ตอนที่ 43 วิธีของคุณชาย
เมื่อซูเจ๋อร้องตะโกนดังลั่นมาจากบนเนิน กลุ่มทหารที่กำลังนอนหลับใหลจึงถูกปลุกให้ตื่นขึ้นด้วยเสียงนั้น
“คุณชาย! ท่านต้องการให้พวกเราทำอันใดเจ้าคะ?” ซูเซี๋ยวเสี่ยวเอ่ยถามอย่างว่างเปล่าพลางขยี้ตาด้วยอาการงัวเงีย
จากนั้นซูเจ๋อได้เดินลงมาจากเนินนั้นอย่างรวดเร็วและกล่าวซ้ำแล้วซ้ำเล่าด้วยเสียงอันดัง “ข้าต้องการให้พวกเจ้าปลดเข็มขัดของตนเองแล้วมัดเข้าด้วยกันให้เป็นเชือกยาว”
ในที่สุดทหารที่ตื่นขึ้นย่อมได้ยินคำกล่าวเหล่านี้อย่างชัดเจนและหันมามองหน้ากันเองขณะที่มีเพียงสิ่งเดียวที่อยู่ในใจของทุกคนคือ ‘บ้าไปแล้ว!’
ซูเซี๋ยวเสี่ยวที่เต็มไปด้วยความรู้สึกสับสนมุ่ยหน้าในทันที “คุณชาย! ท่านจะทำอย่างไรกับเชือกยาวนี้? อย่าบอกนะเจ้าคะว่าจะให้พวกเราผูกคอตาย?”
“ยัยเซ่อ!” ซูเจ๋อยกมือขึ้นตบที่หน้าผากของสาวใช้อย่างแผ่วเบา
“อุ๊ย!” ซูเซี๋ยวเสี่ยวร้องอุทานทันทีและใช้มือถูหน้าผากของตนเองขณะที่มุ่ยหน้าและบ่นว่า “หากเป็นเช่นนั้นจริง เราก็ควรผูกเชือกให้ยาว ๆ หน่อย”
“หากเจ้าต้องการที่จะทำก็ทำไปคนเดียวเถิด อย่าพูดจาไร้สาระ ข้าสั่งก็ควรรีบทำ! เร็วเข้า” ซูเจ๋อขมวดคิ้วและสั่งด้วยเสียงอันดัง
โดยช่วงเวลานั้นทั้งซูเซี๋ยวเสี่ยว จิวฉอง เฮาเฉีย และทหารคนอื่น ๆ ต่างก็ตกอยู่ในภาวะสับสนและมิเข้าใจว่าเหตุใดจึงต้องทำเช่นนั้น แต่พวกเขามิมีทางเลือกอื่นนอกจากต้องทำตามที่คุณชายสั่ง
ดังนั้นผู้คนทั้งหมดจึงยืนขึ้นและวุ่นวายอยู่กับการแก้เข็มขัดของตนเองเพื่อนำมามัดเข้าด้วยกัน และเมื่อผ่านไปเพียงครู่เดียวพวกเขาก็สามารถสร้างเชือกที่มีความยาวหนึ่งร้อยก้าวได้สำเร็จ
“คุณชาย เราผูกเชือกเสร็จแล้ว ต่อไปท่านจะให้เราทำอันใดอีก?” จิวฉองถือเชือกยาวไว้ข้างหน้าซูเจ๋อ
ซูเจ๋อเหล่ตาตรวจสอบสักครู่แล้วชี้นิ้วพร้อมกล่าวว่า “เมื่อผูกเชือกแน่นดีแล้วจงวางลงก่อน และตอนนี้พวกเราควรเข้านอนได้” หลังจากนั้นซูเจ๋อได้กลับไปที่ผ้าห่มด้วยรอยยิ้มพร้อมกับล้มตัวลงนอนขดตัวและหลับตาลงกระทั่งผล็อยหลับไป
ขณะที่จิวฉองยังคงถือเชือกเส้นยาวเหยียดยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นและอ้าปากค้างมองไปยังซูเจ๋อที่กำลังนอนหงายอย่างประหลาดใจด้วยสีหน้าโง่งม
ผู้คนที่เหลือต่างก็มีความรู้สึกเช่นเดียวกันมิเว้นแม้แต่ซูเซี๋ยวเสี่ยวหรือเฮาเฉีย โดยทุกคนต่างมีสีหน้าสับสนและหันมามองหน้ากันและกัน ขณะที่พวกเขาทั้งหมดมีสีหน้างุนงง
เมื่อฝูงชนมองดูอย่างสงสัย ซูเจ๋อกลับทำท่าทางอารมณ์ดี จากนั้นในพริบตาชายหนุ่มก็กรนเสียงดังขึ้น!
เมื่อเห็นเช่นนี้ทุกคนต่างก็พูดมิออก
“ที่คุณชายพูดหมายความว่าอย่างไร?” เฮาเฉียเดินเข้าหาซูเซี๋ยวเสี่ยวและเอ่ยถาม
ซูเซี๋ยวเสี่ยวเหลือบมองเขาและตวาดกลับ “เจ้าอยากรู้ก็ปลุกเขามาถามเองสิ!”
“หากเจ้ารู้ก็บอกมาสิ! อมพะนำเอาไว้ด้วยเหตุใด? อยากโดนทุบหรือ?” เฮาเฉียพึมพำและอ้อนวอนว่า “เซี๋ยวเสี่ยว! เราเป็นพี่น้องกันมิใช่หรือ? บอกข้ามาเถิด”
“ข้าก็ได้ยินเหมือนกับท่านนั่นแหละ แต่น่าเสียดายที่มิรู้ว่าคุณชายหมายถึงอันใด?" ซูเซี๋ยวเสี่ยวยักไหล่พร้อมเชิดจมูกขึ้นก่อนจะมุดเข้าไปในรถม้า
เฮาเฉียตะลึงงันอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหันกลับมาสาปแช่งอย่างโกรธเคือง
“ยัยเด็กผี! รับใช้คุณชายมาตั้งนานแต่กลับไร้ประโยชน์สิ้นดี” เฮาเฉียมิรู้ว่าจะทำอย่างไร จึงทำได้เพียงด่าทออย่างอารมณ์เสียเท่านั้นและเข้านอนตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชา
ส่วนจิวฉองและทหารคนอื่นๆ ที่เหลือต่างก็มีคำถามที่ซ่อนอยู่ในใจมากมาย แต่พวกเขาทำได้เพียงอดทนต่อความหิวโหยและข่มตานอนหลับเหมือนเฮาเฉีย
หลังจากเตียวเสี้ยนได้เห็นการกระทำอันแปลกประหลาดของซูเจ๋อ หญิงสาวพบว่าหลังจากนั้นเพียงครู่เดียวคุณชายของนางก็นอนกรนไปแล้วและทุกคนล้มตัวลงนอนอีกครั้ง นางจึงยกชายกระโปรงขึ้นและกลับไปที่รถม้าเพื่อนอนลงเช่นกัน
อย่างไรก็ตามหลังจากหญิงสาวพลิกร่างไปมาอยู่หลายครั้งแต่ก็ยังนอนมิหลับ ดังนั้นจึงลุกขึ้นนั่งและยกม่านขึ้นอย่างนุ่มนวลเพื่อมองไปทางซูเจ๋อ
เมื่อเห็นร่างผอมเพรียวกำลังนอนกรนอย่างมีความสุข จิตใจของหญิงสาวจึงสั่นสะท้านจนยากที่จะสงบลงได้เป็นเวลานาน
และมิรู้ว่าตั้งแต่เมื่อใดที่นางกัดริมฝีปากสีแดงสดของตนเองด้วยร่องรอยของความเด็ดเดี่ยวในดวงตาคู่นั้น ราวกับนางกำลังตั้งใจอย่างแน่วแน่ที่จะทำบางอย่าง
หลังจากถอนหายใจอย่างแผ่วเบาแล้ว ชั่วอึดใจต่อมาผ้าม่านได้ถูกลดระดับลงอย่างรวดเร็ว
...
“มีหมอกหนา!…”
ทันใดนั้นผู้คนที่หลับใหลต้องสะดุ้งตื่นขึ้นด้วยเสียงร้องตะโกนอันแหลมสูงของซูเซี๋ยวเสี่ยว
จากนั้นทุกคนจึงตื่นจากการนอนหลับสนิทและหาวพร้อมกับยืดเอวขึ้น ขณะที่บางคนยังขยี้ตาอย่างงัวเงียและเบิกตามองภาพตรงหน้าด้วยความงุนงง
เมื่อได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นต่อหน้าพวกเขา ความง่วงเหงาหาวนอนก่อนหน้านี้ย่อมสลายตัวไปในทันทีกระทั่งมิมีความเฉื่อยชาหลงเหลืออยู่ และแต่ละคนสูดหายใจเข้าด้วยอาการตกตะลึงในทันทีท่ามกลางความรู้สึกมึนงง
“อะ… เกิดอันใดขึ้น? อันใด?... เหตุใดจู่ ๆ จึงมีหมอกหนาเกิดขึ้น?” จิวฉองรู้สึกประหลาดใจมากจนลิ้นของเขาแทบจะผูกเป็นปม
หมอกลงจัดจริงด้วย!
เวลานี้ท้องฟ้าเต็มไปด้วยความคลุมเครือเนื่องจากทั้งหุบเขาถูกปกคลุมด้วยหมอกหนาทึบในยามเช้า ขณะที่สามารถมองเห็นได้ภายในระยะสิบก้าวเท่านั้น ทว่าสำหรับพื้นที่ซึ่งอยู่ห่างออกไปกลับดูเหมือนเวลากลางคืนและมองมิเห็นอันใดเลย แน่นอนว่าหมอกที่ลงจัดในครั้งนี้มิใช่แค่หมอกธรรมดาแต่มันเป็นหมอกหนาทึบ!
ดวงตาของซูเซี๋ยวเสี่ยว จิวฉองและเฮาเฉียรวมถึงกลุ่มทหารต่างก็เบิกโพลงและจ้องมองไปยังหมอกตรงหน้าด้วยความอัศจรรย์ใจ
ซูเจ๋อลุกขึ้นยืนช้า ๆ พลางหาวสองสามครั้งพร้อมยืดเอวอย่างรุนแรงและลืมตาอย่างเกียจคร้าน
เมื่อเห็นหมอกหนาทึบตรงหน้า เขากลับมิมีอาการแปลกใจบนใบหน้าแม้แต่น้อย ขณะมีรอยยิ้มยกขึ้นที่มุมปากของบุรุษหนุ่ม
รอยยิ้มนั้นเบ่งบานอย่างมีความสุขท่ามกลางหมอกหนาที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน
เหตุการณ์ทั้งหมดนี้อยู่ในความคาดหวังของซูเจ๋อ จากนั้นเขาจึงกระโดดเข้าไปในรถม้าและตะโกนว่า “หมอกหนากำลังมาแล้ว รีบคลี่เชือกยาวออกเร็วเข้า เฮาเฉีย! เอาเชือกตามข้าออกไปจากหุบเขาเดี๋ยวนี้”
ในตอนแรกทุกคนต่างตกตะลึงกระทั่งนิ่งอึ้งไป แต่ทันใดก็นึกขึ้นได้ว่าชายหนุ่มผู้นี้มักจะสร้างเรื่องประหลาดใจที่คาดมิถึงมาแล้วหลายครั้งหลายครา
ขณะที่ซูเซี๋ยวเสี่ยวหันกลับมา สาวใช้ตระหนักได้ถึงบางอย่างจึงรีบคว้าแขนเสื้อซูเจ๋อและร้องอุทานด้วยความประหลาดใจ “คุณชายคาดการณ์ว่าวันนี้จะมีหมอกหนา ท่านจึงสั่งให้เราผูกเชือกยาวในชั่วข้ามคืนใช่หรือไม่?”
ซูเจ๋อทำเพียงยิ้มแทนคำตอบ
ท่ามกลางความตื่นตระหนกนั้น จิวฉองถอนหายใจออกมาด้วยความชื่นชม ทันใดนั้นก็นึกถึงบางสิ่งและร้องตะโกนด้วยความตกใจ “หลายวันก่อนเป็นเพราะคุณชายคำนวณได้ว่าจะเกิดหมอกหนาขึ้น ดังนั้นจึงพาพวกเรามาซ่อนตัวในหุบเขานี้ใช่หรือไม่?”
“หากมิฉะนั้นเล่า?…” ซูเจ๋อกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เจ้าคิดว่าข้าจะนำเจ้าไปสู่ทางตันรึ?” ช่วงเวลานั้นผู้คนรอบตัวต่างมีอาการตื่นตระหนก
จิวฉองกำลังตกตะลึงเนื่องจากเขาคิดมิถึงว่า ความสามารถของซูเจ๋อในการทำนายสภาพอากาศล่วงหน้านั้นมีความมหัศจรรย์ยิ่ง มิเพียงทำนายการเปลี่ยนแปลงของลมฝนและอุณหภูมิได้เท่านั้นแต่ยังสามารถทำนายหมอกหนาได้อย่างแม่นยำอีกด้วย
หลังจากตกตะลึงเป็นเวลานาน จิวฉองจึงกระแทกอาวุธประจำตัวลงบนพื้นอย่างแรงและกล่าวด้วยความประหลาดใจว่า “ข้าเชื่อมั่นในความสามารถของคุณชาย”
“คุณชายของบ่าวช่างน่าทึ่งเสียจริง สมแล้วที่เป็นนายน้อยของเซี๋ยวเสี่ยว” สาวใช้ตัวน้อยกอดแขนของชายหนุ่มด้วยความภาคภูมิใจ
เฮาเฉียได้โต้ตอบเป็นครั้งแรกด้วยการร้องอุทานว่า “คุณชาย! สภาพอากาศที่มีหมอกเช่นนี้สามารถบดบังการมองเห็นของแม่ทัพลิโป้และคนของเขาได้ แต่พวกเราย่อมมองมิเห็นเช่นกัน แล้วจะออกจากหุบเขานี้ได้อย่างไรโดยมิให้ศัตรูรู้ตัว?”
เฮาเฉียกล่าวเตือนทุกคนด้วยแววตาแห่งความสงสัย ขณะที่ซูเจ๋อได้กล่าวขึ้นอีกครั้ง
“มิต้องเป็นห่วง ข้ามีวิธีพาพวกเจ้าออกจากหุบเขาโดยที่ศัตรูมิรู้ตัว โดยเจ้าแค่ต้องเตรียมตัว” ใบหน้าของซูเจ๋อมีความมั่นใจและผายมืออย่างใจเย็น
ทุกคนเห็นว่าซูเจ๋อเหมือนกับมีเวทมนตร์วิเศษ แม้พวกเขาจะรู้สึกงงงวยแต่มิกล้าที่จะลังเลและเริ่มดำเนินการตามคำสั่งทันที
ในชั่วพริบตาผู้คนหลายสิบคนและรถม้าสองคันจึงถูกร้อยด้วยเชือกยาว ดังนั้นแม้พวกเขามองจะมองมิเห็นเพื่อนร่วมทางในทันทีแต่จะมิหลงทางเมื่ออยู่ท่ามกลางสายหมอก
เมื่อเห็นว่าขั้นตอนเตรียมการใกล้จะเสร็จสิ้นแล้ว ซูเจ๋อจึงกล่าวว่า “ทุกคนพร้อมแล้วหรือยัง? เรากำลังจะออกจากหุบเขานี้แล้ว”
“เสียวเอ๋อ! เสียวเอ๋อหายไปขอรับ!” ทันใดนั้นผู้ที่อยู่ในรถม้ากรีดร้องด้วยน้ำเสียงประหม่า
ซูเจ๋อรู้สึกตกใจมากและรีบเปิดม่านขึ้นอย่างกังวลเพียงพบว่าผู้ชราสองคนกำลังตื่นตระหนกอยู่ในรถม้า ทว่าเตียวเสี้ยนได้หายตัวไปเสียแล้ว...
.....................................................................