ตอนที่ 38 เตียวเสี้ยนแปลกใจ
มีคนวางเพลิง?
อ้องอุ้นขมวดคิ้ว ดวงตาตื่นตระหนก ทุกคนมิมีใครขยับเขยื้อน มิสร้างความวุ่นวาย
“เมืองฉางอาน นครแห่งคนดีและคนเลวอยู่ปะปนกัน ย่อมต้องมีผู้ร้ายที่ยากจะหลีกเลี่ยงเรื่องวุ่นวายได้ รีบพาคนไปช่วยกันดับไฟที่ด้านทิศตะวันตกของจวนเดี๋ยวนี้ แล้วหาตัวการที่ก่อปัญหานี้ออกมาให้ได้” อ้องอุ้นตะโกนพร้อมกับโบกมือไล่ให้บ่าวรับใช้รีบไปทำตามที่เขาสั่ง
“ขอรับ!” หวังหลิงรับคำสั่ง แล้วรีบร้อนออกไปในทันที
ในห้องโถงกลาง พวกสาวใช้จับกลุ่มคุยกันมาสักพัก พวกนางกังวลกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้มาก
มุมปากของซูเจ๋อปรากฏรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ ที่ถ้ามิสังเกตให้ดี ก็ยากนักที่จะเห็นได้
ถึงตอนนี้ เขาจึงได้ยืนขึ้น โค้งคำนับแล้วพูดว่า “เนื่องจากยามนี้เกิดเรื่องขึ้นภายในจวนของท่านอุปราช เช่นนั้นผู้น้อยจึงมิสะดวกที่จะอยู่รบกวนท่าน ดังนั้นจึงต้องขอตัวลากลับไปก่อนขอรับ”
“มีเรื่องวุ่นวายเกิดขึ้นภายในจวนทำให้จื่อหมิงต้องหัวเราะ เช่นนี้ข้าขอมิส่งเจ้าแล้วกัน เชิญจื่อหมิงตามสบายเถิด” เกิดเรื่องยุ่งแบบนี้ อ้องอุ้นก็มิอยากจะอยู่เพราะเหตุนี้เหมือนกัน แล้วเขาก็มิมีอารมณ์จะอยู่ดูเตียวเสี้ยนหว่านเสน่ห์อีก
ซูเจ๋อลุกขึ้นและลงบันไดไปหาเตียวเสี้ยน เขายื่นมือออกไปคำนับโค้งคำนับเล็กน้อย และพูดว่า “วันนี้ข้าน้อยซูเจ๋อได้มีโอกาสชื่นชมความงามของคุณหนู นับว่าเป็นโชคดีของข้า หวังว่าวันข้างหน้า ข้าจะสามารถพูดคุยกับคุณหนูอีกครั้ง ข้าน้อยซูเจ๋อคงต้องขอลากลับก่อนขอรับ”
“ขอคุณชายซูเดินทางกลับโดยปลอดภัย” เตียวเสี้ยนหยุดเต้นแล้วเดินเข้ามาหา ย่อตัวลงคารวะเพื่อเป็นการส่งเขา
ขณะที่ซูเจ๋อเดินผ่านนาง ซูเจ๋อก็ลดเสียงลงแล้วพูดขึ้นว่า “ข้าได้ช่วยพ่อแม่ของคุณหนูออกมาได้แล้ว หากยังอยากจะอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากับพวกเขาอีกครั้ง เชิญคุณหนูโปรดไปที่ลานทางทิศตะวันออก”
พูดจบ ซูเจ๋อมิได้พูดอะไรอีก เพียงเดินออกไปในที่สุด
ร่างของเตียวเสี้ยนถึงกับชะงักงัน นัยน์ตาเบิกโพลง ภายในใจรู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก นางหันขวับกลับไปมองซูเจ๋อที่กำลังจากไปทันที เกิดความรู้สึกสับสนขึ้นในจิตใจ
“เสี้ยนเอ๋อ การแสดงของเจ้าในวันนี้ทำให้พ่อผิดหวังยิ่งนัก” อ้องอุ้นพูดด้วยน้ำเสียงมิพอใจ
เสียงของเขาปลุกเตียวเสี้ยนให้หายจากความตกใจ นางรีบหันร่างกลับมาคุกเข่าลงตรงหน้าอ้องอุ้น กล่าวอย่างละอายใจว่า ”เสี้ยนเอ๋อพยายามอย่างสุดความสามารถแล้วเจ้าค่ะ แต่คุณชายซูเจ๋อผู้นี้จิตใจเข้มแข็งยิ่งนัก ถึงอย่างนั้นก็ยังสามารถเป็นสุภาพบุรุษหลิ่วเซี่ยฮุ่ยได้ เสี้ยนเอ๋ออับจนหนทางแล้วจริงๆ เจ้าค่ะ”
“ซูเจ๋อผู้นี้เป็นคนเก่งจริงๆ ก่อนหน้านี้ข้าคงประเมินเขาต่ำไป”
อ้องอุ้นพยักหน้า สีหน้าที่ผิดหวังดีขึ้นมาเล็กน้อย แล้วพูดว่า “ข้าคิดว่าจิตใจของสองคนนั้นแน่วแน่มั่นคงน้อยกว่าซูเจ๋อมากนัก โอกาสที่เจ้าจะทำงานได้สำเร็จจึงมีมากกว่า แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น เจ้าก็อย่าเพิ่งชะล่าใจ ยังคงต้องฝึกหนักต่อไป”
“เจ้าค่ะ เสี้ยนเอ๋อจดจำคำสอนของท่านพ่อบุญธรรมไว้เสมอเจ้าค่ะ” เตียวเสี้ยนลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก
อ้องอุ้นโบกมือของเขาแล้วพูดว่า “เอาล่ะ ที่นี่มิมีอะไรแล้ว เจ้าไปพักผ่อนก่อนเถอะ”
“เสี้ยนเอ๋อขอตัวก่อนเจ้าค่ะ” เตียวเสี้ยนย่อตัวคราวะ แล้วรีบหันร่างแล้วเดินจากไป
เมื่อนางเดินออกมาถึงประตูของห้องโถงใหญ่ ก็เห็นบ่าวรับใช้ในจวนช่วยกันแบกถังน้ำ รีบวิ่งไปทางทิศตะวันตก เรือนพักหลายหลังถูกไฟไหม้เสียหายอย่างหนัก
เตียวเสี้ยนพักอาศัยอยู่ในสวนหลังจวนตามเดิม ตั้งใจจะไปที่ลานด้านทิศตะวันตก เพื่อจะดูว่าไฟที่ไหม้นั้นเป็นอย่างไรบ้าง
เมื่อนางเพิ่งจะก้าวเข้าไปเพียงหนึ่งก้าว ทันใดนั้น ในสมองก็นึกถึงเรื่องที่ซูเจ๋อกระซิบบอกก่อนจะจากไป จึงได้หยุดฝีเท้าลง มิได้เดินต่อ
“คุณชายซูผู้นั้นรู้เรื่องพ่อแม่ของข้า แล้วยังบอกว่าช่วยพ่อแม่ของข้าแล้ว ที่เขาพูดเช่นนี้ มันหมายความว่าอย่างไรกัน?”
ความคิดของเตียวเสี้ยนไหลวนราวกระแสน้ำ ฟันเผลอกัดริมฝีปากแดงสด ดวงตาเต็มไปด้วยความสับสน สงสัยว่าควรจะทำตามที่ซูเจ๋อบอกดีหรือไม่
เมื่อผ่านประตูเข้าลานทิศตะวันออกไป มันจะเกิดอะไรขึ้นกันแน่?
แม้ว่าเขาจะช่วยพ่อแม่ของข้าได้ แต่ข้าก็ติดอยู่ในจวนอุปราชนี่ แล้วจะออกไปพบได้อย่างไรกัน?
ในใจของเตียวเสี้ยนยังมีความสงสัยอยู่บ้าง นั่นจึงทำให้นางยังคงรู้สึกลังเล
จู่ๆ ในหัวของนางก็มีคำพูดของซูเจ๋อดังขึ้นมาอีกครั้งว่า
“หากยังอยากจะอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากับพวกเขาอีกครั้ง!”
อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันสองคำนี้ มันจุดประกายไฟแห่งความกล้าขึ้นในใจของเตียวเสี้ยน สามารถขจัดทุกข้อสงสัยและความลังเลจนหมดสิ้น
“ก็ได้ ถ้าจะทำให้ได้เจอกับท่านพ่อท่านแม่จริงๆ ข้ามิสนอะไรทั้งนั้นแล้ว ข้าเชื่อใจคุณชายซู...”
เมื่อสามารถสงบใจได้แล้ว เตียวเสี้ยนก็หันกลับมา มุ่งหน้าเดินไปทางลานด้านตะวันออกอย่างเงียบๆ
พวกสาวใช้ที่คอยติดตามอยู่ข้างหลังนาง เมื่อเห็นเตียวเสี้ยนที่จู่ๆ ก็เปลี่ยนเส้นทางที่ต้องเดินเป็นประจำแล้ว ทุกคนก็ต่างพากันสงสัย แต่ก็คิดว่าอาจจะเป็นเพราะเหตุไฟไหม้ที่ลานทางทิศตะวันตก ก็เลยมิได้คิดอะไรมากนัก คนกลุ่มนี้จึงยังคงติดตามอยู่ด้านหลังของเตียวเสี้ยนดังเดิม
เตียวเสี้ยนรู้สึกกังวลใจตลอดทางที่เดินไป หลังจากเดินผ่านหลายสถานที่ในจวน เพียงพริบตาเดียวก็เดินมาถึงประตูข้างของลานด้านตะวันออก
เนื่องจากเกิดเหตุไฟไหม้ที่ด้านตะวันตก ทหารรับใช้ส่วนตัวหลายคนถูกเกณฑ์ไปช่วยกันดับไฟ ดังนั้นวันนี้ ที่ประตูลานด้านข้าง ทางตะวันออกจึงเหลือทหารประจำการอยู่เพียงมิกี่คนที่ยังคงยืนยามอยู่
‘ข้ามประตูตะวันออกนี้ไปแล้ว ข้าก็จะกลับไปที่สวนหลังจวนแล้ว คุณชายซูผู้นั้น คงมิเล่นตลกกับข้าหรอกนะ...’ ในใจเตียวเสี้ยนแอบหวังว่าตัวเองจะมิต้องผิดหวัง
ในตอนนี้เอง บริเวณที่โล่งตรงประตู มีเงาดำเคลื่อนไหวราวกับผี วิ่งไปที่คนเฝ้าประตู
ยามทั้งสามคนที่เฝ้าประตูถึงกับผวา ตกใจที่เห็นคนบุกเข้าไปหา จึงคิดจะใช้อาวุธเพื่อตอบโต้ผู้บุกรุก มือยังมิทันจะแตะถูกด้ามดาบ ก็ถูกชายชุดดำที่ว่องไวดังสายลมพุ่งเข้าใส่หน้าพวกเขา
พลั่ก พลั่ก พลั่ก
หมัดเหล็กถูกต่อยเข้าใส่ จากนั้นก็มีเสียงอู้อี้ดังขึ้นสามเสียง ทหารยามทั้งสามคนพ่นลมหายใจดังฮึ่มครึ่งหนึ่ง จากนั้นก็ลงไปกองลงบนพื้นทันที
ใบหน้าของเตียวเสี้ยนเปลี่ยนไปเป็นการตกใจ และตื่นตระหนกจนถึงกับชะงักอยู่กับที่
พวกสาวใช้ต่างพากันหวาดกลัวจนมือเท้าอ่อนทำอะไรมิถูก ที่เห็นเหตุการณ์นี้ต่อหน้าต่อตา
ในขณะที่พวกนางกำลังตกตะลึงกันอยู่นั้น ชายชุดดำก็เปิดประตูข้างจากด้านในออกไป พร้อมๆ กับประตูรถม้าก็ถูกเปิดออก สายตาก็มองเห็นคนที่อยู่ด้านใน
ม่านถูกเปิดออก ปรากฏใบหน้าที่ดูคุ้นเคยโผล่ออกมา กวักมือเรียกนาง “คุณหนูเตียวเสี้ยน รีบขึ้นมาบนรถเร็วเข้า”
ซูเจ๋อ !
ร่างกายที่นุ่มนิ่มของเตียวเสี้ยนชะงักไปอีกครั้ง นางรู้ในทันทีว่าที่ซูเจ๋อบอกให้นางเดินไปที่ประตูด้านทิศตะวันออก แท้จริงแล้วต้องการใช้ประโยชน์จากความโกลาหลในจวนอุปราชแห่งนี้ เพื่อบุกเข้ามาช่วยนางออกไป
คุณชายซูสุภาพบุรุษหลิ่วเซี่ยฮุ่ยผู้นี้มิได้หลงใหลในความงามของตัวนาง เขากล้าที่จะให้ความช่วยเหลือนางให้พ้นจากเงื้อมือของอุปราชแท้จริงแล้ว เขามีจุดประสงค์อะไรกันแน่?
เตียวเสี้ยนหายใจเข้าออกอย่างแรงจนหน้าอกกระเพื่อม ในหัวเต็มไปด้วยความคิดสับสนยุ่งเหยิง เมื่อมองไปทางซูเจ๋อที่อยู่ด้านนอกของประตู ครู่หนึ่งแล้วนางก็ยังมิรู้ว่าจะเลือกทางไหนดี
ซูเจ๋อเห็นนางยังเฉยอยู่ ก็ตะโกนเรียกขึ้นว่า “คุณหนูเตียวเสี้ยน เจ้ามิอยากอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากับพ่อแม่หรือไง? เจ้ายังจะรออะไรอยู่อีก!”
คำพูดนี้แทงใจของเตียนเสี้ยนอย่างจัง สามารถทำลายโซ่ตรวนที่กักขังวิญญาณของเธอในทันที
ความมุ่งมั่นที่มิเคยปรากฏมาก่อนได้เกิดขึ้นในดวงตาของเตียวเสี้ยน นางกัดฟันแน่น ยกชายกระโปรงขึ้นรีบวิ่งไปที่ประตูใหญ่ เพื่อไปหาซูเจ๋อที่รออยู่ที่ด้านนอกประตู
พวกสาวใช้ที่เฝ้าดูเหตุการณ์อยู่นั้นเกรงกลัวอ้องอุ้นเป็นอย่างมาก กลัวว่าจะต้องถูกอ้องอุ้นลงโทษ จึงรีบช่วยกันพยายามฉุดรั้งเตียวเสี้ยนไว้
“ไอ๊หยา ทำไมถึงได้มีสาวสวยมากมายอย่างนี้เนี้ย พอดีเลย จับกลับไปด้วยเลย ข้าจะมอบความสุขให้พวกเจ้าเอง”
เฮาเฉียตรงไปที่ประตู ถูมือทั้งสองข้าง พุ่งเข้ามาหาสาวใช้เหล่านั้น แลบลิ้นเลียปากอย่างหื่นกระหาย
สาวใช้เหล่านั้นกรีดร้องด้วยความตกใจ แล้วแยกย้ายกันหลบหนีไป ไหนเลยจะกล้าก้าวเข้าไปอีก
“ขึ้นมาเร็ว” ซูเจ๋อที่อยู่บนรถม้า ยื่นมือออกไปหาเตียวเสี้ยนที่กำลังวิ่งมาหา
เตียวเสี้ยนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยื่นมือให้กับซูเจ๋อ เขาออกแรงดึงเล็กน้อยก็สามารถดึงนางขึ้นมาบนรถม้าได้
“จื่อเฟิ่ง พวกเราไปกันเถอะ” ซูเจ๋อตบไปที่ที่นั่งของคนบังคับรถม้า ซึ่งจิวฉองนั่งอยู่ แล้วก็หันไปตะโกนเรียกเฮาเฉียที่ประตู “เฮาเฉีย เลิกลวนลามหญิงสาว ได้แล้ว รีบกลับไปที่ศาลาพักม้าบอกเซี๋ยวเสี่ยว บอกให้นางมิต้องรอพวกเรา แล้วไปเจอกันที่นอกเมือง”
พูดจบ ซูเจ๋อก็ปล่อยม่านลง จิวฉองยกแส้ม้าขึ้นฟาดแล้วบังคับรถม้าแล่นออกไป
“ฮี้ๆ ข้ามิเล่นกับพวกเจ้าแล้ว นังหนูน้อยทั้งหลาย ลาก่อน” เฮาเฉียขยิบตาให้ สาวใช้เหล่านั้นจึงได้หยุดฝีเท้า ก่อนที่เขาจะหายไปกับความมืดอย่างรวดเร็ว
พวกสาวใช้ที่อยู่ด้านในของประตูมองดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างมิอยากจะเชื่อสายตาตัวเอง สักพักใหญ่ผ่านไปถึงได้รู้สึกตัวทีละคน พวกนางกรีดร้อง รีบวิ่งไปหาอ้องอุ้น เพื่อรายงานเรื่องที่เกิดขึ้น
ภายในรถม้า
เตียวเสี้ยนมิสามารถสงบจิตใจของตัวเองได้ นางจึงถามอย่างร้อนใจว่า ”คุณชายซูเจ้าค่ะ ท่านกำลังคิดสิ่งใดอยู่กันแน่? ท่านพ่อท่านแม่ของข้าอยู่ที่ไหนกันแน่เจ้าค่ะ?”
ซูเจ๋อยิ้มอย่างอ่อนโยน พูดปลอบใจว่า “คุณหนู อย่าเพิ่งร้อนใจไปขอรับ พ่อแม่ของคุณหนูสบายดี เมื่อวันก่อนข้าส่งคนไปช่วยพวกเขาจากจวนที่พักอีกหลังของตระกูลหวัง พวกเขามีคนของข้าคอยคุ้มกันในที่ปลอดภัยนอกเมืองฉางอาน ตอนนี้ข้าจะพาคุณหนู ออกจากเมืองเพื่อไปพบกับพวกเขา
เตียวเสี้ยนถอนหายใจด้วยความโล่งอก ในที่สุดความวิตกกังวลและความประหม่าก็สงบลงเล็กน้อย หน้าอกที่กระเพื่อมขึ้นลงอย่างรุนแรงก็กลับมาเป็นปกติ
จากนั้นครู่ใหญ่ ดวงตาของเตียวเสี้ยนก็ปรากฏความสงสัยขึ้นมา จึงได้เอ่ยถามขึ้นมาว่า ”ข้ามิเคยพบเจอกับคุณชายซูมาก่อน เหตุใดคุณชายซูจึงได้ช่วยข้าด้วยเล่า”
ซูเจ๋อมิตอบ แต่เคี้ยวถั่วปากอ้าแล้วถามกลับไปว่า”ถ้าข้าเดามิผิด วันนี้ที่ท่านอุปราชบอกให้คุณหนูมาพบข้า คงต้องการให้คุณหนูล่อลวงให้ข้าบอกความลับและอยากทดสอบว่าเสน่ห์ที่คุณหนูได้ฝึกฝนมานั้นก้าวหน้าถึงขั้นไหนแล้ว?”
ร่างของเตียวเสี้ยนสั่นสะท้าน ใบหน้างดงามของนางเปลี่ยนเป็นสีแดงขึ้นมาในทันที ดวงตาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ จ้องซูเจ๋อเขม็งอย่างแปลกใจมากขึ้นกว่าเดิม