px

เรื่อง : ข้ามีดาวเที่ยมในยุคสามก๊ก (นิยายแปล) ปลดล๊อคตอนฟรี 3 วัน 1 ตอน
ตอนที่ 45 ช่วงเวลาแห่งความเป็นและความตาย


        ตอนที่ 45 ช่วงเวลาแห่งความเป็นและความตาย

 

ทันใดนั้นมีฝ่ามืออันแข็งแรงพุ่งตรงมาคว้าข้อมือนางไว้แน่นก่อนที่นางจะร่วงหล่นลงไป

 

เตียวเสี้ยนผู้เตรียมพร้อมที่จะพบกับความตายจึงลืมตาขึ้นอย่างรวดเร็วและเงยหน้าขึ้นมองในทันที ความประหลาดใจที่ไม่เคยมีมาก่อนปรากฏบนใบหน้าอันงดงามหาใดเปรียบ

 

ซูเจ๋อ!

 

บุรุษที่นอนคว่ำหน้าอยู่บนขอบหน้าผาและจับข้อมือนางไว้ในช่วงเวลาแห่งความเป็นและความตายกลับกลายเป็นซูเจ๋อ

 

“คุณชาย… คุณชาย!” เตียวเสี้ยนร้องเสียงแหบแห้งและสั่นเครือด้วยอาการงุนงงขณะคิดว่าตนเองอยู่ในความฝัน

 

“ข้าเคยบอกแล้วว่าเจ้าไม่จำเป็นต้องเสียสละแต่กลับไม่ยอมเชื่อฟัง ตอนนี้รู้หรือยังว่าตนคิดผิดมหันต์เช่นไร?! อดทนไว้!  ข้าจะรีบดึงตัวเจ้าขึ้นมา”

 

ซูเจ๋อกล่าวพร้อมกับใช้แรงทั้งหมดที่มีส่งไปยังแขนกระทั่งใบหน้าแดงก่ำเพื่อดึงร่างของหญิงสาวขึ้นมาจากด้านล่าง

 

ในจังหวะที่ขึ้นมานั้น ซูเจ๋อเกือบจะสูญเสียกำลังและทรุดตัวลงกับพื้นโดยยกศีรษะขึ้น ขณะที่เตียวเสี้ยนทุ่มตัวลงบนร่างของบุรุษหนุ่ม

 

ช่วงเวลานั้นทั้งสองถึงกับอ้าปากค้างด้วยอาการตกตะลึงและไม่มีผู้ใดสนใจท่าทางของอีกฝ่าย

 

สำหรับเฮาเฉียนั้น เขายืนอยู่ด้านหลังและจ้องมองภาพตรงหน้าอย่างโง่เขลา  ทว่าสิ่งที่ทำให้เขาเกิดความรู้สึกประหลาดใจไม่ใช่ฉากที่น่าตื่นเต้นขณะซูเจ๋อช่วยชีวิตเตียวเสี้ยน แต่เป็นเพราะเขาไม่เข้าใจว่าเหตุใดซูเจ๋อที่อยู่ท่ามกลางหมอกหนาจึงตัดสินในเลือกทิศทางที่เตียวเสี้ยนอยู่ได้อย่างแม่นยำและสามารถหาตัวนางพบในช่วงเวลาวิกฤติ ราวกับว่าดวงตาของซูเจ๋อมีพลังเหนือธรรมชาติบางอย่าง กระทั่งสามารถมองทะลุผ่านหมอกหนาทึบได้จริง

 

“คุณชายสามารถทำนายวันเวลาที่จะเกิดหมอกได้ มิหนำซ้ำดวงตาของเขายังสามารถมองทะลุผ่านหมอกได้! นี่มันเหลือเชื่อมากเกินไป… เขายังเป็นผู้คนอยู่หรือไม่?”

 

เฮาเฉียแอบนึกประหลาดใจพลางหันหน้ากลับไปกลับมา ก่อนจะจ้องมองไปยังซูเจ๋อด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความสงสัย และนอกจากความประหลาดใจแล้ว จากนั้นมันค่อย ๆ เพิ่มความหวาดกลัวขึ้นทีละน้อยราวกำลังมองดูเทพเจ้าผู้มีพลังอำนาจเหนือผู้คนทั่วไป!

 

เตียวเสี้ยนหายใจเหนื่อยหอบเป็นเวลานานด้วยความตื่นตระหนกเป็นที่สุด จากนั้นจึงรู้ตัวเองว่ากำลังนอนทับอยู่บนร่างของซูเจ๋อและถูกจ้องมองโดยเฮาเฉียเป็นเวลานานแล้ว

 

ใบหน้าของหญิงสาวแดงก่ำด้วยความเขินอายในทันทีและรีบลุกขึ้นจากซูเจ๋อขณะที่เสื้อผ้าถูกลากไปกับพื้น

 

เมื่อซูเจ๋อลุกขึ้นแล้วจึงรีบเอ่ยถามด้วยความห่วงใย “เจ้าได้รับบาดเจ็บตรงไหนหรือไม่?”

 

“ข้าไม่ได้รับบาดเจ็บแม้แต่น้อย” เตียวเสี้ยนส่ายหัวและโค้งคำนับซ้ำแล้วซ้ำเล่า "เสียวเอ๋อขอบคุณที่คุณชายช่วยชีวิตข้าเอาไว้”

 

“เอาล่ะ ไม่บาดเจ็บก็ดีแล้ว” ซูเจ๋อถอนหายใจแต่กล่าวอย่างเคร่งขรึม “เมื่อคืนนี้ข้าบอกเจ้าไว้อย่างชัดเจนแล้วว่าไม่ต้องเสียสละ เพราะข้าจะพาเจ้าผ่านอุปสรรคนี้เอง แล้วเหตุใดเจ้าถึงยังทำเรื่องโง่เขลาอีก? เจ้าไม่เชื่อใจข้าอย่างนั้นหรือ?”

 

เตียวเสี้ยนละอายใจและส่ายหัวอย่างเร่งรีบ “ไม่ใช่ว่าข้าจะไม่เชื่อคุณชาย แต่แค่ไม่อยากให้พวกท่านตกอยู่ในอันตรายและต้องมาเสี่ยงตายแทนข้าอีกครั้ง”

 

ซูเจ๋อไม่เห็นด้วย “ข้าพาเจ้าออกจากคฤหาสน์ในเมืองฉางอานอย่างยากลำบาก หากทำเช่นนี้ไม่เท่ากับว่าที่ผ่านมาข้าต้องเหนื่อยเปล่าหรอกหรือ?”

 

เมื่อมองไปยังซูเจ๋อซึ่งมีความเยือกเย็นและมั่นใจ เตียวเสี้ยนจึงรู้สึกผิดกระทั่งไม่รู้ว่าจะกล่าวอันใดออกมาได้ 

 

ในขณะนั้นจู่ ๆ ซูเจ๋อได้อุ้มนางขึ้นและเมื่อใบหน้าของหญิงสาวที่กำลังสับสน บุรุษหนุ่มจึงวางนางบนหลังม้าแล้วกระโดดขึ้นก่อนจะสอดแขนของตนเองลอดรักแร้อีกฝ่ายเพื่อจับสายสำหรับควบคุมม้าอย่างแผ่วเบาผ่านเอวคอดของหญิงสาว

 

“คุณชาย… คุณชาย เราจะไปไหนกัน?” เตียวเสี้ยนโน้มตัวเข้าไปในอ้อมแขนของซูเจ๋อขณะที่คำกล่าวและจังหวะการเคลื่อนไหวของนางแสดงเสน่ห์เย้ายวนออกมาโดยมิได้ตั้งใจ

 

“ข้าจะไปพบทุกคนและพาเจ้าออกจากหุบเขา” ซูเจ๋อหวดแส้และควบม้าออกไป

 

และเมื่อผ่านเฮาเฉียไปซูเจ๋อได้ตะโกนอีกครั้งว่า “ยังไม่รีบไปอีก ยืนงุนงงอันใดอยู่?!” เฮาเฉียรู้สึกตื่นตระหนกด้วยความมึนงงอย่างชัดเจนและรีบก้าวไปข้างหน้าเพื่อไล่ตามซูเจ๋อเข้าไปในหมอกหนาทึบอีกครั้ง

 

ไม่นานหลังจากนั้นซูเจ๋อที่เร่งรีบไปตลอดทางเดินผ่านหมอกราวกับเดินอยู่ในสภาพอากาศปกติและกลับไปยังที่ตั้งก่อนหน้านี้ของพวกเขา

 

เมื่อผู้คนเหล่านั้นเห็นซูเจ๋อกลับมาอย่างปลอดภัย พวกเขาย่อมรู้สึกโล่งอกโล่งใจ แต่เมื่อเห็นซูเจ๋อกลับมาพร้อมกับเตียวเสี้ยนทุกคนจึงรู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก

 

“เสียวเอ๋อ! นับว่าโชคดีที่เจ้าสามารถกลับมาได้อย่างปลอดภัย เจ้าทำพวกเราเป็นห่วงแทบแย่”

 

สองสามีภรรยาผู้ชราหลั่งน้ำตาด้วยความดีใจและรีบวิ่งไปหาบุตรสาวที่ลงจากม้า

 

ซูเซี๋ยวเสี่ยวที่พบว่าสิ่งนี้ช่างเหลือเชื่อนางกระพริบตาแล้วเอ่ยถามว่า “คุณชาย! ท่ามกลางหมอกหนาทึบเช่นนี้ ท่านพาแม่นางเตียวกลับมาได้อย่างไร?”

 

จิวฉองกับเหล่าทหารมองมายังเขาด้วยความประหลาดใจ ขณะที่ความอยากรู้ในส่วนลึกกำลังเพิ่มขึ้นบนใบหน้าของทุกคน

 

“โอ้! สายมากแล้ว! เราต้องออกจากที่นี่ให้เร็วที่สุดก่อนที่หมอกจะเบาบางลง”

 

ซูเจ๋อไม่ต้องการที่จะพูดถึงเรื่องนี้จึงรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนาในทันทีและเดินไปยังแนวหน้าของฝูงชน

 

ตอนนั้นชายร่างใหญ่กำลังคิดจะย่องออกจากหุบเขา แต่จู่ ๆ เขาก็เกร็งตัวขึ้นและคว้าเชือกเส้นยาวไว้แน่นเมื่อได้ยินว่า

 

“ทุกคนจงฟัง! ไม่ว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้นอย่าได้ส่งเสียงเป็นอันขาด จงยึดเชือกไว้เพื่อเดินตามกันไปอย่างใกล้ชิด”

 

หลังจากซูเจ๋อออกคำสั่งด้วยเสียงอันดังแล้ว ทันใดนั้นเหมือนมีเส้นทางปรากฏขึ้นตรงหน้า เพื่อนำทางออกไปด้านหน้าของหุบเขาจากตำแหน่งนี้

 

บนหลังม้าของชายหนุ่มได้ผูกเชือกยาวเส้นนั้นไว้และร้อยต่อด้วยรถม้าสองคันจากนั้นทุกคนจึงคว้าเชือกยาวแล้วเดินตามไปข้างหลังอย่างใกล้ชิด

 

ชั่วอึดใจต่อมาซูเจ๋อที่นั่งอยู่บนหลังม้าและหันหลังให้ทุกคนเริ่มเชื่อมต่อคลื่นสมองกับดาวเทียมสภาพอากาศซูเปอร์ควอนตัมขณะที่ผู้คนเหล่านั้นกำลังให้ความสนใจกับเชือกในมือ

 

[ติง ติง ... ระบบเชื่อมต่อสำเร็จแล้ว]

 

“สแกนภูมิประเทศของหุบเขาทั้งหมดทันที และส่งแผนที่ภูมิประเทศสามมิติให้แก่ข้า”

 

[ติง ติง ... สแกนสำเร็จแล้ว การส่งข้อมูลกำลังจะเริ่มขึ้น]

 

จู่ ๆ ศีรษะของซูเจ๋อเริ่มรู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวอีกครั้ง ในขณะเดียวกันแผนที่ภูมิประเทศสามมิติที่สมบูรณ์และชัดเจนของหุบเขาได้ปรากฏขึ้นในใจของชายหนุ่ม

 

ดาวเทียมอุตุนิยมวิทยาควอนตัมมีพลังมหาศาล ดังนั้นแม้ในสภาพอากาศที่นี่หมอกหนายังคงสามารถสแกนแผนที่ภูมิประเทศได้อย่างชัดเจน

 

บนแผนที่ภูมิประเทศนั้นเส้นทางในหุบเขาทั้งหมดปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจนต่อหน้าต่อตาของซูเจ๋อ ตำแหน่งที่ตั้งของเขาได้ถูกทำเครื่องหมายและวางตำแหน่งด้วยดาวเทียมเพื่อให้เขาสามารถมองเห็นทิศทางได้อย่างถูกต้องไปจนถึงทางออกข้างหน้า

 

ส่วนผู้คนที่เดินตามด้านหลังไม่มีความมั่นใจเลยแม้แต่น้อย อีกทั้งยังกลัวว่าตนเองจะตกลงไปในคูน้ำหรือเหวลึกในหุบเขาแห่งนี้เข้าสักครั้ง

 

“คุณชายทำท่าเหมือนกับดวงตาของเขาสามารถมองทะลุผ่านหมอกได้ พี่เฮาเฉีย ไหนลองเล่าให้ฟังสิว่าคุณชายใช้ความสามารถแบบใดจึงหาแม่นางเตียวพบ?” จิวฉองเอ่ยถามด้วยใบหน้าพิศวงงงงวย

 

เฮาเฉียส่ายหัวและกล่าวว่า “ข้าจะรู้ได้อย่างไร? ข้ารู้เพียงคุณชายควบม้าเร็วยังกับเหาะได้ และในที่สุดก็ได้พบกับแม่นางเตียว” 

 

“หากเป็นเช่นนี้ คุณชายของเราคงเป็นมนุษย์ประหลาด!” จิวฉองเกาหัวตนเองและมองดูดวงตาของซูเจ๋อ ขณะที่รู้สึกว่าสิ่งที่บุรุษหนุ่มผู้นี้ทำเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อมากขึ้นทุกวัน

 

ครึ่งชั่วยามต่อมา ถนนข้างหน้าค่อย ๆ เปิดโล่งและพบว่าพวกเขาเดินทางมาใกล้กับทางออกแล้ว 

 

ในเวลานี้นับว่าเป็นช่วงเวลาอันตรายที่สุด เพราะกำลังของฝ่ายตรงข้ามโอบล้อมหุบเขานี้อยู่แม้จะไม่ทราบจำนวนอย่างแน่ชัดก็ตาม และทั้งสองฝ่ายไม่สามารถมองเห็นแม้แต่ร่างกายของตนเอง ดังนั้นหากบังเอิญเกิดมีการปะทะกันขึ้นมา สิ่งนี้จะก่อความโกลาหลอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และสถานการณ์ดังกล่าวยังคงไม่เอื้ออำนวยต่อฝ่ายของซูเจ๋อ

 

ดังนั้นช่วงเวลาดังกล่าวทุกคนต่างหลั่งเหงื่อ หัวใจที่เต้นระรัวขณะยืดคอขึ้น การแสดงออกของพวกเขาบ่งบอกว่ากำลังลุ้นระทึกสุดชีวิต!

 

.....................................................................

 

 

รีวิวผู้อ่าน