ตอนที่ 41 สิ้นหวัง!
ลิโป้กำลังตามไล่ล่า!
สีหน้าของทุกคนที่ซ่อนตัวอยู่ในวัดร้างแปรเปลี่ยนไปในทันทีรวมถึงจิวฉองกับซูเซี๋ยวเสี่ยว หรือแม้แต่พลทหารต่างก็ตกใจเมื่อได้ยินชื่อลิโป้
“คุณชาย เหตุใดลิโป้จึงตามเรามาเล่า?” ซูเซี๋ยวเสี่ยวเอ่ยถามด้วยความตื่นตระหนก
ซูเจ๋อขมวดคิ้วพร้อมกล่าวว่า “คิดมิถึงว่าอ้องอุ้นจะสั่งให้ลิโป้ไล่ตามเรา นี่เกินความคาดหมายของข้านัก!”
เตียวเสี้ยนที่อยู่ในอาการตื่นตระหนกรีบกล่าวทันที “คุณชายซู ข้าได้ยินท่านพ่อเล่าว่าลิโป้คือแม่ทัพที่เก่งกาจ ทั้งยังเป็นแม่ทัพอันดับหนึ่งของแผ่นดินและตอนนี้เขากำลังไล่ตามเราอยู่! เราควรทำอย่างไรดี?”
“ทุกคนรีบหนีไปที่ด่านอู๋กวนเดี๋ยวนี้!” ซูเจ๋อตะโกนโดยมิลังเล
เป็นผลให้กลุ่มคนรีบร้อนออกจากวัดร้างแห่งนี้ในทันที เตียวเสี้ยน ซูเจ๋อและซูเซี๋ยวเสี่ยวขึ้นรถม้าภายใต้การคุ้มครองของทหารหลายสิบคนของจิวฉอง ส่วนเฮาเฉียกับคนที่เหลือทั้งหมดเดินทางตามถนนไปยังทิศใต้อย่างเร่งด่วน
กลุ่มคนรีบวิ่งกระหืดกระหอบไปตลอดทาง และในยามพลบค่ำพวกเขาจึงวิ่งไปไกลกว่าสามสิบลี้โดยมิหยุดพักเลยแม้แต่น้อย
เมื่อผู้คนเหล่านั้นเร่งรีบเดินทางโดยมิกล้าแม้แต่จะหยุดหายใจ บรรยากาศด้านหลังของพวกเขาย่อมเต็มไปด้วยฝุ่นผงที่ฟุ้งกระจายขึ้นไปบนท้องฟ้า ขณะที่ผืนแผ่นดินส่งเสียงดังกึกก้องเพราะมีทหารม้าหลายร้อยนายติดตามมาอย่างมิลดละ
“เดินทางต่อไป มันใกล้เข้ามาแล้ว…” ซูเจ๋อมองย้อนกลับไปมองท้องฟ้าซึ่งคลุมเครือทางด้านหลังด้วยคิ้วรูปทรงดาบที่ขมวดเข้าหากัน
ชั่วอึดใจจิวฉองที่กำลังขับรถอยู่ร้องตะโกนว่า “คุณชายรีบหนีไปก่อน ข้าจะพาพี่น้องไปหยุดไอ้ลูกหมาลิโป้เอง”
“เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใคร! จิงฉองสิบคนยังมิสามารถหยุดลิโป้ได้เลย! ทำเช่นนี้ย่อมเท่ากับรนหาที่ตายรู้หรือไม่?!” ซูเจ๋อจ้องไปที่อีกฝ่ายและปฏิเสธข้อเสนอนั้นอย่างเด็ดขาด
ร่างของจิวฉองชะงักทันทีด้วยอาการตกตะลึง โดยเขามิมีทางเลือกอื่นนอกจากต้องกล่าวว่า “เช่นนั้นข้าควรทำเช่นไร? อย่างไรก็ตามพวกเขาเป็นทหารม้า และด้วยความเร็วนี้ ลิโป้จะตามเราทันในเวลามิถึงครึ่งชั่วยามนะขอรับ!”
“อย่าเพิ่งตื่นตระหนกไป! ขอเวลาข้าคิดสักครู่!”
ซูเจ๋อกลับเข้าไปในรถม้าและนั่งหลับตาพร้อมกับตั้งสมาธิเพื่อเริ่มทำการเชื่อมต่อดาวเทียมซูเปอร์ควอนตัมในอวกาศกับคลื่นสมองของตนเอง
[ติง ติง… ระบบดาวเทียมซูเปอร์ควอนตัมเชื่อมต่อ การสื่อสารมีเสถียรภาพ โปรดป้อนคำสั่ง]
“ช่วยสร้างลมกระโชกแรงให้พัดมาข้างหลังข้าทันที ข้าต้องการปิดกั้นการไล่ตาม”
[ติง ติง... การโจมตีสภาพอากาศต้องได้รับอนุญาตระดับสอง ขณะนี้กำลังถูกถอดรหัสและมิสามารถใช้งานได้]
“รู้แล้ว! แต่มันเริ่มทำการแก้ไขมาตั้งนานแล้วนี่ ยังมิเรียบร้อยอีกหรือไง?”
ซูเจ๋อลอบสาปแช่งแต่ยังคงสั่งการผ่านความคิดต่อไป
“ถ้าอย่างนั้นฉันอนุญาตให้คุณใช้ระดับเลเวลหนึ่ง เพื่อสแกนการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศทันทีในอีกสามวันข้างหน้าภายในรัศมีสิบลี้”
[ติง ติง… ระบบเริ่มสแกนพื้นที่เป้าหมาย]
[ติง ติง… ระบบกำลังรวบรวมองค์ประกอบที่ส่งผลต่อสภาพอากาศ]
[ติง ติง… ระบบเริ่มสร้างแบบจำลองสภาพอากาศ]
[ติง ติง… การทำนายสภาพอากาศเสร็จสมบูรณ์ ตอนนี้ระบบเริ่มส่งข้อมูลแล้ว]
จากนั้นข้อมูลจำนวนมากในรูปแบบของคลื่นสมองจึงถูกส่งเข้าไปในจิตวิญญาณของซูเจ๋อ ทำให้เขาเกิดอาการปวดหัวกระทั่งอดมิได้ที่จะขบกรามแน่นและใช้มือทั้งสองกุมขมับของตนเองด้วยท่าทางที่ทุกข์ทรมาน
“คุณชายเกิดอันใดขึ้นกับท่าน ท่านปวดหัวอีกแล้วรึ?” ซูเซี๋ยวเสี่ยวที่อยู่ด้านข้างรีบเข้าไปประคองชายหนุ่มด้วยสีหน้าเป็นห่วงเป็นใย
แต่ซูเจ๋อโบกมือเพื่อต้องการบอกว่ามิเป็นไร และครู่ต่อมาหลังจากการรับส่งข้อมูลเสร็จสิ้น เขาจึงกลับมาเป็นปกติอีกครั้งท่ามกลางความโล่งใจของผู้คนรอบข้าง
ก่อนที่ซูเซี๋ยวเสี่ยวจะเอ่ยถามอีกครั้ง ซูเจ๋อได้เปิดม่านเพื่อสำรวจโดยรอบและชี้นิ้วไปทางทิศตะวันออกพลางกล่าวว่า “เจ้าเห็นหุบเขาตรงนั้นหรือไม่? พวกเราต้องรีบไปหลบซ่อนตัวที่นั่นเดี๋ยวนี้”
จิวฉองหันกลับมาอย่างเร่งรีบและเปลี่ยนแผนการเดินทางจากเดิมไปยังทางทิศตะวันออก โดยผู้คนและม้าที่ตามมาทั้งหมดต่างก็พากันมุ่งหน้าไปยังหุบเขาตามคำสั่งดังกล่าว
เปลี่ยนเส้นทางเช่นนั้นรึ?!
จากนั้นเมื่อเห็นการเปลี่ยนแปลงเส้นทางของซูเจ๋อ แน่นอนว่าลิโป้ย่อมสั่งให้ผู้ใต้บังคับบัญชาเปลี่ยนทิศทางทันทีเพื่อไล่ตามอีกฝ่ายไป แต่เมื่อไปถึงบริเวณด้านหน้าหุบเขา ผู้คนทั้งหมดกลับต้องหยุดชะงัก
“ท่านแม่ทัพ เหตุใดจึงมิไล่ตามต่อไปเล่า?” เว่ยซูรองแม่ทัพที่ตามมาเอ่ยถาม
ลิโป้วาดง้าวและชี้ไปที่ภูมิประเทศด้านหน้าและกล่าวประชดประชันว่า “เจ้าเป็นถึงหนึ่งในแปดแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่ภายใต้บังคับบัญชาของข้า มิเห็นหรือว่าหุบเขานั้นหนาแน่นไปด้วยป่าไม้และทางแยกหลายทางซึ่งเป็นประโยชน์มากสำหรับการฝังศพของทหารม้า และเจ้าเด็กแซ่ซูนั่นคงต้องการซุ่มโจมตีเราในหุบเขา เราจะหลงกลอุบายง่าย ๆ เช่นนี้ได้อย่างไร?”
เว่ยซูรู้สึกละอายที่ถูกเสียดสีจึงกล่าวว่า “สิ่งที่ท่านแม่ทัพกล่าวถูกต้องแล้ว เช่นนั้นหากไล่ล่าต่อไปมิได้ เราควรทำอย่างไรดี?”
ลิโป้เหลือบมองดูหุบเขาและเยาะเย้ยด้วยการยกมุมปากขึ้นพร้อมกับโบกง้าวในมือ “หุบเขานี้มิได้เชื่อมต่อกับภูเขาจึงเป็นอิสระและมีทางออกเพียงมิกี่ทาง… สั่งการให้กระจายกำลังพลโอบล้อมหุบเขานี้เพื่อจับตัวมันให้ได้!”
“ท่านแม่ทัพช่างปราดเปรื่อง!” เว่ยซูยกนิ้วโป้งขึ้นและรีบถ่ายทอดคำสั่งของแม่ทัพลิโป้ออกไป
หลังจากได้รับคำสั่ง ทหารม้าเหล็กจำนวนห้าร้อยนายจึงแบ่งเป็นกลุ่มเพื่อขวางกั้นทางออกของหุบเขาทั้งหมดในทันที และเมื่อมีสัญญาณพวกเขาจะใช้วิธีจุดไฟเพื่อกดดันผู้คนทั้งหมดให้ออกมา
ลิโป้ยกถุงสุราของตนเองพร้อมเงยหน้าขึ้นจิบและกล่าวเยาะเย้ย “เจ้าคนแช่ซู! อยากรู้นักว่าเจ้าจะหดหัวอยู่ในนั้นได้นานสักเพียงใด?”
ซูเจ๋อพาผู้คนทั้งหมดเข้าไปในหุบเขา แต่ก่อนที่จะเดินทางไปไกลมาก เขาสั่งให้ทุกคนหยุดพักเพื่อรอให้เฮาเฉียออกไปสำรวจโดยรอบ
“คุณชายเรายังหยุดมิได้! จะเกิดอันใดขึ้นหากลิโป้ไล่ตามมาทัน?” จิวฉองกล่าวเตือน
ท่ามกลางความประหลาดใจซูเจ๋อกำลังเคี้ยวถั่วปากอ้าและกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “อย่ากังวล ข้าเชื่อว่าลิโป้จะมิกล้าไล่ตามเรามาอย่างแน่นอน”
เมื่อเฮาเฉียได้รับคำสั่งแล้วจึงจากไปอย่างรวดเร็วดั่งสายลมที่พัดผ่านไป
สำหรับจิวฉอง เขาสั่งทหารให้เตรียมตัวรับมือโดยหลบซ่อนตัวอยู่ในตำแหน่งที่เอื้ออำนวย โดย ณ จุดนั้นเต็มไปด้วยธนูและหน้าไม้รวมถึงเชือกที่จะใช้สำหรับขวางทางการไล่ล่าของทหารม้าได้ทุกเมื่อ
เวลาผ่านไปมินานนัก เมื่อพระอาทิตย์ตกดินและกาลเวลาข้ามผ่านเข้าสู่ยามราตรีทุกอย่างย่อมมืดมิดส่งผลให้ทั้งสองฝ่ายต่างมองมิเห็นซึ่งกันและกัน
ครู่หนึ่งหลังจากมีสายลมพัดผ่านมา ทันใดนั้นจึงพบว่าเฮาเฉียมายืนอยู่ต่อหน้าทุกคนราวกับลูกกระสุนปืนใหญ่ที่หยุดนิ่งอย่างกะทันหัน
“ลิโป้ไล่ตามเรามาแล้วหรือ?” จิวฉองเอ่ยถามอย่างมิอดทน
เฮาเฉียส่ายหัว “ข้ามิทราบแน่ชัดว่า เหตุใดลิโป้จึงมิกล้าตามเข้ามาในหุบเขานี้ แต่กลับกระจายกำลังทหารโดยรอบหุบเขาแทน”
ด้วยคำกล่าวนี้ ทุกคนจึงรู้สึกโล่งใจอย่างบอกมิถูก
จิวฉองจ้องมองไปที่ซูเจ๋อด้วยความประหลาดใจ “คุณชายคาดเดาทุกอย่างได้อย่างแม่นยำ ทว่าท่านรู้ได้อย่างไรกันว่าลิโป้มิกล้าที่จะไล่ตามเรามา?”
“เป็นเรื่องที่สามารถคาดเดาได้อย่างง่ายดาย เนื่องจากลิโป้มีความเชี่ยวชาญทางการทหารมาก เช่นนั้นจะมิรู้ได้อย่างไรว่าภูมิประเทศของหุบเขานี้มิเอื้อต่อกองทหารม้าของตนเอง ตรงข้ามกลับเป็นประโยชน์ต่อทหารราบของฝ่ายเราที่สามารถซุ่มโจมตีได้ ดังนั้นเขาย่อมมิกล้าไล่ตามอย่างแน่นอน”
ซูเจ๋อเคี้ยวถั่วปากอ้าพลางอธิบายอย่างเรียบง่าย ทันใดนั้นจิวฉองจึงนึกบางอย่างขึ้นมาได้ขณะเกาหลังศีรษะด้วยความละอายพลางหัวเราะเยาะตัวเอง “ที่แท้ก็คือหลักการง่าย ๆ นั่นเอง ข้ารู้สึกละอายใจยิ่งที่คิดมิถึง”
จากนั้นซูเซี๋ยวกับเตียวเสี้ยนและทุกคนต่างถอนหายใจด้วยความโล่งอก
เมื่อเริ่มผ่อนคลายแล้ว ซูเซี๋ยวเสี่ยวจึงรีบกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ในเมื่อคนแซ่ลิมิได้ไล่ตามมาแล้ว เราจะรออะไรอยู่เล่า รีบไปกันเถอะ กว่าจะเดินทางไปถึงที่หมายต้องใช้เวลาอีกหลายคืน...”
หลังจากเสียงนั้นจางหายไป เฮาเฉียจึงตบหน้าผากของตนเองแล้วกล่าวว่า “ข้าเกือบลืมบอกไปว่าระหว่างทางที่ไปตรวจสอบ พบว่าลิโป้ปิดกั้นทางออกทั้งหมดของหุบเขานี้เอาไว้แล้ว จากนั้นเมื่อถึงเวลาพวกเขาจะจุดไฟ และเมื่อใดก็ตามที่ออกไป พวกเราจะต้องถูกทหารม้าบดขยี้อย่างมิต้องสงสัย”
“ไอหยา!” ซูเซี๋ยวเสี่ยวผงะและมองไปที่ซูเจ๋ออย่างกังวล “แล้วคุณชายจะทำอย่างไรต่อไปดี? คนแซ่ลิคงต้องการให้พวกเราตายอยู่ที่นี่เป็นแน่”
“เราเตรียมอาหารและหญ้าเพียงพอแค่สองสามวันเท่านั้น เห็นทีคงหลบอยู่ในนี้ได้มินานนัก ดังนั้นจะต้องหาทางออกไปให้ได้” จิวฉองยังคงกล่าวด้วยความเป็นห่วง
จากนั้นทุกคนจึงตกอยู่ในบรรยากาศแห่งความวิตกกังวลไปชั่วขณะ
........................................................................