px

เรื่อง : ข้ามีดาวเที่ยมในยุคสามก๊ก (นิยายแปล) ปลดล๊อคตอนฟรี 3 วัน 1 ตอน
ตอนที่ 42 เสียสละตัวเอง


ตอนที่ 42 เสียสละตัวเอง

 

 

“แม้ราชาแห่งสวรรค์และฮ่องเต้ก็ยังต้องตาย แต่อย่ากังวลไปเลย! เพราะพวกเจ้ายังมีข้าอยู่ทั้งคน” ซูเจ๋อยิ้มอย่างสบายใจก่อนกล่าวพร้อมชี้นิ้ว “เฮาเฉีย! รีบก่อไฟเพื่อทำอาหารเร็วเข้า ข้าหิวแล้ว” ชายหนุ่มคร่ำครวญ และขณะที่กล่าวซูเจ๋อจงใจแขม่วท้องของตนเองพร้อมกับจ้องมองมันด้วยความหิวโหย

 

ด้วยคำกล่าวนี้ทุกคนจึงมิมีทางเลือกนอกจากต้องขนฟืนมาก่อไฟเพื่อตั้งหม้อต้มน้ำ และเมื่อผ่านไปครู่หนึ่งกลิ่นหอมกรุ่นของข้าวสุกจึงตลบอบอวลไปทั่วทั้งหุบเขา

 

แม้ว่าอาหารจะมีกลิ่นหอมจนทำให้ผู้ที่ได้กลิ่นรู้สึกหิว แต่เมื่อคิดว่าจะต้องติดอยู่ในหุบเขานี้ทุกคนจึงมิสามารถกลืนอาหารลงคอได้ ส่งผลให้พวกเขามิมีความอยากอาหารแม้แต่น้อยขณะที่กระสับกระส่ายและเฝ้าแต่ทอดถอนหายใจ

 

เวลานี้มีเพียงซูเจ๋อเท่านั้นที่เจริญอาหารมากอย่างน่าประหลาด และแม้จะกินเข้าไปแล้วสองชามก็ยังมิเพียงพอที่จะประทังความหิวของชายหนุ่ม

 

“มันทั้งหอมและอร่อยมาก เซี๋ยวเสี่ยว รีบนำผักดองจากจิงโจวของเราออกมาสิ หัวใหญ่ ๆ ทั้งนั้นเลยมิใช่รึ?” ซูเจ๋อถึงกับกลืนน้ำลายตัวเองในขณะที่เร่งเร้า

 

ซูเซี๋ยวเสี่ยวมิมีทางเลือกอื่นนอกจากหยิบขวดโหลผักกาดดองมาวางไว้ข้างหน้าซูเจ๋อ แต่ยังคงบ่นพึมพำมิหยุดปาก “ถึงเวลานี้แล้ว คุณชายยังกินอาหารอย่างเอร็ดอร่อยโดยมิรู้ร้อนรู้หนาวได้อย่างไรเจ้าคะ?"

 

“เจ้ามิเข้าใจหรอกว่าหัวใจของการปฏิวัติคือการกินให้อิ่มเสียก่อน หลังจากกินอิ่มแล้วทุกปัญหาย่อมเป็นเพียงเรื่องเล็ก! และเมื่อถึงเวลานั้นคงยังมิสายเกินไปที่จะนั่งถอนหายใจ”

 

จากนั้นซูเจ๋อจึงคีบผักดองสองสามคำเข้าปากอย่างอารมณ์ดีราวกับอิ่มเอมกับความอร่อยของอาหารตรงหน้า

 

“ปฏิวัติ ปฏิวัติอันใด คุณชายกล่าววาจาไร้สาระอีกแล้ว...”

 

ซูเซี๋ยวเสี่ยวพึมพำพลางคีบผักดองมาหนึ่งชิ้นและกินอาหารโดยมิใส่ใจต่อรสชาติของมันเนื่องจากนางมิรู้สึกอยากอาหารเลยแม้แต่น้อย

 

“คุณชายพูดถูก หากตายไปแล้วกลายเป็นผีที่หิวโหยก็คงมิดี” ทันใดนั้นเฮาเฉียได้ตบที่ต้นขาของตนเอง เมื่อนึกบางอย่างขึ้นมาได้และรีบยกชามขึ้นกินทันที

 

สำหรับจิวฉองที่เห็นว่าพวกเขาทั้งหมดยังคงกังวลและมีอาการเหมือนกับซูเซี๋ยวเสี่ยวคือมิอยากทานอาหารจึงทำได้เพียงกินอาหารโดยมิพูดแม้แต่คำเดียว

 

หลังจากซูเจ๋อกินอาหารไปได้ครึ่งท้องแล้วเขามองเห็นว่าเตียวเสี้ยนมิยอมขยับตะเกียบจึงคีบผักดองหนึ่งชิ้นให้นาง “นี่คืออาหารพิเศษของจิงโจวเรา! เป็นอาหารที่รสเลิศ เจ้าควรลองชิมดู”

 

“ขอบคุณ… คุณชาย” เตียวเสี้ยนคีบมันเข้าปากและเคี้ยวอย่างสุภาพพลางฝืนรอยยิ้ม “อร่อยมากจริงด้วย”

 

“ข้าบอกแล้วว่าอร่อย อย่างนั้นต้องกินอีกสองสามชิ้น” ซูเจ๋อยิ้มอย่างภาคภูมิใจและคีบอีกสองสามชิ้นส่งให้นาง

 

เตียวเสี้ยนมองไปยังผักดองในชามและขยับตะเกียบไปมาเพราะมิมีอารมณ์ที่จะทานอาหารเช่นเดียวกัน และพยายามจะพูดบางอย่างกับซูเจ๋อหลายครั้ง แต่ในที่สุดนางก็มิได้เอ่ยออกมา 

 

ท่ามกลางความเงียบสงัดในยามค่ำคืนกองไฟเริ่มมอดลง และในหุบเขาอันเวิ้งว้างทุกคนต่างตกอยู่ในภวังค์ความคิดของตัวเอง

 

...

 

ย่างเข้าวันที่สามแล้ว ทว่าการปิดล้อมยังคงดำเนินต่อไป

 

ลิโป้ที่รอดูเหตุการณ์อยู่ด้านหน้าหุบเขาตั้งใจจะมารับเตียวเสี้ยนกลับไป ดังนั้นกำลังทหารม้าหลายร้อยนายจึงตั้งค่ายอยู่ที่ทางออกของบริเวณดังกล่าว และในเวลาเดียวกันพวกเขาได้แบ่งแยกทหารม้าไปค้นหาเมล็ดพืชและหญ้าในพื้นที่ใกล้เคียง

 

อย่างไรก็ตามลิโป้ได้เฝ้ารออย่างอดทนและมิมีความกังวลใจแม้แต่น้อย โดยสิ่งที่เขาทำคือการดื่มสุราและกินเนื้อแกะย่างทั้งวันเพื่อรอเวลาให้อาหารของซูเจ๋อหมด

 

สำหรับสถานการณ์ภายในหุบเขาย่อมเป็นไปตามที่ลิโป้คาดการเอาไว้ คือมิเอื้ออำนวยต่อการดำรงชีวิตมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง

 

แม้ซูเจ๋อจะส่งเฮาเฉียกับนายทหารที่เป็นพลธนูซึ่งมีความแม่นยำออกไปล่าสัตว์จนทั่วทุกที่ในหุบเขาแล้วก็ตาม แต่ท้ายที่สุดพวกเขามีสมาชิกในกลุ่มมากกว่าหนึ่งร้อยคน ดังนั้นการจะอาศัยเหยื่อเหล่านี้เพียงอย่างเดียวย่อมมิเพียงพอสำหรับการประทังชีวิตให้อยู่รอด 

 

ดังนั้นเมื่อล่วงเลยเข้าสู่วันที่สาม แม้แต่ซูเจ๋อเองก็มิสามารถกินอาหารให้อิ่มท้องได้ นับประสาอะไรกับคนอื่นที่ได้รับอาหารน้อยกว่าเขาลงไปอีก

 

ภายนอกถูกกดดันด้วยกำลังทหารที่ล้อมรอบ ขณะอาหารกับหญ้าที่อยู่ด้านในมิเพียงพอกับความต้องการของผู้คน และภายใต้ความทุกข์ยากที่รุมเร้าเช่นนี้ ขวัญและกำลังใจของผู้ร่วมชะตากรรมย่อมหดหู่มากขึ้นโดยมิต้องสงสัย

 

เมื่อกลางวันแปรเปลี่ยนเป็นกลางคืนและหมุนวนต่อไปท่ามกลางความสิ้นหวัง

 

ชายรูปร่างกำยำทั้งหลายย่อมมิมีเรี่ยวแรงเพราะมิมีอาหารเพียงพอ ดังนั้นเวลาส่วนใหญ่จึงหมดไปกับการนั่งพิงกันหรือนอนรอเวลาอย่างไร้จุดหมาย

 

กลางดึกคืนนั้นซูเจ๋อกำลังยืนอยู่บนเนินขนาดย่อมและมองออกจากหุบเขาไปยังตำแหน่งที่อยู่ห่างไกลด้วยแววตาเด็ดเดี่ยวและครุ่นคิดถึงบางอย่าง

 

จากนั้นมีเสียงฝีเท้าดังขึ้นข้างหลังเขา แต่ก่อนที่จะหันกลับมา เขาได้กลิ่นหอมเจือจางที่แสนคุ้นเคย

 

“แม่นางเตียว! นี่ก็ดึกมากแล้ว เหตุใดเจ้ายังมิเข้านอนอีก?” ซูเจ๋อหันกลับมาอย่างเชื่องช้า ทำให้เตียวเสี้ยนอดสงสัยมิได้ “คุณชายมิได้เหลียวหลังมามอง แล้วรู้ได้อย่างไรว่าเป็นข้า?”

 

“มีคำกล่าวว่า สตรีมักจะมีกลิ่นเฉพาะตัว เจ้ามิเคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนหรือ?” ซูเจ๋อยิ้มอย่างอ่อนโยน

 

เตียวเสี้ยนตัวแข็งทื่อด้วยอาการตกตะลึงและตระหนักได้ในทันที เมื่อนึกถึงว่าตนเองได้ใกล้ชิดกับซูเจ๋อมากเพียงใดในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา และเคยกอดกับชายหนุ่มผู้นี้ในรถม้าโดยบังเอิญ เช่นนั้นซูเจ๋อจะมิคุ้นเคยกับกลิ่นแป้งบนเรือนร่างของนางได้อย่างไร 

 

“จากนี้ไปคุณชายโปรดอย่าเรียกข้าว่าแม่นางเตียวเลย ข้ามิคู่ควรที่จะให้ท่านยกย่องถึงเพียงนั้น” เตียวเสี้ยนกล่าวอย่างแผ่วเบาด้วยใบหน้าที่สับสน

 

“เช่นนั้นเรียกเจ้าว่าเสียวเอ๋อก็แล้วกัน” ซูเจ๋อพยักหน้าและเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “เอ่อ… เสียวเอ๋อ เหตุใดเจ้าถึงนอนดึกถึงเพียงนี้ มีอันใดในใจหรือไม่?”

 

เตียวเสี้ยนพยักหน้า “ข้าขอกล่าวอย่างตรงไปตรงมา ก่อนหน้านี้ข้าเคยลังเลที่จะคุยกับคุณชาย แต่ตอนนี้ข้าตัดสินใจได้แล้วว่าต้องบอกคุณชายให้ได้”

 

สีหน้าของซูเจ๋อเปลี่ยนไปในทันที แต่อันที่จริงเขาเห็นแล้วว่าเตียวเสี้ยนมีบางอย่างในใจและดูเหมือนต้องการจะระบายออกมาหลายครั้ง เห็นได้ชัดว่านางต้องการเวลาใคร่ครวญ ดังนั้นเขาจึงมิได้เอ่ยถามอันใดมาก 

 

เมื่อได้ยินสิ่งที่นางกล่าว ซูเจ๋อจึงพูดอย่างเป็นกันเองว่า “เจ้ากับข้าลงเรือลำเดียวกันแล้ว เช่นนั้นอยากพูดอันใดก็ควรพูด”

 

เตียวเสี้ยนกล่าวอย่างเศร้าใจ “เสบียงของเราใกล้จะหมดลงแล้ว ดังนั้นสิ่งที่ควรทำในตอนนี้คือการออกไปจากหุบเขานี้ แต่ลิโป้เป็นผู้ที่ชอบใช้วิธีการรุนแรง ข้าจึงกลัวว่าคุณชายและบริวารของท่านอาจถูกสังหารได้”

 

หลังจากสูดหายใจเข้าลึกแล้ว นางจึงกล่าวด้วยใบหน้าที่มีความมุ่งมั่นว่า “คุณชายใจดีกับข้ามาก ดังนั้นข้าจะยอมให้ท่านตายเพราะช่วยข้าได้อย่างไร? ข้าจึงอยากขอให้ปล่อยข้าออกจากหุบเขา เพราะจุดประสงค์ในการมาของลิโป้ควรทำเพียงเพื่อต้องการจับข้ากลับไป เช่นนั้นตราบใดที่ข้าไปกับเขา… เขาอาจละเว้นชีวิตคุณชาย”

 

ซูเจ๋อเดาว่าเตียวเสี้ยนต้องการเสียสละตัวเองเพื่อรักษาชีวิตของพวกเขา “แล้วเจ้ามิห่วงพ่อแม่ของเจ้ารึ?” ซูเจ๋อเอ่ยถามกลับ

 

เตียวเสี้ยนกัดริมฝีปากพลางถอนหายใจอย่างขมขื่น “แน่นอนว่าข้ามิอยากแยกจากพ่อแม่ของข้า แต่มิมีทางเลือกอื่นนอกจากวิธีนี้เท่านั้น เมื่อถึงเวลาข้าจะขอให้คุณชายพาพวกท่านทั้งสองไปที่จิงโจวและดูแลพวกเขาแทนข้า คุณชายคือผู้มีพระคุณอันยิ่งใหญ่ หากชาติหน้ามีจริงข้าขอเกิดเป็นวัวและม้าเพื่อรับใช้ท่าน”

 

ในขณะนี้ซูเจ๋ออดมิได้ที่จะรู้สึกถึงความเคารพซึ่งมีต่อสาวงามผู้มิมีใครเทียบได้ตรงหน้า เนื่องจากนางมิต้องการทำตัวไร้ค่าแม้จะมีภูมิหลังยากจน โดยนางพยายามทำในสิ่งที่มีคุณค่าด้วยจิตวิญญาณแห่งการเสียสละ

 

“เสียวเอ๋อ เจ้าเป็นผู้ที่มีความกล้าหาญอย่างแท้จริง... "

 

เมื่อเห็นว่าอารมณ์ในหัวใจของเขาเกิดอาการหวั่นไหว ซูเจ๋อจึงหัวเราะเยาะตัวเอง “เดิมทีข้าต้องการช่วยเจ้าให้รอดพ้นจากห้วงแห่งความขมขื่น แต่ตอนนี้เจ้ากลับยอมเสียสละตัวเองเพื่อช่วยชีวิตข้า… การกระทำของเจ้ามันจะทำให้ข้า ซูเจ๋อกลายเป็นตัวตลกในสายตาของชาวโลกและคงทนมิได้ที่จะให้คนอื่นมาเรียกข้าว่าผู้ที่หลบอยู่หลังหม้อเป็นแน่”

 

“หม้อ? หลบหลังหม้อหมายความว่าอย่างไรหรือ?”

 

เตียวเสี้ยนรู้สึกตกใจและมิเข้าใจความหมายของคำกล่าวเหล่านั้น แต่สังเกตเห็นว่าน้ำเสียงของซูเจ๋อตั้งใจที่จะมิยอมรับข้อเสนอของนางอย่างจริงจัง

 

เตียวเสี้ยนจึงรู้สึกกังวลในทันทีและกล่าวอย่างเร่งรีบ “แต่หากมิทำเช่นนี้คุณชายกับทุกคนคงต้องตาย แล้วข้าจะทนได้อย่างไร?!”

 

“อย่าด่วนกังวลไป! เราต้องมิตายและเจ้ามิต้องเสียสละตัวเองด้วย เพราะข้ามีวิธีพาพวกเจ้ารอดพ้นจากวิกฤตในครั้งนี้ด้วยตัวข้าเอง” รอยยิ้มที่มั่นใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าของซูเจ๋อขณะที่ดวงตาของชายหนุ่มดูมีเล่ห์เหลี่ยมอย่างเห็นได้ชัด

 

เตียวเสี้ยนรู้สึกประหลาดใจ ใบหน้างดงามว่างเปล่าและมิเข้าใจว่าเหตุใดซูเจ๋อจึงมีความมั่นใจในตนเองมากมายถึงเพียงนั้น

 

ในช่วงเวลาที่นางกำลังครุ่นคิดอย่างสงสัย ซูเจ๋อได้เดินตรงไปตามทางลาดเข้าหาฝูงชนพร้อมกับร้องตะโกน “เวลาใกล้จะหมดแล้ว ทุกคนจงรีบถอดเข็มขัดของตนเองออกมาและมัดต่อกันให้เป็นเชือกยาวเดี๋ยวนี้!” 

 

....................................................................

 

 

 

รีวิวผู้อ่าน