาย เคลิบเคลิ้มและมีความสุข จนอดที่จะตื่นเต้นมิได้
หลังจากนั้น หญิงสาวในชุดสีชมพูก็ยกแขนเรียวงามขึ้น ทำให้แขนเสื้อเลื่อนลงมา เผยให้เห็นแขนขาวนวลราวกับหิมะ คล้ายกับรากบัวครึ่งท่อนที่ถูกลอกเปลือกออกช้าๆ นางค่อยๆ ยกม่านขึ้นแล้วเข้ามาด้านใน
ทันใดนั้น ซูเจ๋อกลั้นหายใจ
สาวน้อยในชุดสีชมพูตรงหน้างดงามเป็นอย่างยิ่ง นางงดงามอย่างไร้ที่ติ งดงามจนจันทราหลบโฉมสุดา มวลผกาละอายนาง มัจฉาจมวารี ปักษีตกนภา สวยจนซูเจ๋อแแทบอ่อนระทวย ความงามของนางยากจะหาคำมาบรรยายได้
นางเหมือนเทพธิดาที่เดินออกมาจากภาพวาด สวยจนทำให้คนที่ได้เห็นเหมือนตกอยูในภวังค์
เมื่ออ้องอุ้นมองไปที่ซูเจ๋อที่กำลังตกอยู่ในภวังค์ เขาลูบเคราตัวเองเล็กน้อย มุมปากยกขึ้นอย่างเหยียดหยามแวบหนึ่ง ท่าทางของซูเจ๋อที่กำลังเป็นอยู่นี้เป็นไปตามที่เขาคาดไว้มิมีผิด
“ท่านพ่อบุญธรรมเรียกลูกมา มิทราบว่ามีสิ่งใดจะสั่งหรือเจ้าค่ะ” สาวน้อยในชุดสีชมพูหันไปหาอ้องอุ้น กล่าวกับเขาอย่างนอบน้อม
อ้องอุ้นกวักมือเรียกซูเจ๋อ ยิ้มแล้วพูดว่า “ผู้นี้คือคุณชายซูที่มาจากเมืองจิงโจว เป็นผู้มีพระคุณและเป็นผู้ที่ใต้เท้าตั๋งชื่นชอบ ที่พ่อเคยเล่าให้เจ้าฟังอย่างไรเล่า เลยอยากจะแนะนำเจ้าให้รู้จักกับคุณชายซูสักหน่อย ยังมิรีบเข้ามาคารวะคุณชายอีก”
หญิงสาวในชุดสีชมพูรีบเดินอย่างชดช้อยเข้าไปหาซูเจ๋อ คารวะอย่างเป็นทางการ ริมฝีปากคล้ายผลลูกพีชเอ่ยขึ้นมาเบาๆ ว่า “เตียวเสี้ยนคารวะคุณชายซูเจ้าค่ะ”
เตียวเสี้ยน!
หัวใจของซูเจ๋อสั่นเล็กน้อย คิดในใจว่า ‘ นางคือเตียวเสี้ยนจริงๆ ข้าขอบอกเลยนะว่าในโลกนี้จะมีหญิงสาวที่สวยงามมากขนาดนี้อยู่จริงๆ อ้องอุ้น อ๊า…คิดมิถึงว่าเจ้าจะให้เตียวเสี้ยนทดสอบข้า ยังไงเสีย ข้าก็ต้องขอบใจเจ้าหน่อยแล้ว ใช่ ต้องขอบใจเจ้าแล้วจริงๆ...’
ซูเจ๋อหายใจเข้าครั้งหนึ่ง ก่อนจะกลับมาทำตัวสบายๆ อย่างอารมณ์ดี ประสานมือคำนับแล้วพูดว่า “ข้าซูเจ๋อ หรือจะเรียกซูจื่อหมิงก็ได้ คารวะคุณหนู”
เตียวเสี้ยนมิมีพิรุธอะไรที่ผิดสังเกตเลย ร่างนุ่มนิ่มของนางคุกเข่าลงข้างๆ ซูเจ๋อ นิ้วมือเรียวเล็กเหมือนต้นหอมของนางรินสุราแก้วหนึ่งแล้วยื่นส่งให้ตรงหน้าซูเจ๋อ
“เสี้ยนเอ๋อเคยได้ยินท่านพ่อบุญธรรมชื่นชมคุณชายซูบ่อยๆ จึงรู้สึกชื่นชมคุณชายซูมาเป็นเวลานานแล้วเจ้าค่ะ วันนี้นับเป็นวาสนานัก ที่ได้พบคุณชายซูที่สง่างามด้วยตาตนเอง เสี้ยนเอ๋อขอดื่มคารวะคุณชายซูหนึ่งแก้วเจ้าค่ะ”
นางเรียกเขาว่า “คุณชายซู” ด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลฟังดูเย้ายวนแทน ส่งสายหวานหยาดเยิ้มวิบวับราวสายน้ำ เหมือนต้องมนต์คลัง ซูเจ๋อใจเต้นแรงเหมือนหัวใจจะวายเพราะความตื่นเต้น ที่เตียวเสี้ยนมาหว่านเสน่ห์ใส่เขาเช่นนี้
“แผนใช้เสน่ห์ยั่วยวนนี้ร้ายกาจจริงๆ พูดแค่มิกี่คำ ก็ทำให้ข้าถึงกับเคลิบเคลิ้มตาลอยได้ มิแปลกใจเลยว่าทำไมอ้องอุ้นจึงมีชื่อปรากฎในประวัติศาสตร์ได้ เพราะสามารถใช้นางปั่นหัวตั๋งโต๊ะกับลิโป้สองพ่อลูกให้หลงใหลจนโงหัวมิขึ้น ถึงขั้นเข่นฆ่ากันเองได้ โชคดีที่ข้าเตรียมใจไว้ก่อนแล้ว และรู้ว่านี่เป็นหลุมพราง..เท่านั้น”
ซูเจ๋อลอบสูดหายใจเข้า พยายามอย่างสุดความสามารถที่จะระงับจิตใจที่กำลังปั่นป่วน หยิบแก้วสุราไปอย่างมิรีบร้อน ยิ้มอย่างอ่อนน้อมถ่อมตนแล้วพูดว่า “คุณหนูชมเกินไปแล้ว ข้าน้อยเป็นเพียงแค่คนธรรมดาต่ำต้อย มิได้มีชื่อเสียงแต่อย่างใด สุราแก้วนี้ ข้าต้องคารวะคุณหนูจึงจะถูกขอรับ”
พูดจบ ซูเจ๋อก็ดื่มรวดเดียวหมดแก้ว
เตียวเสี้ยนเห็นซูเจ๋อท่าทางสุขุมอ่อนโอน เป็นสุภาพบุรุษ มิหลงเสน่ห์ในความงามของตน ดวงตาของนางถึงกับปรากฏความสงสัยและประหลาดใจ จึงฉวยโอกาสตอนที่เขาดื่มหันศีรษะไปมองอ้องอุ้นเป็นเชิงขอคำชี้แนะ
อ้องอุ้นเห็นท่าทางสงบนิ่งของซูเจ๋อจึงมิค่อยพอใจนัก เขาลอบขมวดคิ้ว ขยิบตาส่งสัญญาณให้กับเตียวเสี้ยน โบกมือให้นางชวนคุยต่อ
เมื่อเตียวเสี้ยนเข้าใจความหมาย จึงยิ้มหวานแล้วพูดว่า “คุณชายซูช่างถ่อมตนยิ่งนักเจ้าค่ะ เสี้ยนเอ๋อได้ยินว่า คุณชายมีความสามารถรอบรู้ มีญาณหยั่งรู้ ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน วันนี้มีโอกาส จึงอยากจะขอคำชี้แนะจากคุณชายซูสักหน่อยได้ไหมเจ้าค่ะ มา เจ้าค่ะ เสี้ยนเอ๋อขอดื่มคารวะคุณชายซูอีกแก้วเจ้าค่ะ”
เตียวเสี้ยนเมื่อพูดจบ ก็เทสุราอีกแก้วหนึ่ง มือประคองแก้วส่งให้ตรงหน้าซูเจ๋ออีกครั้ง
เมื่อรู้ว่านางกำลังหว่านเสน่ห์เขาอีก แต่ในเมื่อมีคนสวยส่งสุราให้ ซูเจ๋อก็มิมีเหตุผลอะไรที่จะต้องปฏิเสธ ก็แค่ยื่นมือออกไปรับมันมาก็เท่านั้น
ขณะที่เขายื่นมือออกไปรับแก้วสุรา เตียวเสี้ยนก็ปล่อยแก้วให้หลุดจากมือก่อนมือเขาจะแตะถูกแก้วเพียงชั่วพริบตา
เพล้ง!
ทันทีที่แก้วสุราหลุดจากมือ ทำให้สุราหกกระเด็นใส่ตัวซูเจ๋อ
“โอ้ว เป็นเพราะเสี้ยนเอ๋อมิทันระวัง จึงได้บังเอิญทำสุรารดใส่เสื้อผ้าของคุณชายซู เสี้ยนเอ๋อมิได้เจตนาจริงๆ นะเจ้าค่ะ เสี้ยนเอ๋อต้องขออภัยด้วยเจ้าค่ะ” ใบหน้าของเตียวเสี้ยนเปลี่ยนไป พร้อมกับกล่าวคำขอโทษมากมายมิหยุด
“มิเป็นไร เพราะข้ามิรับมันมาถือให้ดี มิใช่ความผิดของคุณหนูขอรับ” ซูเจ๋อยิ้มกว้างอย่างเข้าใจ พยายามกดซับสุราบนเสื้อผ้าของตัวเองในทันที
“ข้าจะช่วยคุณชายทำความสะอาดเจ้าค่ะ” เตียวเสี้ยนรีบหยิบผ้าเช็ดหน้าผ้าไหมออกจากแขนเสื้อของนาง เอนตัวเข้าไปใกล้เขาโดยมิขออนุญาต เพื่อจะเช็ดเสื้อผ้าให้กับเขา
นี่เป็นการจู่โจมใกล้ชิดแบบมิทันให้ได้ตั้งตัว
ร่างนุ่มนิ่มของเตียวเสี้ยนเกือบจะชิดกับร่างของเขา เส้นผมปลิวไสวใกล้จมูกของเขา กลิ่นหอมจางๆ จากร่างหอมกรุ่น แทรกซึมไปทั่วทุกอณูรูขุมขน มือเปล่าเปลือยของนางสัมผัสกับเสื้อผ้าของเขาเบาๆ แม้เพียงปลายนิ้วสัมผัส ก็ยังรู้สึกถึง...
ตอนนี้ ซูเจ๋อรู้สึกว่าเลือดในกายพลุ่งพล่านไปด้วยไฟแห่งความปรารถนาที่อยู่ในส่วนลึกของจิตใจ ใกล้จะปะทุออกมาเหมือนกับภูเขาไฟที่ฟื้นคืนชีพ
‘ซูเจ๋อ เอ๊ย ซูเจ๋อ ถ้าเจ้ามิสามารถต้านทานการยั่วยวนของหญิงสาวเพียงคนเดียวได้ แล้วยังจะกล้าพูดอะไรถึงการบรรลุอุดมการณ์อันยิ่งใหญ่ได้อีกเล่า...’
ท่ามกลางไฟปรารถนาที่รุนแรงนี่ มีเสียงเตือนอันมุ่งมั่นเหมือนเหล็กกล้า ก้องอยู่ในหูอยู่ตลอดเวลา คอยย้ำเตือนเขา
พริบตาเดียว จิตใจของซูเจ๋อก็กลับมาสุขุมอีกครั้ง สูดหายใจเข้าลึกๆ สักพัก เขาก็สามารถสะกดอารมณ์ให้เลือดที่พลุ่งพลานกลับมาเป็นปกติดังเดิมได้ในที่สุด
“มิเป็นไรขอรับคุณหนู เรื่องแค่นี้ ข้าทำเองได้”
ซูเจ๋อหยิบผ้าเช็ดหน้าผ้าไหมออกจากมือของนาง เขาเช็ดเสื้อผ้าของเขาอย่างใจเย็น โดยมิได้เหลือบมองไปที่เตียวเสี้ยนมากนัก เพียงกำลังทำตัวเป็นสุภาพบุรุษหลิ่วเซี่ยฮุ่ย ที่มิคิดล่วงเกินหญิงสาว
เตียวเสี้ยนตกใจ เมื่อพบว่ากระบวนท่ายั่วยวนที่สองของตนล้มเหลวอีกครั้ง ยังมิมีเสน่ห์ใดที่จะทำให้ใจของซูเจ๋อหวั่นไหวได้ คาดว่าแผนสาวงามคงจะใช้กับเขามิได้ผล
“คุณชายซูผู้นี้ จิตใจแน่วแน่เข้มแข็งมาก ต่างจากคนทั่วไปจริงๆ..”
ในขณะนั้น ในดวงตาของเตียวเสี้ยนมีความชื่นชม ที่ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นอ่อนโยนปรากฏขึ้นอย่างเงียบๆ
อ้องอุ้นซึ่งเฝ้าดูอยู่ข้างๆ กลับมีใบหน้ากลัดกลุ้มลง ราวกับว่าซูเจ๋อจะมิสะทกสะท้าน มิขยับเขยื้อน ทำให้ในใจเขารู้สึกหงุดหงิดอยู่มิน้อย เขาคิดว่ามิง่ายเลยที่เขาจะฝึกจิ้งจอกสาวอย่างเตียวเสี้ยนได้ ถ้าแม้แต่บัณฑิตยากจนก็ยังมิสามารถล่อลวงได้ เขาคงต้องคิดปรับปรุงแผนหญิงงามเสียใหม่แล้ว
ตอนนี้อ้องอุ้นพูดว่า “เสี้ยนเอ๋อ ทำไมเจ้าถึงได้ซุ่มซ่ามเช่นนี้ ยังมิรีบออกไปเต้นรำเพื่อเป็นการไถ่โทษต่อคุณชายซูอีก”
เตียวเสี้ยนเข้าใจหน้าที่ของตนดี นางอ่านความคิดของอ้องอุ้นได้ จึงได้เดินออกไปที่ห้องโถง ยิ้มบางแล้วพูดว่า “เสี้ยนเอ๋อต้องขออภัยคุณชายซูจากใจจริงเจ้าค่ะ ที่ทำให้เสื้อผ้าคุณชายซูเปียก เสี้ยนเอ๋อจะแสดงระบำให้ชม ถือว่าเป็นการขอโทษคุณชายซูนะเจ้าค่ะ”
เมื่อพูดจบ เตียวเสี้ยนก็ตบมือของนางเบาๆ นักดนตรีที่จัดเตรียมไว้ด้านหลังม่าน ก็เริ่มเล่นดนตรีกู่ฉินและขลุ่ย เสียงเพลงที่บรรเลงช่างไพเราะและยั่วยวนเร้าอารมณ์
เตียวเสี้ยนเปลี่ยนจากร้องมาเป็นเต้น แขนเสื้อที่พลิ้วไหวและร่างอรชรกำลังร่ายระบำอยู่ภายในห้องโถงนี้
นางยกมือและเท้าของนาง ทำให้หน้าอกของนางเปิดออกให้เห็นเล็กน้อย แขนขาวราวหยกอ่อนค่อยๆ ยกขึ้นเล็กน้อย บิดเอวเป็นเกลียวส่ายไปมาตามจังหวะของเสียงเพลง ขายาว สะโพกกลม เป็นเงาสีชมพูกลุ่มหนึ่งที่ปรากฎอยู่ในสายตา
ขณะเต้นรำ นางก็ยังคงมองกลับมาที่ซูเจ๋อเป็นครั้งคราวด้วยดวงตาที่เหมือนน้ำ เต็มไปด้วยอารมณ์ซาบซึ้งอ่อนไหว
ทุกท่วงท่า ทุกสายตาที่มอง ช่างมีเสน่ห์เย้ายวนยิ่งนัก ทำให้ผู้พบเห็นทนมิได้
แม้ว่าซูเจ๋อตั้งใจแน่วแน่ในสถานการณ์อันยั่วยวนนี้ เขาค่อยๆ เริ่มจะมิสามารถควบคุมเลือดที่กำลังพลุ่งพลานขึ้นมาที่ละน้อยได้ และมิอาจนั่งเฉยๆ ได้แล้วเช่นกัน
ซูเจ๋อยังคงสงบนิ่ง แต่กำลังสบถอยู่ในใจว่า ‘ให้ตายเถอะ ถ้ามิพูดอะไรสักอย่าง คุณชายอย่างฉันกำลังจะทนมิไหวแล้วนะ...’
อ้องอุ้นลอบมองซูเจ๋ออยู่เงียบๆ เห็นเขาค่อยๆ มีท่าทางกระสับกระส่าย เขาจึงได้เยาะเย้ยในใจว่า ‘หญิงงามอันดับหนึ่งในใต้หล้า บวกกับเสน่ห์เย้ายวนอันดับหนึ่งในใต้หล้า ซูเจ๋อ ข้ามิเชื่อหรอกว่าเจ้าจะมิหวั่นไหว ฮึ่ม ยังไงเจ้าก็เป็นแค่มนุษย์ธรรมดาผู้หนึ่งเท่านั้น...’
ขณะที่เขากำลังภูมิใจอยู่นั้น หวังหลิงก็รีบวิ่งเข้ามา กวักมือเรียกขึ้นว่า”ท่านลุงขอรับ มีโจรบุกเข้าไปในจวน พวกมันจุดไฟ วางเพลิงเผาทางทิศตะวันตกของจวนด้วยขอรับ!”