px

เรื่อง : ข้ามีดาวเที่ยมในยุคสามก๊ก (นิยายแปล) ปลดล๊อคตอนฟรี 3 วัน 1 ตอน
ตอนที่ 40 ร่างหอมรัญจวนในอ้อมกอด


ตอนที่ 40 ร่างหอมรัญจวนในอ้อมกอด

 

 

อ้องอุ้นกรอกตาไปมา ดวงตาเป็นประกาย เขาโบกมือแล้วพูดขึ้นทันทีว่า “ลิโป้มาถึงก่อนก็ดี รีบไปเชิญเขาเข้ามา”

 

สักพัก บุรุษหนุ่มรูปงามผู้หนึ่งก็ปรากฏกายขึ้น ท่าทางองอาจห้าวหาญ ใบหน้างามดั่งเทพเซียน บุรุษหนุ่มผู้นั้นเดินก้าวเข้ามาในห้องโถงใหญ่อย่างองอาจผ่าเผย

 

อ้องอุ้นรีบเข้าไปต้อนรับ เขาประสานมือโค้งคำนับ ก่อนจะเปรยยิ้มแล้วพูดว่า  “เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ท่านเหวินโหว1  มาโปรดให้อภัยที่ข้ามิได้ออกไปต้อนรับด้วยเถอะขอรับ”

 

ลิโป้โบกมือเล็กน้อยอย่างมิถือสา แล้วตอบกลับยิ้มๆ ว่า  “ท่านอุปราชหวังเป็นขุนนางคนสำคัญของบ้านเมือง ท่านกับข้าต่างก็เป็นชาวมณฑลปิ้งเหมือนกัน ทำไมท่านต้องเกรงอกเกรงใจกันด้วย”

 

 “ดี ดี ดี ข้านั้นเกรงใจไปจริงๆ” อ้องอุ้นหัวเราะให้กับตัวเอง แล้วพูดว่า  “เหตุใด จู่ๆ ท่านเหวินโหวถึงได้มาถึงจวนผู้น้อยได้เล่า”

 

ลิโป้ตอบว่า “ข้าลาดตระเวนอยู่ใกล้ๆ แถวนี้พอดี เห็นจวน ท่านอุปราชเกิดเหตุไฟไหม้ จึงได้รีบมาดู เกรงว่าจะเกิดเรื่องกับท่านอุปราช”

 

เมื่อพูดถึงเรื่องไฟ อ้องอุ้นก็แสร้งถอนหายใจยาว ทำหน้าหมองเศร้า

 

 “ท่านอุปราช เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ?” ลิโป้เห็นท่าทางผิดสังเกตจึงได้ถามหาสาเหตุ

 

อ้องอุ้นก้มหน้าลงแล้วพูดอย่างขมขื่นว่า  “เหวินโหวคงยังมิทราบ วันนี้เดิมทีผู้เฒ่าได้เชิญซูเจ๋อผู้เป็นตัวแทนนำเครื่องบรรณาการจากจิงโจวมาเป็นแขก ใครเลยจะคาดคิดว่าคนแซ่ซูผู้นั้น เมื่อได้พบเจอกับเตียวเสี้ยนบุตรสาวบุญธรรมของข้า เกิดความเสน่หาหลงใหลในตัวนาง จนถึงขั้นให้ลูกน้องของตนมาลอบวางเพลิง และฉวยโอกาสนี้ลักพาตัวบุตรสาวบุญธรรมของข้าไป”

 

“นี่มันเรื่องอะไรกันแน่?” ลิโป้หรี่ตามองถามคำถาม “เมื่อวานข้ากลับจากนอกเมือง ก็ได้ยินท่านพ่อบุญธรรมพูดถึงซูเจ๋อผู้นี้เช่นกัน มิคิดว่าจะเป็นคนๆ เดียวกันที่ทำเรื่องนี้ได้”

 

อ้องอุ้นถอนหายใจพูดว่า  “ใช่ ข้าก็คิดมิถึงเช่นกัน บุตรสาวบุญธรรมของผู้เฒ่าได้สมญานามว่ามัจฉาจมวารี ปักษีตกนภา จนเขามิอาจห้ามใจตนเองได้ จึงได้กระทำการเยี่ยงเดรัจฉานเช่นนี้”

 

ได้ยิน “มัจฉาจมวารี ปักษีตกนภา” สี่คำนี้ ดวงตาลิโป้ถึงกับมีประกายแวววาบขึ้นมา เขาถึงกับสบถด่าอย่างเกรี้ยวกราดขึ้นมาทันทีว่า “ซูเจ๋อผู้นี้ช่างเป็นเดรัจฉานโดยแท้ อุปราชหวังบอกข้ามาว่าได้เด็กนั่นตอนนี้มันอยู่ที่ไหน ข้าจะไปพาแก้วตาดวงใจของท่านอุปราชกลับมาส่งคืนให้แก่ท่านเอง”

 

อ้องอุ้นมีสีหน้าที่เต็มไปด้วยความสุข พลางรีบพูดกับเขาว่า  “ข้าเพิ่งส่งคนไปที่จวนรับรองเพื่อขอรับคนคืน แต่พวกเขากลับบอกว่าคนแซ่ซูผู้นั้นหนีไปได้ชั่วยามกว่าแล้ว  คาดว่าน่าจะหนีออกจากเมืองมุ่งหน้าไปด่านอู๋กวนแล้ว”

 

ลิโป้ตบหน้าอกตัวเอง แล้วพูดอย่างห้าวหาญว่า  “ท่านอุปราชโปรดวางใจ ข้าจะนำทัพทหารม้าที่แข็งแกร่งออกไปไล่ล่า เพื่อพาคุณหนูกลับมาให้ได้อย่างแน่นอน”

 

พูดจบ ลิโป้ที่กำลังโกรธจัดหันตัวกลับ แล้วก้าวยาวๆ ออกไปอย่างรวดเร็ว

 

“ความปลอดภัยของบุตรสาวของข้า คงต้องรบกวนท่านเหวินโหวช่วยปกป้องนางแล้วขอรับ” อ้องอุ้นไปส่งเขาที่ประตู ประสานมือโค้งคำนับให้ด้วยความตื้นตันใจ

 

เมื่อมองดูร่างของลิโป้ที่ห่างออกไปไกลแล้ว อ้องอุ้นก็ค่อยๆ เปลี่ยนสีหน้าจากความซาบซึ้งในบุญคุณเป็นสีหน้าเดิมที่เจ้าเล่ห์และชั่วร้าย ปากก็แสยะยิ้ม มือลูบเครายาวเบาๆ

 

หวังหลิงที่ยืนอยู่ตรงนั้นมาครู่ใหญ่ ทันทีที่เข้าใจสถานการณ์นี้ก็อดยกนิ้วชมผู้เป็นลุงมิได้ เขารีบพูดชมขึ้นว่า  “แผนของท่านลุงคือยืมมือลิโป้ให้ไปช่วยเตียวเสี้ยนกลับมา อีกทั้งยังเปิดโอกาสแนะนำนางให้รู้จักกับลิโป้ได้อย่างแนบเนียน แผนยิงนกสองตัวด้วยหินก้อนเดียว ช่างเป็นอุบายที่แยบยลจริงๆ นี่สิ ที่ว่าขิงยิ่งแก่ก็ยิ่งเผ็ด”

 

ดวงตาอ้องอุ้นเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ ทว่าเขายังคงรักษาความสุขุมได้เช่นเดิม เขายิ้มและพูดอย่างเย้ยหยันว่า  “ซูเจ๋อคงจะมิขับรถม้าเร็วขนาดนั้นหรอกนะ ลิโป้นำทหารม้าที่แข็งแกร่งไล่ตามไป มิเกินสิบลี้ต้องไล่ตามเจ้าเด็กนั่นทันแน่นอน ดังนั้น พวกเราแค่รอฟังข่าวดีอย่างสบายใจก็พอแล้ว”

 

หวังหลิงถอนหายใจยาวอย่างโล่งอก และเขาอดยิ้มมิได้

 

……

 

ห่างจากเมืองฉางอานไปทางทิศใต้ราวห้าลี้

 

เสียงกีบเท้าม้าของรถม้าที่ควบเร็วจนฝุ่นตลบ มีจิวฉองเป็นคนขับ ภายใต้การอารักษ์ขาของทหารอีกสิบกว่านาย พวกเขากำลังเดินทางไปตามถนนสายหลัก มุ่งหน้าไปทางทิศใต้ จุดหมายคือด่านอู๋กวน

 

ภายในรถม้า เตียวเสี้ยนและซูเจ๋อนั่งหันหน้าเข้าหากันเงียบๆ

 

ซูเจ๋อกำลังเคี้ยวถั่วปากอ้าพลางมองออกไปนอกหน้าต่าง เขากำลังคิดวางแผนในใจว่าเมื่อกลับไปถึงหนานหยางแล้ว จะพัฒนาเมืองอย่างไรดี

 

เตียวเสี้ยนลอบมองซูเจ๋ออยู่หลายครั้ง ในใจนึกสงสัยว่า คุณชายอายุน้อยผู้นี้มาจากครอบครัวที่ยากจน ทั้งที่มีความคิดอ่านหยั่งรู้และกล้าหาญ ที่สุดแล้วคิดอะไรอยู่กันแน่

 

หลังจากซูเจ๋อกินถั่วปากอ้าเมล็ดสุดท้ายหมด เขาก็เลียริมฝีปากตัวเองโดยมิรู้ตัว จนกระทั่งเขาหันศีรษะมาชนเตียวเสี้ยนโดยมิได้ตั้งใจเข้าอย่างจัง และพบว่านางกำลังมองเขาอยู่เช่นกัน

 

“ทำไม หน้าข้ามีอะไรติดอยู่งั้นหรือ คุณหนูถึงได้มองอย่างเคลิบเคลิ้มขนาดนี้” ซูเจ๋อถามขำๆ

 

เตียวเสี้ยนรู้สึกเวียนหัวและอายเล็กน้อย ทว่าเมื่อเห็นใบหน้าของซูเจ๋อเปื้อนกากถั่วปากอ้าอยู่จริงๆ เลยตอบไปว่า  “ข้ากำลังจะบอกว่า มีบางอย่งติดที่หน้าของคุณชาย อยู่นี่ไง”

 

นิ้วเรียวเหมือนลำเทียนของเตียวเสี้ยน ชี้ไปที่หน้าของตัวเอง

 

“ทำให้คุณหนูต้องขบขันแล้ว นี่คืองานอดิเรกเล็กๆ น้อยๆ ของข้า” ซูเจ๋อหัวเราะแก้เก้อ แล้วยกมือขึ้นเช็ดหน้า แต่เขาเช็ดไปหลายครั้ง ก็ยังเช็ดมิถูกที่

 

“มิใช่ตรงนั้น ตรงนี้”

 

“ใช่ตรงนี้ไหม?”

 

“มิใช่ มิใช่ ไปทางนั้นอีกนิด”

 

เตียวเสี้ยนชี้ให้เห็นอยู่พักใหญ่ ซูเจ๋อก็ยังเช็ดมันออกมิได้ นางคิดอยู่ครูหนึ่ง จึงโน้มตัวไปข้างหน้า ยื่นมือออกมา นิ้วเรียวราวลำเทียนหยิบกากถั่วปากอ้าออกเบาๆ ให้ซูเจ๋อ

 

ในตอนนี้เอง ล้อรถก็บังเอิญไปกระแทกเข้ากับหินก้อนหนึ่งที่โผล่ขึ้นมา ทำให้รถกระเด้งขึ้นๆ ลงๆ ตามแรงกระแทก

 

เตียวเสี้ยนที่กำลังโน้มตัวมาข้างหน้า มิทันระวังจึงเสียการทรงตัว นางร้องอุทานออกมาก่อนจะถลาไปหาซูเจ๋อ

 

“ระวังหน่อย” ซูเจ๋อมิได้คิดอะไรมาก แค่อ้าแขนช่วยประคองไว้

 

มือทั้งสองข้างของเตียวเสี้ยนโอบไหล่ของซูเจ๋อทันที เรือนร่างอ้อนแอ้นของนางกระแทกเข้ากับแผงอกของเขา ใบหน้างามล้ำแนบสนิทอยู่กับหน้าของซูเจ๋อ ริมฝีปากสีชมพูสัมผัสถูกแก้มของเขาเบาๆ

 

หลังจากนั้น รถม้าก็กลับมาทรงตัวสมดุลเหมือนเดิมอีกครั้ง

 

เรือนร่างอรชรที่อยู่ในอ้อมกอดนั้น ไหนจะมือเรียวที่บีบไหล่ของเขา กลิ่นกายหอมฟุ้งรัญจวนใจ ทำให้ซูเจ๋อใจเต้นแรงขึ้นมาในทันที

 

การ “จูบ” ที่มิได้ตั้งใจเมื่อกี้ยิ่งทำให้ใจของซูเจ๋อเต้นแรงขึ้น เลือดในกายสูบฉีดพุ่งพล่านไปหมดทั้งตัว

 

ใบหน้างดงามของเตียวเสี้ยนเปลี่ยนเป็นสีแดงเรื่อขึ้นมาในทันที นางรีบใช้มือทั้งสองข้างดันหน้าอกของซูเจ๋อเบาๆ แล้วกลับมานั่งตัวตรงอีกครั้ง ลอบมองซูเจ๋อผ่านเส้นผมดำขลับดุจใยไหมของตนอย่างเขินอาย

 

อาจเป็นเพราะนางได้รับการฝึกฝนศาสตร์ของการหว่านเสน่ห์ยั่วยวนมานานแรมปี ดวงตาดำขลับดูอ่อนโยน แต่แววตานิ่งเฉย เมื่อมองดูแล้วราวกับมีมนตร์ขลัง ช่างน่าหลงใหลยิ่งนัก

 

หัวใจของซูเจ๋อเต้นรัว ถูกสายตายั่วยวนของนางดึงดูด เลือดในกายยิ่งพุ่งพล่านไปด้วยความต้องการมากกว่าเดิม จนฝืนต่อไปอีกมิไหว คว้าเตียวเสี้ยนเข้ามา หมายจะให้นางช่วยดับอารมณ์ที่พุ่งพล่านนั้น

 

บรรยากาศภายในรถม้า อบอวลไปด้วยคลื่นพิศวาส

 

ตอนนี้เอง ก็ได้ยินเสียงม้าร้องขึ้น รถม้าก็หยุดลง

 

“คุณชายขอรับ พวกเราถึงแล้วขอรับ” จิวฉองเปิดม่านรถขึ้น

 

อารมณ์พิศวาสของคนทั้งสองภายในรถหายไปในทันที พวกเขาสบตากันอย่างเขินๆ เล็กน้อย

 

ซูเจ๋อเป็นคนแรกที่เรียกสติกลับคืนมาได้ เขาไอเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มแล้วพูดว่า “ลงจากรถเถอะ รีบไปหาพ่อแม่ของท่าน ตอนนี้พวกท่านจะได้อยู่พร้อมหน้าพอตากันแล้ว”

 

เขากระโดดลงจากรถม้าไปก่อน แล้วยื่นมือออกมารับเตียวเสี้ยนลงจากรถ

 

เตียวเสี้ยนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายนางยื่นมือออกไปวางลงบนมือของเขา แล้วกระโดดลงจากรถม้าโดยมีเขาคอยช่วยพยุง เมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นวัดร้างริมทาง มีรถม้าคันหนึ่งจอดอยู่ข้างทาง มีลูกน้องของซูเจ๋อหลายคนแต่งกายด้วยเสื้อผ้าของชาวฮั่น คอยเฝ้าอยู่ด้านนอก

 

“พวกเขาอยู่ข้างใน มากับข้าเถอะ” ซูเจ๋อชี้ไปที่วัดร้าง

 

เตียวเสี้ยนรู้สึกตื่นเต้น นางอดทนรอเดินตามซูเจ๋อมิไหว ยกชายกระโปรงขึ้นมา รีบวิ่งเข้าไปในวัดทันที โดยมีซูเจ๋อตามอยู่ข้างหลังนางแทน

 

ภายในวัด ซูเซี๋ยวเสี่ยวกำลังคุยอยู่กับคู่สามีภรรยาวัยกลางคนอยู่พอดี พวกเขาก็คือพ่อแม่ของเตียวเสี้ยนนั่นเอง

 

“ท่านพ่อ! ท่านแม่!” เตียวเสี้ยนตะโกนเรียกด้วยความตื่นเต้น น้ำตาของนางไหลพราก”

 

เมื่อคู่สามีภรรยาวัยกลางคนเห็นเตียวเสี้ยน ทั้งคู่ตื่นเต้นมากจนถึงกับร้องไห้ออกมาเช่นกัน พวกเขาโผเข้ากอดกันทันที ครอบครัวอยู่พร้อมหน้าพอตากันสามคนพ่อแม่ลูกกอดกันร้องไห้

 

เมื่อซูเจ๋อได้เห็นฉากของคนในครอบครัวได้อยู่กันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตากันแบบนี้ มันทำให้เขารู้สึกซาบซึ้งใจเป็นอย่างมาก จนเขาอดยิ้มอย่างปลื้มปริ่มมิได้

 

ผ่านไปพักใหญ่ อารมณ์ของครอบครัวนี้ก็สงบลงกลับเป็นปกติ

 

พ่อของเตียวเสี้ยนมองไปทางซูเจ๋ออย่างซาบซึ้ง แล้วกล่าวว่า  “หงชาง* (ชื่อเดิมของเตียวเสี้ยน) ถ้ามิใช่เพราะคุณชายซูยื่นมือเข้ามาช่วย พวกเราสามคนคงมิรอดปากเสือเป็นแน่ ครั้งนี้ได้กลับมาอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันอีกครั้ง คุณชายซูมีบุญคุณใหญ่หลวงต่อครอบครัวของพวกเรา พวกเราตระกูลเหรินมาบอกลาคุณชายซูพร้อมกันเถอะ”

 

เตียวเสี้ยนพยักหน้า รีบพยุงพ่อแม่คุกเข่าลงคารวะ ปากก็พูดว่า  “บุญคุณอันยิ่งใหญ่ของคุณชายซู เตียวเสี้ยนมิมีสิ่งใดตอบแทน ขอคุณชายได้โปรดรับการคารวะจากพวกเราด้วยเจ้าค่ะ”

 

ทั้งสามคนก้มลงกราบกรานกับพื้น

 

ซูเจ๋อรีบเอื้อมมือออกไปให้พวกเขา พูดด้วยรอยยิ้มว่า “สามารถช่วยให้พวกท่านสามคนอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันได้ เท่ากับข้าได้ผดุงคุณธรรม เรื่องเล็กน้อย อย่าได้เกรงใจกันเลย”

 

เตียวเสี้ยนเห็นว่าซูเจ๋อเป็นคนใจกว้าง จึงอดที่จะรู้สึกชื่นชมเขามิได้

 

ตอนนั้นเอง ซูเจ๋อนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จึงพูดว่า  “เมื่อครู่ ข้าได้ยินท่านลุงกล่าวถึงตระกูลเหริน ทั้งท่านป้าก็ยังเรียกคุณหนูว่าหงชาง เป็นไปได้หรือไม่ว่า เตียวเสี้ยนหาใช่ชื่อที่แท้จริงของคุณหนู?”

 

เตียวเสี้ยนถอนหายใจเบาๆ แล้วพูดว่า  “ชื่อเดิมของข้าคือเหรินหงชางเจ้าค่ะ เดิมที ข้าเป็นคนเมืองไท่เหวียน เป็นชาวนาที่เช่านาของตระกูลหวัง เนื่องจากครอบครัวประสบปัญหาภัยแล้ง มิมีเงินจ่ายค่าเช่า จึงถูกตระกูลหวังจับไปเป็นทาสในบ้าน อุปราชหวังผู้นั้น ต้องการใช้ข้าเป็นเครื่องมือในแผนหญิงงาม ต้องการให้ตั๋งโต๊ะกับลิโป้แตกคอกัน จึงได้รับข้าเป็นบุตรสาวบุญธรรม แล้วเปลี่ยนชื่อให้ข้าใหม่เป็นเตียวเสี้ยน”

 

ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง

 

ข้อมูลทางประวัติศาสตร์เองก็ดูเหมือนจะบันทึกไว้ว่าชื่อจริงของเตียวเสี้ยนคือหงชาง ดูท่าเหรินหงชางคงจะเป็นชื่อจริงๆ ของนาง

 

“งั้น ข้าควรจะเรียกเจ้าว่าเตียวเสี้ยน หรือ เหรินหงชางดี?” ซูเจ๋อถามยิ้มๆ

 

เตียวเสี้ยนแย้มยิ้มเล็กน้อย แล้วตอบว่า “แล้วแต่คุณชายจะเรียกเจ้าค่ะ”

 

“เหรินหงชางเป็นชื่อเดิมของคุณหนู แต่ฟังแล้วรู้สึกว่ามันออกจะ...” ซูเจ๋อหยุดพูดทันที โดยยังมิพูดคำว่า “พื้นๆ” ออกมา แล้วเปลี่ยนเป็นยิ้มแล้วพูดว่า “ยังคงเป็นเตียวเสี้ยนเช่นเดิมแล้วกัน ข้าเรียกท่านว่าเตียวเสี้ยนจนติดปากแล้ว”

 

เมื่อพูดจบ ก็มีลมแรงพัดเข้ามาจากด้านนอกวัด เป็นเฮาเฉียนั่นเอง เขาพูดขึ้นอย่างร้อนร้นว่า  “เกิดเรื่องใหญ่แล้วขอรับ ลิโป้นำทหารม้าที่แข็งแกร่งกำลังไล่ตามมาแล้วขอรับ!”

 

 

1   บรรดาศักดิ์โหว คือ บรรดาศักดิ์ของลิโป้ เทียบได้กับ พระยา และบรรดาศักดิ์เหวินโหว คือ บรรดาศักดิ์ที่ใหญ่ที่สุดในบรรดาโหวทั้งหมด

 

 

 

 

 

 

 

 

รีวิวผู้อ่าน