ตอนที่ 45 ช่วงเวลาแห่งความเป็นและความตาย
ทันใดนั้นมีฝ่ามืออันแข็งแรงพุ่งตรงมาคว้าข้อมือนางไว้แน่นก่อนที่นางจะร่วงหล่นลงไป
เตียวเสี้ยนผู้เตรียมพร้อมที่จะพบกับความตายจึงลืมตาขึ้นอย่างรวดเร็วและเงยหน้าขึ้นมองในทันที ความประหลาดใจที่ไม่เคยมีมาก่อนปรากฏบนใบหน้าอันงดงามหาใดเปรียบ
ซูเจ๋อ!
บุรุษที่นอนคว่ำหน้าอยู่บนขอบหน้าผาและจับข้อมือนางไว้ในช่วงเวลาแห่งความเป็นและความตายกลับกลายเป็นซูเจ๋อ
“คุณชาย… คุณชาย!” เตียวเสี้ยนร้องเสียงแหบแห้งและสั่นเครือด้วยอาการงุนงงขณะคิดว่าตนเองอยู่ในความฝัน
“ข้าเคยบอกแล้วว่าเจ้าไม่จำเป็นต้องเสียสละแต่กลับไม่ยอมเชื่อฟัง ตอนนี้รู้หรือยังว่าตนคิดผิดมหันต์เช่นไร?! อดทนไว้! ข้าจะรีบดึงตัวเจ้าขึ้นมา”
ซูเจ๋อกล่าวพร้อมกับใช้แรงทั้งหมดที่มีส่งไปยังแขนกระทั่งใบหน้าแดงก่ำเพื่อดึงร่างของหญิงสาวขึ้นมาจากด้านล่าง
ในจังหวะที่ขึ้นมานั้น ซูเจ๋อเกือบจะสูญเสียกำลังและทรุดตัวลงกับพื้นโดยยกศีรษะขึ้น ขณะที่เตียวเสี้ยนทุ่มตัวลงบนร่างของบุรุษหนุ่ม
ช่วงเวลานั้นทั้งสองถึงกับอ้าปากค้างด้วยอาการตกตะลึงและไม่มีผู้ใดสนใจท่าทางของอีกฝ่าย
สำหรับเฮาเฉียนั้น เขายืนอยู่ด้านหลังและจ้องมองภาพตรงหน้าอย่างโง่เขลา ทว่าสิ่งที่ทำให้เขาเกิดความรู้สึกประหลาดใจไม่ใช่ฉากที่น่าตื่นเต้นขณะซูเจ๋อช่วยชีวิตเตียวเสี้ยน แต่เป็นเพราะเขาไม่เข้าใจว่าเหตุใดซูเจ๋อที่อยู่ท่ามกลางหมอกหนาจึงตัดสินในเลือกทิศทางที่เตียวเสี้ยนอยู่ได้อย่างแม่นยำและสามารถหาตัวนางพบในช่วงเวลาวิกฤติ ราวกับว่าดวงตาของซูเจ๋อมีพลังเหนือธรรมชาติบางอย่าง กระทั่งสามารถมองทะลุผ่านหมอกหนาทึบได้จริง
“คุณชายสามารถทำนายวันเวลาที่จะเกิดหมอกได้ มิหนำซ้ำดวงตาของเขายังสามารถมองทะลุผ่านหมอกได้! นี่มันเหลือเชื่อมากเกินไป… เขายังเป็นผู้คนอยู่หรือไม่?”
เฮาเฉียแอบนึกประหลาดใจพลางหันหน้ากลับไปกลับมา ก่อนจะจ้องมองไปยังซูเจ๋อด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความสงสัย และนอกจากความประหลาดใจแล้ว จากนั้นมันค่อย ๆ เพิ่มความหวาดกลัวขึ้นทีละน้อยราวกำลังมองดูเทพเจ้าผู้มีพลังอำนาจเหนือผู้คนทั่วไป!
เตียวเสี้ยนหายใจเหนื่อยหอบเป็นเวลานานด้วยความตื่นตระหนกเป็นที่สุด จากนั้นจึงรู้ตัวเองว่ากำลังนอนทับอยู่บนร่างของซูเจ๋อและถูกจ้องมองโดยเฮาเฉียเป็นเวลานานแล้ว
ใบหน้าของหญิงสาวแดงก่ำด้วยความเขินอายในทันทีและรีบลุกขึ้นจากซูเจ๋อขณะที่เสื้อผ้าถูกลากไปกับพื้น
เมื่อซูเจ๋อลุกขึ้นแล้วจึงรีบเอ่ยถามด้วยความห่วงใย “เจ้าได้รับบาดเจ็บตรงไหนหรือไม่?”
“ข้าไม่ได้รับบาดเจ็บแม้แต่น้อย” เตียวเสี้ยนส่ายหัวและโค้งคำนับซ้ำแล้วซ้ำเล่า "เสียวเอ๋อขอบคุณที่คุณชายช่วยชีวิตข้าเอาไว้”
“เอาล่ะ ไม่บาดเจ็บก็ดีแล้ว” ซูเจ๋อถอนหายใจแต่กล่าวอย่างเคร่งขรึม “เมื่อคืนนี้ข้าบอกเจ้าไว้อย่างชัดเจนแล้วว่าไม่ต้องเสียสละ เพราะข้าจะพาเจ้าผ่านอุปสรรคนี้เอง แล้วเหตุใดเจ้าถึงยังทำเรื่องโง่เขลาอีก? เจ้าไม่เชื่อใจข้าอย่างนั้นหรือ?”
เตียวเสี้ยนละอายใจและส่ายหัวอย่างเร่งรีบ “ไม่ใช่ว่าข้าจะไม่เชื่อคุณชาย แต่แค่ไม่อยากให้พวกท่านตกอยู่ในอันตรายและต้องมาเสี่ยงตายแทนข้าอีกครั้ง”
ซูเจ๋อไม่เห็นด้วย “ข้าพาเจ้าออกจากคฤหาสน์ในเมืองฉางอานอย่างยากลำบาก หากทำเช่นนี้ไม่เท่ากับว่าที่ผ่านมาข้าต้องเหนื่อยเปล่าหรอกหรือ?”
เมื่อมองไปยังซูเจ๋อซึ่งมีความเยือกเย็นและมั่นใจ เตียวเสี้ยนจึงรู้สึกผิดกระทั่งไม่รู้ว่าจะกล่าวอันใดออกมาได้
ในขณะนั้นจู่ ๆ ซูเจ๋อได้อุ้มนางขึ้นและเมื่อใบหน้าของหญิงสาวที่กำลังสับสน บุรุษหนุ่มจึงวางนางบนหลังม้าแล้วกระโดดขึ้นก่อนจะสอดแขนของตนเองลอดรักแร้อีกฝ่ายเพื่อจับสายสำหรับควบคุมม้าอย่างแผ่วเบาผ่านเอวคอดของหญิงสาว
“คุณชาย… คุณชาย เราจะไปไหนกัน?” เตียวเสี้ยนโน้มตัวเข้าไปในอ้อมแขนของซูเจ๋อขณะที่คำกล่าวและจังหวะการเคลื่อนไหวของนางแสดงเสน่ห์เย้ายวนออกมาโดยมิได้ตั้งใจ
“ข้าจะไปพบทุกคนและพาเจ้าออกจากหุบเขา” ซูเจ๋อหวดแส้และควบม้าออกไป
และเมื่อผ่านเฮาเฉียไปซูเจ๋อได้ตะโกนอีกครั้งว่า “ยังไม่รีบไปอีก ยืนงุนงงอันใดอยู่?!” เฮาเฉียรู้สึกตื่นตระหนกด้วยความมึนงงอย่างชัดเจนและรีบก้าวไปข้างหน้าเพื่อไล่ตามซูเจ๋อเข้าไปในหมอกหนาทึบอีกครั้ง
ไม่นานหลังจากนั้นซูเจ๋อที่เร่งรีบไปตลอดทางเดินผ่านหมอกราวกับเดินอยู่ในสภาพอากาศปกติและกลับไปยังที่ตั้งก่อนหน้านี้ของพวกเขา
เมื่อผู้คนเหล่านั้นเห็นซูเจ๋อกลับมาอย่างปลอดภัย พวกเขาย่อมรู้สึกโล่งอกโล่งใจ แต่เมื่อเห็นซูเจ๋อกลับมาพร้อมกับเตียวเสี้ยนทุกคนจึงรู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก
“เสียวเอ๋อ! นับว่าโชคดีที่เจ้าสามารถกลับมาได้อย่างปลอดภัย เจ้าทำพวกเราเป็นห่วงแทบแย่”
สองสามีภรรยาผู้ชราหลั่งน้ำตาด้วยความดีใจและรีบวิ่งไปหาบุตรสาวที่ลงจากม้า
ซูเซี๋ยวเสี่ยวที่พบว่าสิ่งนี้ช่างเหลือเชื่อนางกระพริบตาแล้วเอ่ยถามว่า “คุณชาย! ท่ามกลางหมอกหนาทึบเช่นนี้ ท่านพาแม่นางเตียวกลับมาได้อย่างไร?”
จิวฉองกับเหล่าทหารมองมายังเขาด้วยความประหลาดใจ ขณะที่ความอยากรู้ในส่วนลึกกำลังเพิ่มขึ้นบนใบหน้าของทุกคน
“โอ้! สายมากแล้ว! เราต้องออกจากที่นี่ให้เร็วที่สุดก่อนที่หมอกจะเบาบางลง”
ซูเจ๋อไม่ต้องการที่จะพูดถึงเรื่องนี้จึงรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนาในทันทีและเดินไปยังแนวหน้าของฝูงชน
ตอนนั้นชายร่างใหญ่กำลังคิดจะย่องออกจากหุบเขา แต่จู่ ๆ เขาก็เกร็งตัวขึ้นและคว้าเชือกเส้นยาวไว้แน่นเมื่อได้ยินว่า
“ทุกคนจงฟัง! ไม่ว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้นอย่าได้ส่งเสียงเป็นอันขาด จงยึดเชือกไว้เพื่อเดินตามกันไปอย่างใกล้ชิด”
หลังจากซูเจ๋อออกคำสั่งด้วยเสียงอันดังแล้ว ทันใดนั้นเหมือนมีเส้นทางปรากฏขึ้นตรงหน้า เพื่อนำทางออกไปด้านหน้าของหุบเขาจากตำแหน่งนี้
บนหลังม้าของชายหนุ่มได้ผูกเชือกยาวเส้นนั้นไว้และร้อยต่อด้วยรถม้าสองคันจากนั้นทุกคนจึงคว้าเชือกยาวแล้วเดินตามไปข้างหลังอย่างใกล้ชิด
ชั่วอึดใจต่อมาซูเจ๋อที่นั่งอยู่บนหลังม้าและหันหลังให้ทุกคนเริ่มเชื่อมต่อคลื่นสมองกับดาวเทียมสภาพอากาศซูเปอร์ควอนตัมขณะที่ผู้คนเหล่านั้นกำลังให้ความสนใจกับเชือกในมือ
[ติง ติง ... ระบบเชื่อมต่อสำเร็จแล้ว]
“สแกนภูมิประเทศของหุบเขาทั้งหมดทันที และส่งแผนที่ภูมิประเทศสามมิติให้แก่ข้า”
[ติง ติง ... สแกนสำเร็จแล้ว การส่งข้อมูลกำลังจะเริ่มขึ้น]
จู่ ๆ ศีรษะของซูเจ๋อเริ่มรู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวอีกครั้ง ในขณะเดียวกันแผนที่ภูมิประเทศสามมิติที่สมบูรณ์และชัดเจนของหุบเขาได้ปรากฏขึ้นในใจของชายหนุ่ม
ดาวเทียมอุตุนิยมวิทยาควอนตัมมีพลังมหาศาล ดังนั้นแม้ในสภาพอากาศที่นี่หมอกหนายังคงสามารถสแกนแผนที่ภูมิประเทศได้อย่างชัดเจน
บนแผนที่ภูมิประเทศนั้นเส้นทางในหุบเขาทั้งหมดปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจนต่อหน้าต่อตาของซูเจ๋อ ตำแหน่งที่ตั้งของเขาได้ถูกทำเครื่องหมายและวางตำแหน่งด้วยดาวเทียมเพื่อให้เขาสามารถมองเห็นทิศทางได้อย่างถูกต้องไปจนถึงทางออกข้างหน้า
ส่วนผู้คนที่เดินตามด้านหลังไม่มีความมั่นใจเลยแม้แต่น้อย อีกทั้งยังกลัวว่าตนเองจะตกลงไปในคูน้ำหรือเหวลึกในหุบเขาแห่งนี้เข้าสักครั้ง
“คุณชายทำท่าเหมือนกับดวงตาของเขาสามารถมองทะลุผ่านหมอกได้ พี่เฮาเฉีย ไหนลองเล่าให้ฟังสิว่าคุณชายใช้ความสามารถแบบใดจึงหาแม่นางเตียวพบ?” จิวฉองเอ่ยถามด้วยใบหน้าพิศวงงงงวย
เฮาเฉียส่ายหัวและกล่าวว่า “ข้าจะรู้ได้อย่างไร? ข้ารู้เพียงคุณชายควบม้าเร็วยังกับเหาะได้ และในที่สุดก็ได้พบกับแม่นางเตียว”
“หากเป็นเช่นนี้ คุณชายของเราคงเป็นมนุษย์ประหลาด!” จิวฉองเกาหัวตนเองและมองดูดวงตาของซูเจ๋อ ขณะที่รู้สึกว่าสิ่งที่บุรุษหนุ่มผู้นี้ทำเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อมากขึ้นทุกวัน
ครึ่งชั่วยามต่อมา ถนนข้างหน้าค่อย ๆ เปิดโล่งและพบว่าพวกเขาเดินทางมาใกล้กับทางออกแล้ว
ในเวลานี้นับว่าเป็นช่วงเวลาอันตรายที่สุด เพราะกำลังของฝ่ายตรงข้ามโอบล้อมหุบเขานี้อยู่แม้จะไม่ทราบจำนวนอย่างแน่ชัดก็ตาม และทั้งสองฝ่ายไม่สามารถมองเห็นแม้แต่ร่างกายของตนเอง ดังนั้นหากบังเอิญเกิดมีการปะทะกันขึ้นมา สิ่งนี้จะก่อความโกลาหลอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และสถานการณ์ดังกล่าวยังคงไม่เอื้ออำนวยต่อฝ่ายของซูเจ๋อ
ดังนั้นช่วงเวลาดังกล่าวทุกคนต่างหลั่งเหงื่อ หัวใจที่เต้นระรัวขณะยืดคอขึ้น การแสดงออกของพวกเขาบ่งบอกว่ากำลังลุ้นระทึกสุดชีวิต!
.....................................................................