ตอนที่ 44 คว้ากิ่งไม้
“แม่นางเตียวหายไปไหน?” ซูเจ๋อเอ่ยถามอย่างเร่งด่วน
“ขะ... ข้าก็มิรู้ เมื่อคืนนี้นางยังอยู่บนรถม้า แต่เช้านี้เหลือเพียงจดหมายนี้ เราอ่านมิออกจึงมิรู้ว่านางเขียนอันใด?” ชายชราร้องไห้คร่ำครวญขณะมือที่ถือจดหมายฉบับนั้นสั่นเทา
ซูเจ๋อหยิบมันขึ้นมาและเหลือบมองสองสามครั้งก่อนจะขมวดคิ้ว
แน่นอนว่ากระดาษแผ่นนี้เป็นจดหมายของเตียวเสี้ยน โดยเนื้อหาในจดหมายสั้นมากและมีใจความว่า เตียวเสี้ยนตัดสินใจเสียสละตัวเองเพื่อช่วยพวกเขา ดังนั้นหญิงสาวจึงออกจากหุบเขาเพียงลำพังและขอให้ซูเจ๋อช่วยดูแลบิดามารดาของนางด้วย
“คุณชายซู ในจดหมายของเสียวเอ๋อเขียนว่าอย่างไรบ้าง?” บิดาของเตียวเสี้ยนเอ่ยถามอย่างกระตือรือร้น
ซูเจ๋อถอนหายใจ “เสียวเอ๋อต้องการช่วยเรา นางจึงออกไปหาลิโป้เพียงผู้เดียวโดยมิให้ใครรู้"
“เป็นไปได้อย่างไร? เหตุใดเด็กโง่คนนี้ถึงกล้ากระโดดเข้าไปในกองไฟเช่นนั้น? ช่างโง่เขลาเสียจริง… แล้วคราวนี้ผู้ใดจะช่วยเจ้าได้อีก?” บิดามารดาผู้ชราร้องไห้อย่างเป็นกังวลด้วยน้ำตาที่ไหลรินอาบแก้ม
ซูเจ๋อจำได้ว่าหลังจากสิ้นสุดการสนทนาเมื่อคืนนี้ เห็นได้ชัดว่ามีบางอย่างผิดปกติกับการแสดงออกของเตียวเสี้ยน
เมื่อมองไปยังคู่สามีภรรยาสูงอายุตรงหน้าที่กำลังร้องไห้ ซูเจ๋อจึงเหลือบมองจดหมายอีกครั้ง และทันใดนั้นดวงตาของบุรุษหนุ่มได้เปล่งประกายสว่างไสวขึ้น “พวกท่านอย่ากังวลไป เห็นได้ชัดว่าหมึกในจดหมายนี้ยังมิแห้งดี ข้าจะรีบออกไปตามหานางเดี๋ยวนี้”
จากนั้นซูเจ๋อจึงกระโดดลงจากรถม้าก่อนพลิกตัวและกระโดดขึ้นไปบนหลังม้าพร้อมร้องตะโกนว่า “จิวฉอง! เจ้าต้องปกป้องทุกคนและรอข้ากลับมา ส่วนเฮาเฉียออกไปตามหาแม่นางเตียวกับข้า” ก่อนที่คำกล่าวจะจบซูเจ๋อจึงควบม้าออกไป ขณะที่เฮาเฉียมิได้เสียเวลาคิดและรีบติดตามซูเจ๋อไปให้ทันโดยมิต้องขี่ม้า
ซูเซี๋ยวเสี่ยวมองไปยังหมอกหนา และทันใดนั้นได้ร้องอุทาน “คุณชาย! มีหมอกลงมากเช่นนี้ ท่านจะมองเห็นนางได้อย่างไร?”
เสียงของหญิงสาวสะท้อนกึกก้องอยู่ในหมอกหนานั้น แต่ซูเจ๋อมิรีรอที่จะพุ่งตัวเข้าไปในสายหมอกอันกว้างใหญ่ด้วยความสิ้นหวัง ดังนั้นซูเซี๋ยวเสี่ยวจึงทำได้เพียงกระทืบเท้าตัวเองและขมวดคิ้ว
ซูเจ๋อควบม้าเข้าไปในสายหมอกโดยมีเฮาเฉียเดินตามอย่างใกล้ชิดและมินานก็เดินทางออกมาไกลจากคนกลุ่มใหญ่นั้น
ในเวลานี้หมอกลงหนาแน่นขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้มองเห็นมิชัดเจนว่าใครเป็นใคร และหลังจากผ่านไปเกินสามก้าวเฮาเฉียต้องเร่งความเร็วตามซูเจ๋อไปโดยทิ้งระยะห่างประมาณสองก้าวเพื่อมิให้คลาดกัน
“หยุด...” ซูเจ๋อหยุดม้าทันทีและมองขึ้นไปยังหมอกหนาราวกับกำลังค้นหาอะไรบางอย่าง
เฮาเฉียหยุดชะงักพร้อมกล่าวอย่างขมขื่น “คุณชาย เราจะหาตัวแม่นางเตียวเสี้ยนในหมอกหนาทึบนี้ได้อย่างไร? และหากเราออกจากหุบเขาไปแล้วบังเอิญพบกับทหารม้าของลิโป้เล่า!…”
ซูเจ๋อเพิกเฉยต่อคำเตือนของผู้ติดตาม แต่ทันใดนั้นชายหนุ่มได้หลับตาลงราวกับกำลังใช้ความคิด
ด้วยวิธีนี้เฮาเฉียถึงกับผงะไปพักหนึ่งเพราะคิดว่าคุณชายกำลังจะแสดงปาฏิหาริย์อีกครั้ง แต่มิเข้าใจว่าเหตุใดคุณชายจึงหลับตาลงอย่างลึกลับราวกับกำลังผล็อยหลับไป
“คุณชายกำลังทำสิ่งใดกัน?” เฮาเฉียพึมพำพลางลูบหัวตัวเองมองดูด้วยความสับสน
หลังจากนั้นมินานร่างของซูเจ๋อเริ่มมีอาการสั่นสะท้าน และทันใดนั้นเขาได้ยกมือขึ้นปกปิดหน้าผากของเขาพร้อมขมวดคิ้วราวกับกำลังเจ็บปวดอย่างรุนแรง
หลังจากนั้นมินานชายหนุ่มได้ถอนหายใจยาวและคิ้วขมวดของเขาจึงค่อยคลายออกเพราะรู้สึกโล่งใจ
ครั้นหายใจเข้ามิกี่อึดใจซูเจ๋อจึงลืมตาขึ้นทันทีและชี้แส้ไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือพร้อมตะโกนว่า “นางอยู่ตรงนั้น ตามข้ามา” ยังมิทันกล่าวจบซูเจ๋อก็ควบม้าออกไปแล้ว
เฮาเฉียรู้สึกประหลาดใจมากขึ้นและรีบตามไปทันที ขณะที่เห็นซูเจ๋อพุ่งตัวไปข้างหน้าอย่างดุเดือดตลอดทาง ราวกับเป้าหมายของเขาชัดเจนยิ่ง
ผู้ติดตามจึงอดมิได้ที่จะแอบสงสัยอยู่ในใจว่า “เกิดอะไรขึ้น? ดูเหมือนคุณชายจะรู้ว่านางอยู่ที่ไหน จะเป็นไปได้อย่างไรกัน? ทั้ง ๆ ที่หมอกลงหนาถึงเพียงนี้...”
ต่อมาเสียงเกือกม้าได้จางหายไปในความลึกของหมอกหนานั้น
แต่อีกด้านหนึ่งของผืนหมอกอันกว้างใหญ่ เตียวเสี้ยนที่เป็นเหมือนคนตาบอดใช้มือคลำไปโดยรอบในสายหมอกอย่างกังวลใจ
เมื่อครึ่งชั่วโมงก่อน หญิงสาวฉวยโอกาสในตอนที่ทุกคนหลับใหลเขียนจดหมายทิ้งไว้ และเมื่อฟ้าใกล้สางจึงหลบหนีออกมาจากที่พักเพียงลำพังและเดินไปตามทางเดียวกับตอนที่เข้ามาในหุบเขาเพื่อยอมมอบตัวต่อลิโป้
ตอนนั้นมีเพียงหมอกที่เบาบาง และสามารถมองเห็นเส้นทางได้แม้จะมิชัดเจนสักเท่าไหร่
ทว่าเตียวเสี้ยนคิดมิถึงว่าหมอกในตอนเช้าจะมีความหนาแน่นมากขึ้นเรื่อย ๆ และภายในเวลามิถึงครึ่งชั่วยาวกลับมีหมอกลงหนามากจนแทบมองมิเห็นแม้แต่นิ้วของตนเอง
เมื่อทัศนวิสัยถูกบดบังอย่างสมบูรณ์ เตียวเสี้ยนจึงเบี่ยงออกจากเส้นทางเดิมและหลงทางอยู่ในหุบเขาที่บริเวณทางแยก
“เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร? เหตุใดจู่ ๆ จึงมีหมอกหนาขึ้น?” เตียวเสี้ยนขมวดคิ้วด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวลขณะพร่ำบ่นและคลำไปข้างหน้าด้วยเท้าข้างหนึ่งและมือข้างหนึ่ง
ทันใดนั้นหญิงสาวได้ก้าวขึ้นไปในอากาศ ส่งผลให้ร่างกายของนางสูญเสียจุดศูนย์ถ่วงจึงส่งเสียงกรีดร้อง “ว๊าย!”
นางก้มหน้าลงด้วยความตื่นตระหนก โดยเตียวเสี้ยนเห็นต้นไม้ต้นหนึ่งที่มีกิ่งก้านคดเคี้ยวยื่นมาตรงหน้าตนเอง และก่อนที่จะมีสติคิดถึงเรื่องอื่น นางได้เอื้อมมือออกไปคว้ามันเอาไว้โดยสัญชาตญาณ
จากนั้นมีเสียงแตกที่กิ่งก้านอันคดเคี้ยวของต้นไม้ภายในมิกี่อึดใจหลังจากเขย่าอยู่ครู่หนึ่ง ราวกับมันกำลังจะหักคามือ หญิงสาวใช้มือทั้งสองกำกิ่งก้านของต้นไม้เอาไว้แน่น โดยร่างกายกำลังลอยอยู่ในอากาศ นางหายใจถี่หอบด้วยความกลัวเมื่อมองลงมาราวกับเริ่มหายใจติดขัด เนื่องจากบริเวณใต้ฝ่าเท้าของนางนั้นมีคูน้ำลึกที่มิอาจหยั่งถึงก้นปรากฏอยู่ท่ามกลางสายหมอก
เมื่อเห็นเช่นนี้หญิงสาวจึงอดมิได้ที่จะแอบดีใจและต้องขอบคุณต้นไม้ที่มีกิ่งก้านคดเคี้ยวรวมถึงความโชคดีของตนเองที่สามารถตอบสนองได้เร็วพอที่จะคว้ามันได้ มิเช่นนั้นนางคงตกลงไปในคูน้ำลึกนี้และอาจมิมีชีวิตรอดอีกต่อไป
อย่างไรก็ตามแม้นางจะรอดพ้นจากการตาย แต่ร่างของหญิงสาวยังคงแขวนอยู่ในอากาศด้วยลำแขนที่อ่อนแอทั้งยังมิสามารถไต่กลับไปได้ และด้วยความแข็งแกร่งที่มีเพียงเล็กน้อยซึ่งเริ่มจะอ่อนล้าจึงมิสามารถอดทนต่อสถานการณ์เช่นนี้ได้อีกต่อไป
“ช่วยด้วย! ช่วยข้าด้วย...” เตียวเสี้ยนร้องตะโกนด้วยความหวาดกลัวโดยสัญชาตญาณภายใต้สถานการณ์แห่งความเป็นและความตาย
เสียงร้องแห่งความสยดสยองนั้นสะท้อนอยู่ในสายหมอกและหุบเขาอันกว้างใหญ่ ทว่าคำตอบเดียวสำหรับนางคือเสียงสะท้อนที่จางหายไป
เรี่ยวแรงกำลังจะหมดไปอย่างรวดเร็วและรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดที่แขนของตนเองที่ถูกดึงรั้ง จากนั้นนิ้วทั้งสิบของนางจึงคลายลงอย่างต่อเนื่องโดยที่หญิงสาวมิสามารถจับมันเอาไว้ได้อีกต่อไป
ช่วงเวลานั้นเตียวเสี้ยนรู้สึกหมดหวังและรู้ดีว่าสถานที่แห่งนี้อยู่ห่างไกลจากตำแหน่งที่จากมามาก ดังนั้นจึงเป็นไปมิได้ที่ผู้ใดจะได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือของตนเอง แต่ต่อให้มีใครได้ยินก็เป็นไปมิได้ที่จะรู้ว่านางอยู่ที่ไหนในสายหมอกที่หนาทึบเช่นนี้
เมื่อทบทวนสถานการณ์ทั้งหมดแล้วหญิงสาวย่อมรู้อยู่แก่ใจว่าตนเองอยู่ห่างจากความตายเพียงก้าวเดียวเท่านั้น
แม้นางหวาดกลัวความตายมิน้อย แต่สิ่งที่ทำให้นางรู้สึกเจ็บปวดยิ่งกว่านั้นคือ หลังจากที่ตนตายตกไปลิโป้จะฆ่าซูเจ๋อรวมทั้งบิดาของนางและทุกคนในหุบเขาแห่งนี้ด้วยแรงอาฆาตแค้น
“ท่านพ่อ ท่านแม่และคุณชายซู ทั้งหมดเป็นความผิดของเสียวเอ๋อเอง เดิมทีข้าต้องการช่วยพวกท่าน แต่คิดมิถึงว่าข้าจะเป็นคนทำร้ายพวกท่าน”
เตียวเสี้ยนกล่าวโทษตัวเองในทุกวิถีทางขณะที่น้ำตาไหลท่วมท้นทั้งสองตา ริมฝีปากบิดเบี้ยว นางต้องการเช็ดน้ำตาเพื่อเปิดวิสัยทัศน์ในการมองเห็นด้วยมือข้างหนึ่งที่จับกิ่งไม้ มิว่าจะยากเย็นแสนเข็ญเพียงใดนางก็ยังตัดสินใจคลายมันออก ส่งผลให้ร่างกายบอบบางกำลังจะร่วงหล่นลงสู่เบื้องล่าง
....................................................................
ตอนที่ 45 ช่วงเวลาแห่งความเป็นและความตาย
ทันใดนั้นมีฝ่ามืออันแข็งแรงพุ่งตรงมาคว้าข้อมือนางไว้แน่นก่อนที่นางจะร่วงหล่นลงไป
เตียวเสี้ยนผู้เตรียมพร้อมที่จะพบกับความตายจึงลืมตาขึ้นอย่างรวดเร็วและเงยหน้าขึ้นมองในทันที ความประหลาดใจที่ไม่เคยมีมาก่อนปรากฏบนใบหน้าอันงดงามหาใดเปรียบ
ซูเจ๋อ!
บุรุษที่นอนคว่ำหน้าอยู่บนขอบหน้าผาและจับข้อมือนางไว้ในช่วงเวลาแห่งความเป็นและความตายกลับกลายเป็นซูเจ๋อ
“คุณชาย… คุณชาย!” เตียวเสี้ยนร้องเสียงแหบแห้งและสั่นเครือด้วยอาการงุนงงขณะคิดว่าตนเองอยู่ในความฝัน
“ข้าเคยบอกแล้วว่าเจ้าไม่จำเป็นต้องเสียสละแต่กลับไม่ยอมเชื่อฟัง ตอนนี้รู้หรือยังว่าตนคิดผิดมหันต์เช่นไร?! อดทนไว้! ข้าจะรีบดึงตัวเจ้าขึ้นมา”
ซูเจ๋อกล่าวพร้อมกับใช้แรงทั้งหมดที่มีส่งไปยังแขนกระทั่งใบหน้าแดงก่ำเพื่อดึงร่างของหญิงสาวขึ้นมาจากด้านล่าง
ในจังหวะที่ขึ้นมานั้น ซูเจ๋อเกือบจะสูญเสียกำลังและทรุดตัวลงกับพื้นโดยยกศีรษะขึ้น ขณะที่เตียวเสี้ยนทุ่มตัวลงบนร่างของบุรุษหนุ่ม
ช่วงเวลานั้นทั้งสองถึงกับอ้าปากค้างด้วยอาการตกตะลึงและไม่มีผู้ใดสนใจท่าทางของอีกฝ่าย
สำหรับเฮาเฉียนั้น เขายืนอยู่ด้านหลังและจ้องมองภาพตรงหน้าอย่างโง่เขลา ทว่าสิ่งที่ทำให้เขาเกิดความรู้สึกประหลาดใจไม่ใช่ฉากที่น่าตื่นเต้นขณะซูเจ๋อช่วยชีวิตเตียวเสี้ยน แต่เป็นเพราะเขาไม่เข้าใจว่าเหตุใดซูเจ๋อที่อยู่ท่ามกลางหมอกหนาจึงตัดสินในเลือกทิศทางที่เตียวเสี้ยนอยู่ได้อย่างแม่นยำและสามารถหาตัวนางพบในช่วงเวลาวิกฤติ ราวกับว่าดวงตาของซูเจ๋อมีพลังเหนือธรรมชาติบางอย่าง กระทั่งสามารถมองทะลุผ่านหมอกหนาทึบได้จริง
“คุณชายสามารถทำนายวันเวลาที่จะเกิดหมอกได้ มิหนำซ้ำดวงตาของเขายังสามารถมองทะลุผ่านหมอกได้! นี่มันเหลือเชื่อมากเกินไป… เขายังเป็นผู้คนอยู่หรือไม่?”
เฮาเฉียแอบนึกประหลาดใจพลางหันหน้ากลับไปกลับมา ก่อนจะจ้องมองไปยังซูเจ๋อด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความสงสัย และนอกจากความประหลาดใจแล้ว จากนั้นมันค่อย ๆ เพิ่มความหวาดกลัวขึ้นทีละน้อยราวกำลังมองดูเทพเจ้าผู้มีพลังอำนาจเหนือผู้คนทั่วไป!
เตียวเสี้ยนหายใจเหนื่อยหอบเป็นเวลานานด้วยความตื่นตระหนกเป็นที่สุด จากนั้นจึงรู้ตัวเองว่ากำลังนอนทับอยู่บนร่างของซูเจ๋อและถูกจ้องมองโดยเฮาเฉียเป็นเวลานานแล้ว
ใบหน้าของหญิงสาวแดงก่ำด้วยความเขินอายในทันทีและรีบลุกขึ้นจากซูเจ๋อขณะที่เสื้อผ้าถูกลากไปกับพื้น
เมื่อซูเจ๋อลุกขึ้นแล้วจึงรีบเอ่ยถามด้วยความห่วงใย “เจ้าได้รับบาดเจ็บตรงไหนหรือไม่?”
“ข้าไม่ได้รับบาดเจ็บแม้แต่น้อย” เตียวเสี้ยนส่ายหัวและโค้งคำนับซ้ำแล้วซ้ำเล่า "เสียวเอ๋อขอบคุณที่คุณชายช่วยชีวิตข้าเอาไว้”
“เอาล่ะ ไม่บาดเจ็บก็ดีแล้ว” ซูเจ๋อถอนหายใจแต่กล่าวอย่างเคร่งขรึม “เมื่อคืนนี้ข้าบอกเจ้าไว้อย่างชัดเจนแล้วว่าไม่ต้องเสียสละ เพราะข้าจะพาเจ้าผ่านอุปสรรคนี้เอง แล้วเหตุใดเจ้าถึงยังทำเรื่องโง่เขลาอีก? เจ้าไม่เชื่อใจข้าอย่างนั้นหรือ?”
เตียวเสี้ยนละอายใจและส่ายหัวอย่างเร่งรีบ “ไม่ใช่ว่าข้าจะไม่เชื่อคุณชาย แต่แค่ไม่อยากให้พวกท่านตกอยู่ในอันตรายและต้องมาเสี่ยงตายแทนข้าอีกครั้ง”
ซูเจ๋อไม่เห็นด้วย “ข้าพาเจ้าออกจากคฤหาสน์ในเมืองฉางอานอย่างยากลำบาก หากทำเช่นนี้ไม่เท่ากับว่าที่ผ่านมาข้าต้องเหนื่อยเปล่าหรอกหรือ?”
เมื่อมองไปยังซูเจ๋อซึ่งมีความเยือกเย็นและมั่นใจ เตียวเสี้ยนจึงรู้สึกผิดกระทั่งไม่รู้ว่าจะกล่าวอันใดออกมาได้
ในขณะนั้นจู่ ๆ ซูเจ๋อได้อุ้มนางขึ้นและเมื่อใบหน้าของหญิงสาวที่กำลังสับสน บุรุษหนุ่มจึงวางนางบนหลังม้าแล้วกระโดดขึ้นก่อนจะสอดแขนของตนเองลอดรักแร้อีกฝ่ายเพื่อจับสายสำหรับควบคุมม้าอย่างแผ่วเบาผ่านเอวคอดของหญิงสาว
“คุณชาย… คุณชาย เราจะไปไหนกัน?” เตียวเสี้ยนโน้มตัวเข้าไปในอ้อมแขนของซูเจ๋อขณะที่คำกล่าวและจังหวะการเคลื่อนไหวของนางแสดงเสน่ห์เย้ายวนออกมาโดยมิได้ตั้งใจ
“ข้าจะไปพบทุกคนและพาเจ้าออกจากหุบเขา” ซูเจ๋อหวดแส้และควบม้าออกไป
และเมื่อผ่านเฮาเฉียไปซูเจ๋อได้ตะโกนอีกครั้งว่า “ยังไม่รีบไปอีก ยืนงุนงงอันใดอยู่?!” เฮาเฉียรู้สึกตื่นตระหนกด้วยความมึนงงอย่างชัดเจนและรีบก้าวไปข้างหน้าเพื่อไล่ตามซูเจ๋อเข้าไปในหมอกหนาทึบอีกครั้ง
ไม่นานหลังจากนั้นซูเจ๋อที่เร่งรีบไปตลอดทางเดินผ่านหมอกราวกับเดินอยู่ในสภาพอากาศปกติและกลับไปยังที่ตั้งก่อนหน้านี้ของพวกเขา
เมื่อผู้คนเหล่านั้นเห็นซูเจ๋อกลับมาอย่างปลอดภัย พวกเขาย่อมรู้สึกโล่งอกโล่งใจ แต่เมื่อเห็นซูเจ๋อกลับมาพร้อมกับเตียวเสี้ยนทุกคนจึงรู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก
“เสียวเอ๋อ! นับว่าโชคดีที่เจ้าสามารถกลับมาได้อย่างปลอดภัย เจ้าทำพวกเราเป็นห่วงแทบแย่”
สองสามีภรรยาผู้ชราหลั่งน้ำตาด้วยความดีใจและรีบวิ่งไปหาบุตรสาวที่ลงจากม้า
ซูเซี๋ยวเสี่ยวที่พบว่าสิ่งนี้ช่างเหลือเชื่อนางกระพริบตาแล้วเอ่ยถามว่า “คุณชาย! ท่ามกลางหมอกหนาทึบเช่นนี้ ท่านพาแม่นางเตียวกลับมาได้อย่างไร?”
จิวฉองกับเหล่าทหารมองมายังเขาด้วยความประหลาดใจ ขณะที่ความอยากรู้ในส่วนลึกกำลังเพิ่มขึ้นบนใบหน้าของทุกคน
“โอ้! สายมากแล้ว! เราต้องออกจากที่นี่ให้เร็วที่สุดก่อนที่หมอกจะเบาบางลง”
ซูเจ๋อไม่ต้องการที่จะพูดถึงเรื่องนี้จึงรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนาในทันทีและเดินไปยังแนวหน้าของฝูงชน
ตอนนั้นชายร่างใหญ่กำลังคิดจะย่องออกจากหุบเขา แต่จู่ ๆ เขาก็เกร็งตัวขึ้นและคว้าเชือกเส้นยาวไว้แน่นเมื่อได้ยินว่า
“ทุกคนจงฟัง! ไม่ว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้นอย่าได้ส่งเสียงเป็นอันขาด จงยึดเชือกไว้เพื่อเดินตามกันไปอย่างใกล้ชิด”
หลังจากซูเจ๋อออกคำสั่งด้วยเสียงอันดังแล้ว ทันใดนั้นเหมือนมีเส้นทางปรากฏขึ้นตรงหน้า เพื่อนำทางออกไปด้านหน้าของหุบเขาจากตำแหน่งนี้
บนหลังม้าของชายหนุ่มได้ผูกเชือกยาวเส้นนั้นไว้และร้อยต่อด้วยรถม้าสองคันจากนั้นทุกคนจึงคว้าเชือกยาวแล้วเดินตามไปข้างหลังอย่างใกล้ชิด
ชั่วอึดใจต่อมาซูเจ๋อที่นั่งอยู่บนหลังม้าและหันหลังให้ทุกคนเริ่มเชื่อมต่อคลื่นสมองกับดาวเทียมสภาพอากาศซูเปอร์ควอนตัมขณะที่ผู้คนเหล่านั้นกำลังให้ความสนใจกับเชือกในมือ
[ติง ติง ... ระบบเชื่อมต่อสำเร็จแล้ว]
“สแกนภูมิประเทศของหุบเขาทั้งหมดทันที และส่งแผนที่ภูมิประเทศสามมิติให้แก่ข้า”
[ติง ติง ... สแกนสำเร็จแล้ว การส่งข้อมูลกำลังจะเริ่มขึ้น]
จู่ ๆ ศีรษะของซูเจ๋อเริ่มรู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวอีกครั้ง ในขณะเดียวกันแผนที่ภูมิประเทศสามมิติที่สมบูรณ์และชัดเจนของหุบเขาได้ปรากฏขึ้นในใจของชายหนุ่ม
ดาวเทียมอุตุนิยมวิทยาควอนตัมมีพลังมหาศาล ดังนั้นแม้ในสภาพอากาศที่นี่หมอกหนายังคงสามารถสแกนแผนที่ภูมิประเทศได้อย่างชัดเจน
บนแผนที่ภูมิประเทศนั้นเส้นทางในหุบเขาทั้งหมดปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจนต่อหน้าต่อตาของซูเจ๋อ ตำแหน่งที่ตั้งของเขาได้ถูกทำเครื่องหมายและวางตำแหน่งด้วยดาวเทียมเพื่อให้เขาสามารถมองเห็นทิศทางได้อย่างถูกต้องไปจนถึงทางออกข้างหน้า
ส่วนผู้คนที่เดินตามด้านหลังไม่มีความมั่นใจเลยแม้แต่น้อย อีกทั้งยังกลัวว่าตนเองจะตกลงไปในคูน้ำหรือเหวลึกในหุบเขาแห่งนี้เข้าสักครั้ง
“คุณชายทำท่าเหมือนกับดวงตาของเขาสามารถมองทะลุผ่านหมอกได้ พี่เฮาเฉีย ไหนลองเล่าให้ฟังสิว่าคุณชายใช้ความสามารถแบบใดจึงหาแม่นางเตียวพบ?” จิวฉองเอ่ยถามด้วยใบหน้าพิศวงงงงวย
เฮาเฉียส่ายหัวและกล่าวว่า “ข้าจะรู้ได้อย่างไร? ข้ารู้เพียงคุณชายควบม้าเร็วยังกับเหาะได้ และในที่สุดก็ได้พบกับแม่นางเตียว”
“หากเป็นเช่นนี้ คุณชายของเราคงเป็นมนุษย์ประหลาด!” จิวฉองเกาหัวตนเองและมองดูดวงตาของซูเจ๋อ ขณะที่รู้สึกว่าสิ่งที่บุรุษหนุ่มผู้นี้ทำเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อมากขึ้นทุกวัน
ครึ่งชั่วยามต่อมา ถนนข้างหน้าค่อย ๆ เปิดโล่งและพบว่าพวกเขาเดินทางมาใกล้กับทางออกแล้ว
ในเวลานี้นับว่าเป็นช่วงเวลาอันตรายที่สุด เพราะกำลังของฝ่ายตรงข้ามโอบล้อมหุบเขานี้อยู่แม้จะไม่ทราบจำนวนอย่างแน่ชัดก็ตาม และทั้งสองฝ่ายไม่สามารถมองเห็นแม้แต่ร่างกายของตนเอง ดังนั้นหากบังเอิญเกิดมีการปะทะกันขึ้นมา สิ่งนี้จะก่อความโกลาหลอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และสถานการณ์ดังกล่าวยังคงไม่เอื้ออำนวยต่อฝ่ายของซูเจ๋อ
ดังนั้นช่วงเวลาดังกล่าวทุกคนต่างหลั่งเหงื่อ หัวใจที่เต้นระรัวขณะยืดคอขึ้น การแสดงออกของพวกเขาบ่งบอกว่ากำลังลุ้นระทึกสุดชีวิต!
.....................................................................