ตอนที่ 39 มีแค้นต้องชำระ!
“คุณ...คุณชายทำไมท่านถึงดูออก?” เสียงเตียวเสี้ยนสั่นเล็กน้อยด้วยความเขินอาย
ซูเจ๋อยังมิได้ตอบ แต่ถามกลับไปว่า “ถ้าข้าเดามิผิด เหตุผลที่อ้องอุ้นให้คุณหนูฝึกฝนการใช้เสน่ห์สาวเย้ายวน เจตนาก็เพื่อต้องการให้คุณหนูใช้แผนหญิงงาม โดยอันดับแรกจะมอบคุณหนูให้กับลิโป้ จากนั้นก็จะมอบคุณหนูให้กับตั๋งโต๊ะ เมื่อพวกเขาต่างก็หลงใหลในเสน่ห์ของคุณหนู ทำให้พ่อลูกต้องปาดหมาง กลายเป็นศัตรูกัน จนถึงขั้นฆ่าฟันกันเอง ข้าพูดมิผิดใช่ไหม?”
“คุณชายซู ท่าน !?”
เตียวเสี้ยนส่งเสียงอุทาน จ้องมองเขาด้วยความรู้สึกประหลาดใจ จากนั้นก็เปลี่ยนไปกลายเป็นความรู้สึกเหลือเชื่อ
ณ เวลานี้ ในใจของนางรู้สึกตกใจเป็นมาก อย่างที่มิเคยเป็นมาก่อน
หากจะพูดไปแล้ว ก่อนหน้านี้ในงานเลี้ยงนั้น ซูเจ๋อมีท่าทีเป็นสุภาพบุรุษหลิ่วเซี่ยฮุ่ย เขานั่งนิ่งเฉย ทำให้นางรู้สึกกังวลอยู่บ้างเล็กน้อย และรู้สึกสงสารคุณชายผู้ยากไร้ผู้นี้ แล้วเหตุใดตอนนี้ สิ่งที่คุณชายผู้ยากไร้ผู้นี้พูดมาทั้งหมดล้วนเป็นความจริงและถูกต้องทั้งสิ้น อ้องอุ้นมิเปิดเผยแผนการนี้กับใคร เขากับนางร่วมกันวางแผนการและดำเนินการเช่นนี้มาเนินนานแล้ว เรื่องที่เขารู้นี้ทำให้นางตกใจจนพูดอะไรมิออก มือและเท้าไร้เรี่ยวแรงขึ้นมากะทันหัน
“คุณชาย...ทะ..ทำไมถึงได้รู้เรื่องทั้งหมดนี้ได้?” เตียวเสี้ยนพูดด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง
“ฟังจากน้ำเสียงของคุณหนูแล้ว คงจะเป็นเรื่องจริงซินะ” ซูเจ๋อแสร้งทำเป็นประหลาดใจ แต่ก็หัวเราะให้กับตัวเอง พูดว่า “อันที่จริงแล้ว ข้าก็แค่คาดเดา มิคิดว่าจะเดาถูก”
ซูเจ๋อมิมีทางบอกนางแน่นอน ว่าเขามาจากอนาคต ถึงได้รู้ว่าเรื่องของอ้องอุ้นและรู้เรื่องที่นางจะทำหรือต้องเจอเป็นอย่างดี
ดังนั้น จึงใช้ประโยชน์จากเรื่องราวประวัติศาสตร์ในโลกอนาคตมาโกหก เพื่อให้เหตุผลดูมีน้ำหนักน่าเชื่อถือ
แม้ว่าเตียวเสี้ยนจะมิใช่คนฉลาดมากนัก แต่ก็มิใช่คนโง่ นางรู้ว่าซูเจ๋อกำลังพูดโกหกอยู่ จะเป็นไปได้อย่างไรกัน ที่เขาจะเดาแผนการใหญ่ที่เป็นความลับนี้ได้อย่างถูกต้องทั้งหมด หรือแผนการใหญ่นี้จะมีบางอย่างแอบแฝงอยู่ แต่มิสะดวกที่จะเปิดเผยให้นางรู้
เตียวเสี้ยนมิพอใจเป็นอย่างมาก จึงถามขึ้นว่า “แม้ว่าคุณชายซูจะเดาความลับของท่านอุปราชได้ แล้วเหตุใดคุณชายถึงต้องทำลายมันด้วยเล่า?”
ซูเจ๋อท่าทางสบายๆ มองด้วยสายตาเย็นชา เขาถอนหายอย่างเยือกเย็นแล้วพูดว่า “ข้าซูเจ๋อมีแค้นต้องชำระ วันนั้นอ้องอุ้นใส่ร้ายข้าต่อหน้าตั๋งโต๊ะ จนข้าเกือบจะถูกฆ่า สาเหตุก็เพราะข้าไปทำลายแผนการที่เขาอุตส่าห์วางไว้เป็นอย่างดี ทำให้เขามิพอใจข้า”
“ที่แท้เรื่องก็เป็นเช่นนี้เอง คุณชายคงจะแค้นมากจริงๆ บุญคุณความแค้นแบ่งแย่งชัดเจนนัก” เตียวเสี้ยนถอนหายใจเบาๆ ความสงสัยในใจก็ถูกคลี่คลายได้ในที่สุด
นางจึงมิได้ถามอะไรอีก หันศีรษะมองออกไปนอกหน้าต่างรถ เมื่อเห็นทิวทัศน์ที่ผ่านไปอย่างรวดเร็วบนถนนของเมืองฉางอาน จู่ๆ ในใจก็รู้สึกว่าเหมือนอยู่กันคนละโลก
“ข้าคิดว่า ชะตากรรมของข้าจะถูกทำลายทันทีที่ถูกส่งตัวให้กับผู้ชายสองคนนั้น มิคิดเลยว่ามันจะถูกเปลี่ยนเพราะคุณชายซู ข้ามันน่าสมเพชมากใช่ไหม...”
……
ณ จวนอุปราช
อ้องอุ้นนั่งที่นั่งประจำตำแหน่งจิบสุราเล็กน้อยอยู่เงียบๆ
ในฐานะอุปราชตุลาการ เขาดูแลงานด้านความยุติธรรม เขายังคงรู้สึกสับสน มิอยากเชื่อว่าตั๋งโต๊ะจะเป็นคนวางแผน ลอบวางเพลิงเพื่อสร้างความวุ่นวายในครั้งนี้ได้
ผ่านไปเป็นเวลานาน ลานด้านตะวันออกก็ค่อยๆ เงียบลง แสงไฟค่อยๆ จางหายไป ไฟคงจะดับแล้ว
สักพัก หวังหลิงหอบหายใจและเดินเข้ามา ประสานมือโค้งคำนับแล้วกล่าวว่า ”ท่านลุงขอรับ ไฟไหม้ที่ลานด้านตะวันตกดับแล้วขอรับ มีห้องถูกไฟไหม้เสียหายเพียงสองห้องเท่านั้น เรือนอื่นๆ มิพบความเสียหายขอรับ”
“จับคนวางเพลิงได้หรือไม่?” อ้องอุ้นถามอย่างสงสัย
หวังหลิงส่ายหน้าบอกว่า “คนวางเพลิงสวมชุดสีดำ สวมหน้ากาก วิชาตัวเบาล้ำเลิศ กระโดดข้ามกำแพงหนีออกไปก่อนที่จะถูกล้อมจับขอรับ”
“พวกมันกล้าทำเรื่องไร้ยางอาย” อ้องอุ้นพูดอย่างดูถูก แล้วกวักมือตะโกนเรียก “สั่งการลงไป เพิ่มเวรยามให้มากขึ้น ระวังให้ดี อย่าให้เกิดเรื่องอย่างวันนี้อีกเป็นครั้งที่สองเด็ดขาด”
“ขอรับ หลานจะไปจัดการให้ขอรับ”
หวังหลิงรับคำสั่ง มองดูที่ห้องโถงกว้างนั้นว่างเปล่า จึงถามว่า “ท่านลุงขอรับ เตียวเสี้ยนได้อะไรจากปากของคนแซ่ซูบ้างไหมขอรับ?”
“คนผู้นี้จิตใจเข้มแข็งนัก เตียวเสี้ยนจึงมิสามารถล่อลวงเขาได้” น้ำเสียงของอ้องอุ้นมีความเสียใจปนอยู่เล็กน้อย
“ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น?” หวังหลิงตกใจ “เตียวเสี้ยนฝึกฝนการใช้เสน่ห์ยั่วยวนจนก้าวหน้าไปมาก แม้แต่หลานก็แทบจะควบคุมตัวเองมิได้ แล้วเจ้าคนแซ่ซูนั้นกลับเป็นสุภาพบุรุษหลิ่วเซี่ยฮุ่ย ทำไมเขาถึงยังนั่งนิ่งอยู่ได้?”
ทันทีที่เขาพูดออกไป หวังหลิงก็หน้าแดงทันที ท่าทางอายๆ และรู้ว่าตัวเองพลั้งปากพูดออกไป
จะต้องรู้ให้ได้ว่า เตียวเสี้ยนเป็นบุตรสาวบุญธรรมของอ้องอุ้น มีศักดิ์เป็นลูกพี่ลูกน้องกับเขา เขาช่างทำตัวไร้ยางอายยิ่งนัก ที่คิดเกินเลยกับน้องสาวของตัวเอง
หวังหลิงรีบไอแห้งๆ สองสามครั้งเพื่อกลบเกลื่อนความน่าละอาย แล้วอธิบายว่า “ท่านลุงอย่าเพิ่งเข้าใจหลานผิดนะขอรับ หลานจะคิดเช่นนั้นกับน้องสาวบุญธรรมได้อย่างไรกัน คือ หลานหมายถึง...”
“เจ้ามิต้องอธิบายแล้ว ลุงเข้าใจ” อ้องอุ้นโบกมือห้ามเขา “ตอนที่ลุงเห็นนางครั้งแรก หากมิใช่ต้องการใช้นางในแผนหญิงงาม จึงได้นำนางมาฝึกฝน มิอย่างนั้นตอนนี้นางคงเป็นอนุของเจ้าไปแล้ว การที่เจ้ารู้สึกเกินเลยกับนางนั้น ลุงจึงเข้าใจดี”
หวังหลิงถอนหายใจอย่างโล่งอก จู่ๆ ในใจก็รู้สึกเศร้าขึ้นมาเล็กน้อย คิดว่าคนสวยแบบนี้ ตนเองยังมิสามารถแตะต้องได้ แต่กลับส่งนางไปบำเรอแก่ลิโป้และตั๋งโต๊ะ ในใจของเขาจึงรู้สึกมิพอใจเป็นอย่างมาก
“หลิงเอ๋อ เจ้าต้องจำไว้ว่า เจ้าเป็นบุตรชายคนโตของตระกูลหวังเราในเมืองไท่เหวียน ในวันข้างหน้าจะต้องเป็นเสาหลักของตระกูลเรา ดังนั้นมิควรให้ความสำคัญกับเรื่องของสตรีมากเกินไปนัก” อ้องอุ้นได้อธิบายความในใจที่เขาสังเกตเห็น เปลี่ยนจากการดุด่าเป็นอบรมสั่งสอนแทน
“ขอรับ ที่ท่านลุงกรุณาสั่งสอน หลานจะจดจำไว้ขอรับ” หวังหลิงสัญญาซ้ำๆ หลายครั้ง
เมื่อเสียงเงียบลง สาวใช้คนหนึ่งก็รีบร้อนวิ่งเข้ามาในห้องโถงใหญ่ ผ่าเข้าไปตรงกลางระหว่างสองลุงหลาน นอกจากนี้ยังมีสาวใช้อีกกลุ่มหนึ่งวิ่งกรูเข้ามา ทุกคนแย่งกันพูดจนฟังมิรู้เรื่องว่าพูดเรื่องอะไร
“หุบปากให้หมด!” หวังหลิงตวาดเสียงดัง แล้วชี้ไปที่สาวใช้คนหนึ่งในกลุ่ม “นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น เจ้าเล่ามา!”
สาวใช้นางนั้นตัวสั่นรีบคุกเข่าลง เล่าเรื่องด้วยน้ำเสียงนั่นเครือว่า “เรียนคุณชาย เมื่อครู่ ตอนที่พวกบ่าวติดตามคุณหนูกลับห้อง พวกบ่าวผ่านไปทางประตูตะวันออก จู่ๆ ก็มีโจรบุกเข้าไปทุบตียามเฝ้าประตูจนสลบ แล้วล่อลวงให้คุณหนูขึ้นรถม้าหนีไปแล้วเจ้าค่ะ ! ”
ตู้ม!
เรื่องที่สาวใช้เล่ามา เหมือนสายฟ้าฟาด ที่ผ่าลงตรงศีรษะของลุงหลานแบบทันทีทันใด มิให้ได้ตั้งตัว
หวังหลิงมิได้พูดอะไร สีหน้าเปลี่ยนไปในทันที ผิดกับอ้องอุ้นที่ปกติแม้ภูเขาไท่ซานถล่มลงตรงหน้าสีหน้าของเขาก็มิเปลี่ยนแปลง แต่ตอนนี้เขากลับมีอาการตกใจอย่างให้ได้ชัด
“ใครกันที่ลักพาตัวคุณหนู!?” อ้องอุ้น ลุกพรวดขึ้นมาตวาดถามอย่างฉุนเฉียว ที่มีคนมาขัดแข้งขัดขา
หญิงสาวที่งดงามที่สุดในใต้หล้า หมากที่เขาสู้อุตส่าห์ฝึกฝนทุ่มเทอย่างตั้งใจไว้ใช้ในแผนการสังหารโจรชั่วตั๋งโต๊ะ เพื่อปกป้องราชวงศ์ต้าฮั่น ตอนนี้จะมิให้เขามิตกใจได้อย่างไรกัน ก็ในเมื่อหมากสำคัญชิ้นนี้ของเขาหายไป
“บ่าวเห็นโจรลักพาตัวบนรถม้านั้นเจ้าค่ะ ดูเหมือนคุณชายซูผู้นั้นที่มาเป็นแขกในงานเลี้ยงเมื่อครู่นี้เจ้าค่ะ” สาวใช้ตอบเสียงตะกุกตะกัก
คุณชายซู?
ซูเจ๋อ !
อ้องอุ้นหรี่ตาลง ความคิดล่องลอยราวกับคาดเดาอะไรบางอย่างออก
“เป็นไปได้อย่างไร ทั้งที่เตียวเสี้ยนก็รู้ว่าพ่อแม่ของนางอยู่ในกำมือของพวกเรา ทำไมนางถึงหลงเชื่อคนแซ่ซูนั่นแล้วหนีไปกับมันเล่า?” หวังหลิงตวาดถามเสียงดัง
อ้องอุ้นนิ่งเงียบไป เขาพยักหน้า ปลายนิ้วเคาะบนตั่งขณะใช้ความคิด ทบทวนเรื่องราวระหว่างอยู่ในงานเลี้ยง นึกถึงบทสนทนาทุกประโยคระหว่างเตียวเสี้ยนกับซูเจ๋อ
ทันใดนั้น เขาก็นึกขึ้นมาได้ จึงพูดขึ้นมาด้วยความโกรธว่า “ซูเจ๋อ เจ้านี่เอง ที่อยู่เบื้องหลังเรื่องวุ่นวายทั้งหมดนี่ เจ้าวางแผนได้อย่างรอบคอบ เพื่อต้องการลักพาตัวบุตรสาวบุญธรรมของข้านี่เอง บังอาจมาทำลายแผนการใหญ่ของข้าพัง!”
“ท่านลุงขอรับ นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ขอรับ คนแซ่ซูผู้นั้นทำลายแผนการใหญ่ของเราทำไมกัน?” หวังหลิงถามอย่างงุนงง ทั้งที่มิได้หันกลับมา
อ้องอุ้นพูดด้วยสีหน้าบึ้งตึงว่า “คนแซ่ซูผู้นั้นอยู่เบื้องหลังเหตุลอบวางเพลิงที่ลานทิศตะวันตก เจตนาเพื่อล่อให้ทหารในจวนไปที่ลานทิศตะวันตก หลังจากนั้นเขาก็ฉวยโอกาสจากความประมาทของข้า ที่ยอมให้เตียวเสี้ยนเดินผ่านประตูทิศตะวันออก เมื่อเขาสบโอกาสที่ทหารในจวนต้องช่วยกันดับไฟที่ประตูด้านทิศตะวันตก เขาจึงฉวยโอกาสนี้เข้าประตูมาลักพาตัวเตียวเสี้ยนไป”
“แต่ว่า ทำไมเตียวเสี้ยนถึงหนีไปกับคนแซ่ซูได้ นางมิสนใจพ่อแม่ของตัวเองแล้วหรือ?” หวังหลิงยังมิเข้าเหตุผลที่แท้จริง
อ้องอุ้นพูดอย่างเย็นชาว่า “ถ้าข้าเดามิผิด คนที่อยู่เบื้องหลังการลักพาตัวพ่อแม่ของเตียวเสี้ยนก็คือคนแซ่ซูผู้นั้น หลังจากที่เตียวเสี้ยนรู้ความจริง จึงได้ยอมหนีตามเขาไป”
“ให้ตายเถอะ เจ้าสุนัขแซ่ซูนั้นกล้าดียังไงถึงทำแบบนี้!” หวังหลิงคำรามพร้อมกับก่นด่า
แต่อ้องอุ้นพูดอย่างเคร่งขรึมว่า “เวลานี้มิใช่เวลาที่จะมาหงุดหงิด หลิงเอ๋อ เจ้าพาคนกลุ่มหนึ่งรีบขี่ม้าไปที่จวนรับรองทันที และต้องพาเตียวเสี้ยนกลับมาให้ข้าให้ได้”
หวังหลิงรับคำสั่ง โดยมิมีการลังเล รีบเรียกทหารประจำตระกูลให้ตามเขาไปยังจวนรับรองในทันที
ผ่านไปมิถึงครึ่งชั่วโมง หวังหลิงที่รีบร้อนกลับมาอย่างหงุดหงิด รายงานว่าคณะผู้แทนจากเมืองจิงโจวได้ออกจากคฤหาสน์จวนรับรองไปเกือบหนางชั่วยามแล้ว พวกเขาเดินทางกลับก่อนกำหนด บอกว่าจะเดินทางกลับบ้านเกิดที่เมืองจิงโจวก่อน
ใบหน้าของอ้องอุ้นเปลี่ยนไปอีกครั้ง ปากก็ก่นด่าว่า “ไอ้คนแซ่ซูผู้นี้เจ้าเล่ห์ยิ่งนัก ถึงขนาดรู้ว่าข้าจะส่งคนไปชิงตัวนางที่จวนรับรอง ถึงกับเตรียมการให้ลูกน้องได้หลบหนีไปก่อน ข้าประเมินสติปัญญาของคนผู้นี้ต่ำเกินไปจริงๆ”
“ท่านลุงขอรับ เราควรทำอย่างไรดีขอรับ? ต้องการให้หลานพาคนออกจากเมืองฉางอานไปหรือไม่ขอรับ?” หวังหลิงเสนออย่างกระตือรือร้น
“มิต้อง!” อ้องอุ้นปฏิเสธเสียงเด็ดขาดว่า “ประตูทั้งสี่ด้านของเมืองฉางอานมีทหารของกองทัพซีเหลียงดูแลป้องกันอยู่ การที่เจ้าพาคนกลุ่มใหญ่ออกจากเมือง มันจะกลายเป็นจุดสนใจ นั่นเท่ากับเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น จะทำอย่างนั้นมิได้เด็ดขาด”
หวังหลิงเริ่มวิตกกังวลมากขึ้น ใบหน้าหมองเศร้าแล้วพูดว่า “เช่นนั้น พวกเราจะทำอย่างไรต่อไป เป็นไปได้ไหมว่าโจรลักพาตัวแซ่ซูผู้นั้นจะลักพาตัวเตียวเสี้ยนมิสำเร็จ? ถ้าเตียวเสี้ยนหายตัวไป พวกเราสู้อุตส่าห์ทุ่มเทสารพัดเพื่อนางไปมากมาย มันจะมิเสียเปล่าหรอกหรือ คิดจะหาคนมาแทนนางก็คงมิใช่เรื่องง่ายๆ”
อ้องอุ้นตกอยู่ในห้วงความคิดไปชั่วขณะ เขาคิดวิธีมาแก้ปัญหาทั้งสองเรื่องนี้มิได้
ตอนนั้นเอง ที่หน้าประตูมีบ่าวรับใช้เข้ามารายงานว่า ลิโป้มาขอเข้าพบ
ลิโป้!